ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1165 ขัดแย้ง (1)
ฟ้าว…
ลมเย็นหอบหนึ่งพัดผ่าน
ในห้างสรรพสินค้าว่างเปล่าเงียบสงัด สินค้าหลายชิ้นจัดเรียงกันบนชั้นวางของอย่างเป็นระเบียบ แต่ตรงเคาน์เตอร์เก็บเงินไม่มีใครสักคนเดียว และมองไม่เห็นลูกค้าคนใด
มีเพียงเครื่องจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ด้านข้างกำลังกะพริบแสง จอภาพแสดงโฆษณาลดราคาของสินค้าแต่ละอย่าง
ลู่เซิ่งเดินตามคนหัวล้านวิลต้าจ้วงเข้าห้างสรรพสินค้า มองภาพตรงหน้าอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
“ที่นี่ไม่มีคนหรือ” เขาอดถามไม่ได้
“ไม่รู้สิ อาจเพราะที่นี่อันตรายเกินไปมั้ง เลยไม่มีคนกล้ามาให้บริการ ตอนนี้เป็นระบบบริการตัวเองทั้งหมด ใช้โทรศัพท์หรือไม่ก็บัตรประชาชนสามารถซื้อของได้โดยตรง”
ชายหัวล้านวิลต้าจ้วงเอ่ยอย่างชินชา
“งั้นหรือ” ลู่เซิ่งสงสัยเล็กน้อย
“แบบนี้ไง” วิลต้าจ้วงฉีกถุงใส่ของใบหนึ่งออกมาจากจุดแขวนทางขวามือของทางเข้าอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็กางออก แล้วหิ้วถุงสาวเท้าเข้าไปห้างฯ
ห้างสรรพสินค้าฯ แห่งนี้ไม่เล็ก มีทั้งหมดสามชั้น แต่ละชั้นใหญ่เท่าสนามบาสเกตบอล
ลู่เซิ่งเดินตามวิลต้าจ้วง เห็นอีกฝ่ายยัดอาหาร เครื่องปรุง รวมถึงวัตถุดิบดั้งเดิมสำหรับทำเองอย่างแป้งเกรดดีเข้าถุงหิ้วอย่างต่อเนื่อง
“คุณทำกับข้าวเป็นเหรอ” เขาถามอย่างแปลกใจ
“แน่นอน” วิลต้าจ้วงหาผักที่ตัวเองต้องการเจออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันกลับไปมองลู่เซิ่งขณะหิ้วถุงใหญ่
“คุณไม่เอาเหรอ” เขาถาม
“ไม่เอา” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
วิลต้าจ้วงเดินถึงด้านหน้าเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ แล้วเริ่มจ่ายเงินด้วยสีหน้าเสียดาย
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ นอกจากพวกเขาแล้ว บริเวณรอบๆ ก็ไม่มีใครสักคนเดียวจริงๆ
ยากจะบอกว่าสถานที่อันตรายแบบนี้ มีห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ด้วย นี่เหมือนกับสร้างขึ้นเพื่อเขาคนเดียวมากกว่า
หลังซื้อของเสร็จ ทั้งสองก็ออกจากห้าง รอบๆ คือซากปรักหักพัง ซากกำแพงบางส่วนไม่มีไฟ เงียบสงัดทั่วบริเวณ
เดินไปตามทางเดิม ลู่เซิ่งมองวิลต้าจ้วงที่อยู่ด้านหน้า
“คุณต้าจ้วง คุณรู้ไหมว่านครโอนาอยู่ไหน”
ระยะห่างใกล้ขนาดนี้ เขาถึงขั้นตรวจสอบต่อมภายในของอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด ถ้าอีกฝ่ายได้ยินชื่อนี้แล้วอารมณ์เกิดความแปรปรวน ร่างกายจะแสดงออกมาให้เห็นทันที
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ วิลต้าจ้วงหันกลับมาอย่างงงๆ
“นครโอนาหรือ ไม่รู้จักครับ”
เขาไม่รู้จริงๆ…
ลู่เซิ่งงุนงง ร่างกายของอีกฝ่ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เห็นได้ชัดมากว่า เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจริงๆ
หรือว่าเขาจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ของหวังจิ้ง
