ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1172 ระเบิด (2)
ลู่เซิ่งค่อยเห็นชัดว่าเธอแต่งตัวอย่างไร เป็นกระโปรงเดรสงามหรูสีดำสนิทที่แขวนเพชรไว้ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่นอกประตู เขายังไม่ทันสังเกตเสื้อผ้าที่เธอสวม ตอนนี้พอเห็น พลันรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง
“พี่ ฉันมาซ่อนตัว อีกเดี๋ยวจะไปแล้วค่ะ” อันนายกนิ้วส่งเสียงชู่ฉู่ให้ลู่เซิ่งที่อยู่บนเก้าอี้เอน
“ซ่อนใคร อยากให้พี่ช่วยไหม” ลู่เซิ่งถามเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องค่ะ แค่ลูกชายของผู้ร่วมธุรกิจของพ่อ เขาตามจีบฉันมานาน น่ารำคาญจริงๆ แต่อีกไม่นานเขาจะต้องยอมแพ้แล้ว” อันนาโบกมือ กล่าวอย่างเปิดเผย
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ผ่านไปสักพัก เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็วิ่งผ่านนอกประตูไป เหมือนจะไล่ตามอันนามา
รอเสียงฝีเท้าออกห่างไปแล้ว อันนาค่อยโล่งอก หมุนตัวเดินมาถึงด้านข้างลู่เซิ่ง แล้วดึงเก้าอี้ออกมานั่งอย่างคุ้นเคย
“ร้านพี่นี่สบายสุด ที่บ้านข้อบังคับเยอะเกิน อะไรๆ ก็ห้าม”
“ร้านพี่น่าเบื่อจะตาย” ลู่เซิ่งขี้เกียจลืมตา ตอบอย่างขอไปที
“แต่ที่นี่ไม่มีพ่อแม่คอยบ่นนี่คะ อิสระ! ไม่ต้องเป็นห่วงภาพลักษณ์” อันนาแคะจมูกโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เทพธิดา จากนั้นก็ปั้นขี้มูกเป็นก้อน แล้วดีดออกไปด้านหน้าเสียงดังฟิ้วปิ้ว
ใช้ปากทำเสียงประกอบด้วย
ลู่เซิ่งมุมปากกระตุก เห็นน้องสาวก้มลงถอดถุงน่องสีเนื้อและรองเท้าโยนไปกองไว้ข้างๆ จากนั้นก็ปล่อยผมยาวให้ตกลงบนหลัง
“เธอมาร่วมงานเลี้ยงแถวนี้เหรอ” เขาถาม
“ใช่ค่ะ งานเลี้ยงเต้นรำ พ่ออยากให้หนูไปให้ได้” อันนายักไหล่อย่างจนปัญญา “ช่วงนี้ธุรกิจที่บ้านได้รับผลกระทบ แรงงานในบางสถานที่ประท้วง ต้องการขึ้นค่าแรงกและยกระดับสวัสดิการ หรือไม่ก็เพิ่มต้นทุนอะไรสักอย่าง เริ่มเข้าใจยากเรื่อยๆ พ่อเครียดมาก แต่ละวันไม่ได้อยู่บ้าน”
พอลู่เซิ่งได้ยินก็รู้ทันทีว่า นี่เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่จากกความวุ่นวายที่ลัทธิเทพนอกรีตโลหิตก่อขึ้น
เขาได้กำชับไว้แล้ว ลัทธิเทพนอกรีตโลหิตไม่มีทางลงมือกับกิจการของเขา ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือ ขุมกำลังอื่นๆ ตีชิงตามไฟ ปลุกปั่นคนงาน
แต่เรื่องแค่นี้ บริษัทใต้สังกัดเจอร์มันน่าจะจัดการได้สบายๆ ไม่ต้องให้เขาลงมือ
ลู่เซิ่งป้องกันเผื่อไว้ก่อน กวาดจิตไปบนร่างน้องสาวอย่างเคยชิน ปกติจิตของเขาจะไม่แสดงกลิ่นอายใดๆ เวลาส่วนใหญ่จะกระจายในสี่ลัทธิเพื่อเสแสร้งเป็นเทพ
ตอนนี้เขาชักกลับมาส่วนหนึ่งเพื่อตรวจสอบสภาพของน้องสาว
‘เอ๋?” สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงเลยก็คือ บนตัวอันนาน้องสาวมีความผิดปกติเล็กน้อย
ไม่ใช่วิญญาณสิงร่าง และไม่ใช่อาคมคำสาปแช่ง หากเป็นพลังประหลาดที่บรรยายไม่ถูกชนิดหนึ่ง เหมือนกับลมหรือไม่ก็กระแสอากาศไหลเวียนอยู่รอบๆ ตัวอันนา
