ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1177 ปิดฉาก (1)
วันที่ 11 เดือน เมษายน ฟ้าโปร่ง อุณหภูมิ 37.6 องศาเซลเซียส
ณ เมืองยาซานด้า เมืองหลวงของสาธารณะรัฐอีเทอร์
ศูนย์ใหญ่ของสมาคมฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษเป็นตึกสูงสี่ร้อยกว่าเมตร ตึกเป็นรูปกรวย รอบๆ มีเสาโลหะหลายต้นค้ำยันสี่มุมของตึกใหญ่
ในห้องประชุมหลัก ชั้นที่ห้าสิบใจกลางศูนย์ใหญ่
ฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษระดับ S สิบคนมารวมตัวกันพร้อมเพรียง
ในมุมที่แสงอึมครึมเล็กน้อย ทุกคนสูงต่ำไม่เท่ากัน รูปร่างหุ่นแตกต่างกัน ยากจะมองให้ชัดว่าผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่บนสุดจูงสุดของมวลมนุษยชาติมีสีหน้าแบบใดใต้แสงมัวซัว
“ร่างแยกของฉันถูกทำลายแล้ว” ชายร่างสูงใหญ่ที่สวมเกราะจักรกลสีเงินคนหนึ่งตรงมุมห้องพลันเอ่ย “ไปช่วยคนไม่สำเร็จ ทั้งยังโดนทำลายทิ้ง ผู้ไกล่เกลี่ยคนนี้ ร้ายกาจมาก”
“ร้ายกาจขนาดไหน” ชายชราร่างเตี้ยที่อยู่ด้านข้างถามเสียงเรียบ “ร่างแยกของคุณไปๆ มาๆ ก็มีความสามารถไม่กี่อย่าง ถ้าเอาจริงสักหน่อย พลังต่อสู้ยังสู้ระดับ A ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าอ อยู่ในความสูงนอกอวกาศก็พอจะนับว่าได้เปรียบ”
“ไม่…ประเด็นสำคัญก็คือ ตั้งแต่ร่างแยกของฉันลงมือจนถูกทำลาย ใช้เวลาไม่ถึงสี่วินาที” ชายสวมเกราะที่พูดเผยใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบเฉยเย็นชาออกมา เป็นฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษระดับ บ S ราชาท่องดาว ไทบอร์
“ร่างตัวโคลนของฉันก็ถูกกำจัดไปแล้วเหมือนกัน ร้ายกาจมากนะ ผู้ไกล่เกลี่ยเกี่ยคนนั้น” ชายที่สวมเกราะเหมือนกันซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
เขาติดผ้าคลุมรูปกางเขนสีขาวไว้ด้านหลัง สองแขนสองขาเต็มไปด้วยอุปกรณ์ยิงกระสุน
คนคนนี้ก็คืออัศวินเงาที่ถูกลู่เซิ่งไล่ล่าไปก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ผู้ไกล่เกลี่ยอะไรนั่นประกาศว่า ต่อจากนี้เขาจะมาเยี่ยมศูนย์ใหญ่ของสมาคมฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษ พวกเราจะรับมืออย่างไร”
สาวผมดำที่ใส่ชุดแนบเนื้อสีแดงคนหนึ่งถามเสียงทุ้ม
ปัญหานี้ ไม่มีใครที่อยู่ในห้องมีสิทธิ์ตอบ สายตาของทุกคนต่างมองไปยังคนที่อยู่ใกล้ทางซ้ายมือสุด
คนคนนั้นชื่อคาเตอร์ หนึ่งในฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษระดับ S และเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมในเวลาเดียวกัน
คาเตอร์เป็นชายที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ เขาสวมสูทสีเงินสะอาดสะอ้าน เข้าคู่กับเน็กคไทขาว สวมหมวกทรงสูงางการสีดำ มือกำไม้เท้าสลักลวดลายงดงามที่หน้าตาเหมือนงูและนกผสมกั น