“จริงสิ จะว่าไป คุณมาทำอะไรที่นี่กัน ผมเพิ่งเคยเห็นมีคนเข้ามาลึกขนาดนี้เป็นครั้งแรก” วิลต้าจ้วงถาม
ลู่เซิ่งมุมปากกระตุก นายยังรู้ด้วยเหรอว่าสถานที่ที่ตัวเองอยู่อันตราย
“ผมมาหาภรรยาน่ะ” เขาตอบตามจริง
“หาภรรยาหรือ” วิลต้าจ้วงอึ้ง เหมือนไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร “แต่ที่นี่ นอกจากผมแล้ว ก็ไม่มีใครเลยนะ”
เขามองลู่เซิ่งอย่างงุนงง จากนั้นจู่ๆ เหมือนนึกอะไรได้ สีหน้าเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง…
“คุณคิดอะไรของคุณน่ะ” ลู่เซิ่งหมดคำพูด “ภรรยาผมออกจากบ้าน ผมเลยมาหาว่ามาถึงนี่หรือไม่”
“งั้นเหรอ อ้อ งั้นก็ดีครับ” วิลต้าจ้วงพลันโล่งอก
บรรยากาศระหว่างทั้งสองกระอักกระอ่วนอยู่ชั่วขณะ ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
“อย่างนั้น ผมกลับบ้านก่อนนะ” วิลต้าจ้วงส่งเสียง
“กลับเถอะๆ ผมจะไปกับคุณด้วย” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาอยากจะไปดูศูนย์กลางของที่นี่อยู่พอดี อาจจะมีการค้นพบอะไรก็ได้
ทั้งสองแยกกันเป็นหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามถนน ไม่นานก็มาถึงหน้าตึกสีขาวสองชั้นที่โดดเดี่ยวเดียวดายแห่งหนึ่ง
“น่าเสียดายผมจะพักผ่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นยังคิดจะเชิญคุณเข้าบ้าน อุตส่าห์ได้รู้จักเพื่อนใหม่ทั้งที” วิลต้าจ้วงหันไปมองลู่เซิ่ง
“ไม่เป็นไร คุณไปพักเถอะ ผมจะนั่งในบ้านคุณเฉยๆ ขาผมหมดแรงพอดี อยากพักผ่อนสักหน่อย” ลู่เซิ่งยิ้มตอบ
“แต่ปกติผมนอนนานมาก เกรงว่าคุณจะรอไม่ไหว” วิลต้าจ้วงกล่าวอย่างจริงจัง
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือสา คุณหลับไปเถอะ ไม่ต้องสนใจผมหรอก” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มต่อไป
“…” วิลต้าจ้วงหมดแรงสื่อสาร ความจริงเขาสัมผัสได้แล้วว่ามีคนคุ้นเคยคนหนึ่งมาที่บ้านตน เขาไม่อยากให้ชายแปลกหน้าตรงหน้าเห็น ดังนั้นจึงจงใจไล่อีกฝ่ายไป
น่าเสียดายที่ชายตรงหน้าฉลาดแต่แกล้งโง่ ไม่ออกไพ่ตามเหตุผล
ทั้งสองจ้องกันอยู่สักพัก
ลู่เซิ่งหยีตา ทันใดนั้นก็มองไปยังตึกสองชั้นอย่างไม่รู้ตัว
“ช่างเถอะ ดูเหมือนคุณจะมีแขก ครั้งหน้าค่อยมารบกวนใหม่” เขาพลันถอยก้าวหนึ่งอย่างรู้ตัว
“ดีใจมากที่ได้เจอคุณ คุณวิลต้าจ้วง หวังว่าพวกเราจะได้เจอกันอีก”
“ผมก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้รู้จักคุณ คุณบัลตั้น” วิลต้าจ้วงตอบอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรมากอีก สายตามองส่งวิลต้าจ้วงกลับเข้าบ้าน จนกระทั่งเงาหลังของอีกฝ่ายแทบมองไม่เห็นเค้าโครง ถูกบันไดตึกบดบังไว้ เขาค่อยละสายตากลับมา
‘ความรู้สึกนี้เหมือนกับคนของสมาคมผู้มีพลังพิเศษฮีโร่’ ลู่เซิ่งเคยศึกษาสมาคมผู้มีพลังพิเศษฮีโร่มาก่อน คนที่อยู่ด้านในล้วนมีกลิ่นอายประหลาดแบบเดียวกัน
กลิ่นอายนั้นไม่เข้มข้นนัก แต่สามารถหาดมเจอได้ในทันที