นี่ไม่ใช่พลังธรรมดา เขาวางกลไกเอาไว้บนตัวครอบครัวแต่แรกแล้ว หากเกิดเรื่องเขาจะพบทันที แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
‘คืออะไรกันแน่’ เขาไปมาใช้จิตสัมผัสกับกระแสอากาศสายนี้
นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ พลังชนิดนี้ดูดซับกลืนกินพลังจิตที่เขายืดขยายออกไปในทันที
‘น่าสนใจ…’ แทนที่จะตกใจลู่เซิ่งกลับยินดี ในขอบเขตของเขา ณ เวลานี้ สิ่งที่หลบพ้นสายตาของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นสสาร พลังงาน หรือว่าสิ่งของอื่นๆ ล้วนมีน้อยเหลือประมาณ ตอนนี้สิ่ง งที่ทำให้เขารู้สึกสดใหม่ปรากฏตรงหน้า กลับเอามาใช้แก้เบื่อได้พอดี
อย่างไรกว่าเขาจะเริ่มแผนการทุกอย่าง ก็ต้องรออีกหนึ่งเดือน
“เป็นอะไรไปคะพี่” อันนาพบว่าลู่เซิ่งจ้องมองตัวเอง ก็พลันสงสัยเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอก” ลู่เซิ่งสั่งจิตให้ดึงกระแสอากาศสายนั้นออกมาพันไว้บนแขนตัวเอง
ของสิ่งนี้กำลังกลืนกินพลังจิตที่เขาห่อหุ้มด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง
แต่พลังจิตแค่นี้ยังมีไม่ถึงหนึ่งในพันล้านส่วนของลู่เซิ่งด้วยซ้ำ ความเร็วอันน่าสะพรึงที่ว่าเป็นเพียงความเร็วสำหรับคนธรรมดา
หากคิดจะดูดซับลู่เซิ่งด้วยความเร็วแค่นี้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายพันล้านปี และนี่ยังเป็นเพียงร่างลูกของเขาในโลกใบนี้ด้วย
ลู่เซิ่งจับกระแสอากาศสายนี้ไว้ เข้าใจหลักการของมันคร่าวๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ช่วงนี้เธอไปหาเรื่องใครเข้าหรือเปล่า” เขาถามเสียงขรึม
“หาเรื่องเหรอคะ ไม่มีนะ ปกติฉันระวังตัวมากเวลาคบกับใคร ถึงจะเป็นคนที่ตามจีบฉันก็เถอะ แต่ไม่มีทางปฏิเสธแบบทำลายน้ำใจเหมือนกัน” อันนาเอ่ยอย่างกังขา
“ถ้างั้นครอบครัวล่ะ ในครอบครัวมีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้นไหม เช่น น้องชายหรือไม่ก็พ่อแม่” ลู่เซิ่งถามโดยเปลี่ยนมุมมอง
“ถ้างั้นก็มีความผิดปกตินิดหน่อยค่ะ ช่วงนี้มีหวัดกระจายในบ้าน ทุกคนติดหวัดกันหมด ก่อนหน้านี้ตอนฉันเข้ามาก็รู้สึกคันๆ จมูกจะจามเหมือนกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้ว อาจเ เพราะอากาศด้านนอกหนาวเกินไปล่ะมั้งคะ” อันนาตอบยิ้มๆ
“งั้นก็ดี” ลู่เซิ่งเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ดูเหมือนจะเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ ความสามารถแบบนี้ไม่แน่ว่าจะโดนคนเล่นงาน บ้านเจอร์มันอาจจะติดหวัดกันไปเอง ยังต้องสังเกตการณ์ไปก่อ อน
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะล้วงของอย่างหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ แล้วโยนให้อันนา
“พี่เอาให้ เก็บไว้ดีๆ นะ ว่ากันว่ามีผลขจัดสิ่งชั่วร้าย พี่เคยลองแล้ว ขลังดีเหมือนกัน ไม่แน่ต่อจากนี้สภาพร่างกายของเธอจะดีขึ้น”