“เกี่ยวกับสี่ลัทธิใหญ่ และผู้ไกล่เกลี่ยคนนั้น ฉันหวังว่าพรุ่งนี้ ทุกท่านจะยังคงยืนอยู่ตรงนี้ กลับมายังที่นี่ ฉันได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาว่า ผู้ไกลเกลี่ยคนนั้นประกาศอย ย่างเป็นทางการแล้วว่าจะมาที่นี่”
ความสามารถของคาเตอร์คือผู้ดูดซับ สามารดูดซับชีวิตของสิ่งที่เขาสัมผัสได้ ซึ่งรวมถึงพืชและเซลล์ ส่วนพลังงานที่ดูดซับจะเก็บไว้ในร่างกายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งถึงขีดสุดได้ในเวลาสั้นๆ แน่นอนว่าสภาพที่ผลาญพลังงานสำรองนี้ ตัวเขาทนได้อย่างมากสุดแค่ยี่สิบนาที แต่ยี่สิบนาทีนี้ก็เหลือเฟือแล้ว
“เหิมเกริมจริงๆ นึกว่าคนเดียวจะสู้กับพวกเราทั้งหมดได้เหรอ” คนคนหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
“อาจเพราะหมอนี่คิดอย่างนี้จริงๆ ก็ได้” มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
จอมยุทธ์ผ้าคลุมวิลต้าจ้วงนั่งสลึมสลืออยู่ตรงมุมห้อง เขาไม่พูดอะไรเลยมาตั้งแต่เปิดประชุม และคร้านจะพูด สำหรับเขาแล้ว ความจริงเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเสียเวลาที่ไม่จำเป็น อย ย่างไรภัยพิบัติก็ปรากฏแล้ว แค่ไปจัดการก็พอ คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์
ทุกๆ ครั้งที่เปิดประชุม แผนการที่ได้ในตอนสุดท้ายก็เป็นการปะทะตรงๆ นั้นแหละ ไม่ใครคนไหนมีแผนการเป็นชิ้นเป็นอัน
พวกฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษที่อยู่รอบๆ ถกกันเรื่องวิธีการที่จะใช้กับผู้ไกล่เกลี่ย
พวกเขารู้จักลัทธิน้อยเกินไป
นอกจากลัทธิเทพนอกรีตโลหิตที่รู้จักอยู่บ้างแล้ว สามลัทธิที่เหลือก็ไม่มีข้อมูลมากนัก โดยเฉพาะลัทธิเทพหมาป่าพันเศียรยังเกี่ยวพันถึงขุมกำลังธรรมดาขนาดใหญ่ของรัฐบาล
ขุมกำลังพวกนี้มีเจ้าหน้าที่คนสำคัญของรัฐบาลแต่ละประเทศปะปนอยู่ เกาะกุมหน่วยข้อมูลมากมาย พูดถึงกำลังต่อสู้ พวกเขาอาจไม่ได้เรื่อง แต่พูดถึงทักษะการแสดง คนที่อยู่ในห้องนี้ไม่ มีใครเก่งเท่าพวกเขา
เมื่อมีคนธรรมดาเป็นพื้นฐาน สมาคมฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษจึงไม่รู้จักสี่ลัทธิดีเท่าอีกฝ่ายรู้จักตัวเอง
คุยกันไปคุยกันมา วิลต้าจ้วงก็รู้สึกว่าตนอยู่ที่นี่ไปก็ง่วงนอนเปล่าๆ อย่างไรที่นี่ก็มีระดับ S คนอื่น เขาจะลงมือหรือไม่ ดูจากกองกำลังนี้ ไม่น่าจะมีโอกาสลงมือ ถ้าผู้ไกล่เกลี ยอะไรนั่นมาถึงต้องถูกกำจัดแน่ แตกต่างที่ว่าใครจะเป็นคนลงมือเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นๆ คุยกันอย่างดุเดือด แอบเปิดประตูด้านหลังแล้วดอดออกไปผ่อนคลายจิตใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะได้คะแนนมากกว่าสิบล้าน เขาก็คร้านจะเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อฟังคนกลุ่มนี้พล่ามไร้สาระ