เมื่อครู่นี้ เขาได้กลิ่นคนจากสมาคมผู้มีพลังพิเศษฮีโร่ในตึก ดั้งนั้นจึงเป็นฝ่ายบอกลาเอง
หมุนตัวจากไป ไม่นาน เขาก็เจอรถที่ตนเช่ามา ขึ้นไปนั่ง แล้วติดเครื่องยนต์
ไม่รู้เพราะอะไร เขาถึงรู้สึกอย่างเลือนรางว่า ต่อจากนี้อาจมีโอกาสได้เจอวิลต้าจ้วงอีก
บรื๊น
เครื่องยนต์เผาไหม้ รถสั่นเบาๆ จากนั้นก็เริ่มแล่นช้าๆ
‘อีกฝ่ายอยู่ฝ่ายสมาคมผู้มีพลังพิเศษฮีโร่ ดูเหมือนต่อจากนี้ต้องตั้งใจศึกษาองค์กรนี้เสียหน่อย…’
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงการแสดงออกของวิลต้าจ้วงตอนเขาคุยด้วย
พลังควบคุมอันเด็ดขาดต่อร่างกายชนิดนั้น ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากให้ตนเข้าไปพักผ่อน แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ตอนที่ถูกกดดันจนหมดหนทางเลย
‘เป็นผู้ชายที่น่าสนใจดี’
ลู่เซิ่งเร่งความเร็ว ขับรถไปยังสนามบินตอนขามา
ในเมื่ออีกฝ่ายมีพลังควบคุมตัวเองแข็งแกร่งขนาดนี้ อย่างนั้นข้อสรุปที่ได้ก่อนหน้าก็จำเป็นต้องแก้ไขใหม่
ยังยืนยันไม่ได้ว่าคนคนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับนครโอนา คอยสังเกตไปก่อน
ลู่เซิ่งเร่งความเร็ว รถแล่นฉิวในเขตเมืองร้าง ไม่นานก็หายไปในฝุ่นควันอันไพศาล มองไม่เห็นอีก
…
หลังกลับถึงเมืองไวท์ ลู่เซิ่งจัดระเบียบร้าน ก่อนจะเปิดกิจการอีกครั้ง
ในที่ลับกลับเริ่มสังเกตและควบคุมควบุคมแนวโน้มการพัฒนาของสี่ลัทธิ
ลัทธิราชาฟีนิกส์ในตอนแรกสุด ถูกก่อตั้งโดยพนักงานออฟฟิศฮานนา ปัจจุบันเธอไม่ได้ทำงานในบริษัทอีกต่อไป หากรวบรวมทุนสร้างโรงเรียนเอกชนขึ้นแห่งหนึ่ง แล้วเปิดรับเด็กจากครอบครัว ยากจนด้วยค่าเรียนต่ำ ดำเนินการอบรมโดยรวม เธอแทบไม่เก็บกำไรไว้ มอบเงินที่ได้ทั้งหมดกลับไปให้นักเรียน
และสิ่งที่นักเรียนพวกนี้ต้องทำเพียงอย่างเดียว ก็คือการเรียนคาบเผยแพร่ลัทธิของโรงเรียน
ลัทธิราชาฟีนิกส์เป็นลัทธิที่พัฒนาได้เร็วที่สุด
ส่วนอันดับสอง ก็คือลัทธิเทพหมาป่าพันเศียรร์ที่บริษัทของดีนเป็นผู้นำ
ดีนเผยแพร่ลัทธินี้ในสังคมเล็กๆ ของตัวเอง พัฒนาแบบสมาคมลับ ไม่กระตุ้นความสนใจของผู้คน
แม้วิธีการพัฒนาแบบนี้จะไม่เร็ว แต่สาวกที่ได้มาคนหนึ่งจะมีคุณภาพสูงมาก ทั้งยังมีความเชื่อมั่นและการร่วมมืออันดีงามระหว่างกัน อย่างไรบริษัทของดีนก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ หนึ่งอันดับสอง โด่งดังในประเทศ สังคมของเขาย่อมเป็นเพื่อนระดับเดียวกัน
ลัทธิเทพหมาป่าพันเศียรที่พัฒนาแบบนี้มีสมาชิกน้อยแต่คุณภาพสูง แม้พลังอาวรณ์ที่ผลิตจะไม่เยอะ แต่ดูจากพลังและขุมกำลัง ล้วนเหนือกว่าลัทธิราชาฟีนิกซ์มาก
อันดับสามคือลัทธิเทพนอกรีตโลหิต หัวขโมยที่มาปล้นร้านสองคนกำลังตั้งใจเผยแพร่ พวกเขาแทบถูกเทวรูปสลักเทพนอกรีตโลหิตควบคุมอย่างสมบูรณ์ รวบรวมกองกำลังใต้ดินได้ไม่น้อย สมาชิกหล ลักของกองกำลังมาเฟียพวกนี้ได้รับการแจกจ่ายความสามารถที่แตกต่างกันผ่านการบูชารูปสลัก
เหล่าแอร์โฮสเตสที่สิ้นหวัง ก็มีอิทธิพลในการเผยแพร่ในที่อื่นค่อนข้างมากเช่นกัน