“จริงหรือคะ” อันนารับของไว้อย่างยินดี พร้อมกับพิจารณาอย่างละเอียด เธอเชื่อในเรื่องลี้ลับแบบนี้มาก
ของสิ่งนี้เป็นตราประทับสีเทาที่ดูหยาบมาก ฐานของตราประทับเป็นลายประหลาดที่แทบมองไม่เออกว่าเป็นตัวอักษรใด
หลังจากให้ตราประทับไป อันนาก็คุยกับลู่เซิ่งอย่างร่าเริง ตอนใกล้ถึงห้าทุ่ม เธอค่อยกลับบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์
ลู่เซิ่งส่งน้องสาวออกไปเสร็จ ก็กลับมานั่งในห้องนอน หยิบแผ่นกระจกบางๆ ที่ทำจากคริสตัลออกมาจากลิ้นชัก บนแผ่นกระจกวาดลวดลายที่แตกต่างกันไว้ทั้งหมดสามสิบลาย ลวดลายพวกนี้มีล ลักษณะต่างกัน สัญลักษณ์ต่างกัน ถึงขั้นไม่ใช่รูปทรงวงกลมด้วยซ้ำ
ลู่เซิ่งเคาะแผ่นกระจกเบาๆ ลวดลายบางส่วนพลันสว่างขึ้นมา
ลวดลายทั้งหมดสามสิบลายสว่างขึ้นอย่างน้อยสิบลาย
การคุกคามเมื่อก่อนหน้านี้ ประสบการณ์อันตรายตอนเข้าไปในรอยร่องแยก ทำให้เขาสัมผัสได้อย่างล้ำลึกว่า ตนในตอนนี้ยังอ่อนแอเหลือเกิน ดังนั้น เขาเลยตัดสินใจเร่งดูดซับพลังอาวรณ์ เพื่อนำมาย่อยสลายจักรวาลที่กลืนกิน
และลวดลายสามสิบลายนี้ ก็คือค่ายกลที่เอามาใช้ทำให้พลังของเขาแผ่พุ่งไปยังมิติอื่นของจักรวาลผืนนี้
แกนกลางของจักรวาลแห่งนี้คือดาวเคราะห์ดวงนี้ และค่ายกลสามสิบลายที่เขาออกแบบมาก็สามารถหาพลังอาวรณ์มามากว่าเดิม ผ่านดาวเคราะห์ทุกดวงที่เชื่อมต่อกับดาวเคราะห์ดวงนี้ได้อย่า างหมดจด
‘แค่พลังอาวรณ์ของดาวเคราะห์ดวงนี้ยังไม่พอ…’ หลังตรวจสอบเสร็จ ลู่เซิ่งก็วางแผ่นกระจกกลับไปในลิ้นชัก
แกร๊ก
จู่ๆ ก็มีเสียงแตกดังในสมองของเขา
ลู่เซิ่งเพ่งตามอง
นี่เป็นเสียงของสิ่งของซึ่งเขาเพิ่งให้อันนาไป สิ่งนั้นแตกแล้วเหรอ!
‘เกิดอะไรขึ้นกัน?’ เขาลุกพรวด สีหน้าเคร่งขรึมลง
เขาในเวลานี้แทบจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดบนดวงดาวแล้ว ตราประทับเสริมพลังที่เขามอบไป ไม่ว่าเป็นขุมกำลังใด เมื่อสัมผัสเจอกลิ่นอายพลังบนนั้น ก็น่าจะให้เกียรติกันไม่มากก็ น้อย
ทว่าตอนนี้ อีกฝ่ายกลับทำลายตราประทับของเขาทิ้ง
‘จักรวาลแห่งนี้มีคนที่บังอาจสู้กับฉันซึ่งหน้าด้วยหรือ? น่าสนใจ…’ ลู่เซิ่งแสยะยิ้ม
คลื่นพลังบนตราประทับนั้นไม่ได้แข็งแกร่ง เป็นเพียงไม้แกะสลักอันเล็กๆ ทั้งยังไม่ใช้วัสดุพิเศษ จะแกร่งได้สักเท่าไหร่กัน สิ่งที่แข็งแกร่งคือกลิ่นอายที่เขาเติมเข้าไป แต่อีกฝ่าย ยไม่เห็นหัวกันแม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงความเร้นลับของกระแสอากาศสายก่อนหน้า ลู่เซิ่งก็เริ่มสนใจบ้างแล้ว
ท่ามกลางมิตินับไม่ถ้วน แม้เขาจะนับว่าเป็นผู้รอบรู้ แต่พลังที่ยังไม่รู้จักก็มีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว การได้เจอพลังที่ไม่เคยพบมาก่อนจึงถือเป็นเรื่องปกติมาก
ครุ่นคิดเล็กน้อย ลู่เซิ่งปรบมือเบาๆ
ระลอกคลื่นโปร่งใสกระเพื่อมออกมาด้านหน้าเขา มือกระบี่หนักที่สวมเกราะหนักสีดำและถือกระบี่ยักษ์สีดำด้วยสองมือคนหนึ่งเดินออกมา