เมื่องทั้งสองฝ่ายรวมกัน กองกำลังที่สร้างออกมากลับไม่ด้อยไปกว่าลัทธิเทพหมาป่าพันเศียร
อันดับสุดท้ายคือลัทธิราชามังกรรุ้ง ตอนที่ลู่เซิ่งส่งรูปสลักราชามังกรรุ้งออกไป เป้าหมายคือชายชราที่เฝ้าฝันปรารถนาถึงลัทธิเทพนิยายมาโดยตลอดแม้ว่าจะแก่ชราแล้ว
สถานะของเขาคือศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยดัง
หลังส่งไม้แกะสลักออกไป ชายชราที่ค้นพบความน่าอัศจรรย์ ก็เผยแพร่ลัทธิในแวดวงวิชาการของตนทันที
สาวกของราชามังกรสีรุ้งกระจายตัวตามงานชุมนุมแลกเปลี่ยนและงานสัมนาเหมือนกับใยแมงมุม
แม้ว่ากองกำลังจะสู้อีกสามลัทธิไม่ได้ แต่เป็นเพราะคุณลักษณะเด่นของแวดวงวิชาการ ลัทธินี้จึงมีการขยับขยายเป็นวงกว้างมากที่สุด ศาสตราจารย์คนนั้นและเพื่อนๆ ซึ่งเป็นสาวกที่เขาเผย ยแพร่ลัทธิให้ ต่างก็เป็นนักวิชาการมีชื่อเสียงจากทั่วโลกที่มักไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
พวกเขาบางคนได้รับคำเชิญให้เข้าร่วมรายการโทรทัศน์ หรือไม่ก็การสัมภาษณ์ในสารคดี
คนเหล่านี้จะแสดงการมีตัวตนอยู่ของเทพเจ้าอย่างราชามังกรสีรุ้งผ่านทุกการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ
ราชามังกรสีรุ้งเป็นตัวแทนเทพแห่งการแสวงหาความรู้ การร่ำเรียนอย่างไม่หยุดยั้ง การกระหายต่อความรู้ และการปรับปรุงตัวเอง นี่ก็คือคำสอนหลักของลัทธิราชามังกรสีรุ้ง ดึงดูดคนที่ มีความคิดตรงกันจำนวนมากให้มานับถือ
เมื่อเป็นแบบนี้ แวดวงธุรกิจ แวดวงการศึกษา พนักงานออฟฟิศธรรมดา รวมถึงแวดวงวิชาการ ต่างก็มีสายตาของสี่ลัทธิใหญ่
ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน เครือข่ายสี่ลัทธิใหญ่ที่ลู่เซิ่งควคุมก็ได้ปกคลุมโลกทั้งใบ
ระหว่างศิษย์เหล่านี้เริ่มเกิดองค์การขนาดต่างๆ แต่ละองค์การพึ่งพาและสนับสนุนกันและกัน กลายเป็นสมาคมที่ใหญ่กว่าเดิม
ลู่เซิ่งได้รับรู้ข้อมูลลี้ลับของโลกใบนี้ที่ทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเครือข่ายควบคุมที่ขยายตัวตลอดเวลา
ข้อมูลเกี่ยวกับสมาคมผู้มีพลังพิเศษฮีโร่ รวมถึงสัตว์ประหลาดและเผ่าพันธุ์เร้นลับแต่ละชนิด เขาล้วนทราบกระจ่าง
แต่น่าเสียดาย ที่ยังคงไม่มีข่าวของหวังจิ้งศิษย์อาจารย์
ตึงๆๆ
ลู่เซิ่งตื่นจากห้วงฝัน นวดแก้มเล็กน้อย จากนั้นก็จิ้มนิ้วไปทางประตูใหญ่อย่างเชื่องช้า
แกร๊ก ลูกบิดประตูหมุนเปิดเอง
“ประตูเปิดอยู่ เข้ามาเลย…”
แม้เขาจะมีคฤหาสน์ของตัวเอง แต่ยังคงชอบอยู่ในร้านเล็กๆ แห่งนี้
ซาลาดินคนเดิมน่าจะอยู่ที่นี่จนชิน ความเคยชินเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง ลู่เซิ่งคร้านจะไปเปลี่ยนแปลง
ลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาบิดขี้เกียจทีหนึ่ง
ประตูค่อยๆ เปิดออก นักเรียนสาวสวยที่มีใบหน้าหมดจดคนหนึ่งชะโงกหัวเข้ามา
เธอไว้ผมยาว จมูกโด่ง ผิวขาวเนียนเหมือนกับภาชนะชั้นเลิศ
เป็นนักเรียนหญิงที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับซาลาดินที่ลู่เซิ่งเคยเจอเมื่อก่อนหน้านี้คนนั้น