เพียงแต่มีควันดำหลายสายล่องลอยออกมาจากในรอยร่องแยกระหว่างเกราะของมือกระบี่หนักผู้นี้ มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์
“ไปตวจสอบหน่อยว่า ใครลงมือกับบริษัทเจอร์มัน” ลู่เซิ่งสั่ง
พลังของจักรวาลแห่งนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง พลังเหนือธรรมชาติที่กล้าแข็งส่วนใหญ่ล้วนมารวมตัวกันบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของคนที่ทำลายตราปร ระทับได้
“ขอรับ” มือกระบี่หนักคุกเข่าลงช้าๆ กล่าวเสียงดังก้อง
…
ในคฤหาสน์แถบชานเมืองของตระกูลเจอร์มัน อันนามองดูตราประทับเล็กๆ ที่ตนเพิ่งได้มาอย่างสงสัย ของสิ่งนี้ดูแข็งแรงทนทาน แต่เพิ่งผ่านไปไม่นานกลับแตกเสียแล้ว
เธอบ่นว่าสินค้าของพี่ชายมักเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์แบบนี้ แต่ก็เก็บตราประทับที่แตกไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะลงรถเดินไปหาหัวหน้าสาวรับใช้ที่ต้อนรับเธอ
“สายัณห์สวัสดิ์ ซินดี้”
“สายัณสวัสดิ์ค่ะ คุณหนูอันนา” หัวหน้าสาวรับใช้แสดงสีหน้าเป็นกังวล ทำให้อันนารู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง
“เป็นอะไรไปเหรอซินดี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้น” อันนาถามเสียงแผ่ว
“…มีคนแปลกหน้ามาคนหนึ่ง กำลังทะเลาะกับนายท่านเจอร์มันอยู่ในโถงใหญ่ พวกเราไม่กล้าเข้าใกล้ และไม่เข้าใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน คุณหนูไปดูเองดีกว่าค่ะ” ซินดี้รับระดับใช้ตระกูล เจอร์มันมาสามสิบปี เธอที่อายุเลยห้าสิบแล้วไม่อยากจะเสียงานของตัวเองไปเพราะปัญหายิบย่อย
“ฉันเข้าใจแล้ว จะไปทันที” อันนาขมวดคิ้ว ช่วงนี้สถานการณ์แบบนี้เกิดกับคุณพ่อบ่อยๆ โรงงานหลายแห่งทำงานไม่ได้ ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากแรงงาน แ แรงงานโลภมากพวกนั้นขอขึ้นค่าแรงครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สนใจบริษัทที่แบกรับภาระหนักหน่วงแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่รู้เหรอว่าถ้าบริษัทล้ม พวกเขาได้ลำบากแน่
อันนาครุ่นคิดอย่างจนใจและคับข้อง ขณะสาวเท้าเดินไปยังห้องตรงกลางคฤหาสน์
เพิ่งผลักประตูเข้าไปก็เห็นว่า ในโถงใหญ่ที่แสงไฟสว่างไสว ชายวัยฉกรรจ์ที่ไว้เคราข้างแก้มสีแดงคนหนึ่ง กำลังจ้องมองน็อตติ้ง เจอร์มันผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อีวานโนวาผู้เป็นแม่นั่งอยู่บนโซฟา ตาแดงเล็กน้อย
น้องชายไม่อยู่ น่าจะออกไปข้างนอก
“เจอร์มัน นี่เป็นคำขาด สมาคมไม่สนใจหรอกว่าก่อนหน้านี้นายจะสร้างความดีความชอบไว้ขนาดไหน นี่เป็นสงคราม ไม่มีความปรานี พลังของโชคชะตา ไม่มีใครต้านทานได้” ชายไว้เคราแดงเอ่ยเส สียงทุ้ม
“พวกนายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองกำลังเผชิญสิ่งใด…หรือควรบอกว่า นายนึกว่าพวกผู้มีพลังพิเศษฮีโร่ที่ตัวเองแอบจ้างไว้จะสู้กับทั้งสมาคมได้เหรอ” ชายไว้เคราข้างแก้มเย้ย