เดินออกจากห้องประชุม วิลต้าจ้วงกระโดดลงไปบนพื้นใกล้ๆ อย่างแผ่วเบา สำหรับคนของที่นี่ การเหาะไม่ใช่เรื่องที่มีค่าให้ภาคภูมิใจ ฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษระดับต่ำจำนวนไม่น้อยล้วนทำไ ได้ แตกต่างกันที่ความสูงกับความเร็วเท่านั้น
ดังนั้นวิลต้าจ้วงจึงไม่ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เมื่อบินออกจากห้องประชุม
หลังจากลงพื้นแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังกองบำรุงของสมาคมเพื่อยืนยันว่าคะแนนสมาคมของเขาสามารถเข้าบัญชีได้ตลอดเวลา จากนั้นก็สมัครกรุ๊ปท่องเที่ยวเล็กๆ อย่างพึงพอใจ คิดจะท่องเที่ย ยวผ่อนคลายจิตใจในบริเวณรอบๆ สักสองวัน อย่างไรก็อุตส่าห์ต์ได้ออกมาทั้งที
สิ่งที่ประหลาดก็คือ ฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษระดับ S ซึ่งอยู่ในห้องประชุมไม่สนใจการออกมาของเขาสักคนเดียว
ในสายตาพวกเขา ความจริงวิลต้าจ้วงเป็นตัวประกอบ เขาไม่เคยจัดการภัยพิบัติครั้งใหญ่สักครั้ง ภัยพิบัติระดับทำลายล้างยิ่งไม่เคยมีใครเห็นเช่นกัน
และทุกครั้งสายรัดข้อมือบันทึกข้อมูลที่แจกให้เขาใส่ อย่างมากสุดก็บันทึกแค่ว่า เขามุ่งหน้าไปยังจุดเกิดภัยพิบัติ จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
สายรัดข้อมูลทั้งหมดกลายเป็นของใช้แล้วทิ้ง แม้แต่ข้อมูลบันทึกที่อยู่ด้านในก็ถูกลบจนเกลี้ยง
วิลต้าจ้วงน้อยเนื้อต่ำใจกับเรื่องนี้เช่นกัน
ตัวเขาไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่ลงมือ สายรัดข้อมือที่บันทึกผลการต่อสู้ถึงสูญเสียความสามารถทั้งหมดไปเหมือนเกิดความเป็นแม่เหล็ก
ไม่เพียงเท่านั้น ข้าวของขาวเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในบ้าน ขอแค่เขาสัมผัสบ่อยหน่อย ก็จะเสียประสิทธิผลเช่นกัน
เป็นเพราะไม่สามารถตัดสินผลการต่อสู้ของเขาได้ แต่เขาก็เป็นคนไปถึงจุดเกิดภัยพิบัติระดับทำลายล้างขนาดใหญ่หลายครั้ง ดังนั้นกรรมการาประเมินณจึงได้แต่มอบตำแหน่งระดับ S ให้เขาตา ามผลการทดสอบด้วยความจนปัญญา
เรื่องนี้ไม่นับเป็นเรื่องสำคัญในสายตาฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษระดับ S ระดับ S ทุกคนต่างมีผลการต่อสู้ของตัวเอง แต่พวกเขาเห็นว่า วิลต้าจ้วงเป็นเพียงคนที่โชคดีฟลุ๊คเข้ามาได้
ดังนั้น ในตอนที่วิลต้าจ้วงขึ้นไปนั่งบนรสบัสท่องเที่ยวสำหรับเข้าสู่ตัวเมืองได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว ค่อยมีคนในห้องประชุมพบว่า ระดับ S ขาดไปคนหนึ่ง
แต่พวกเขาไม่สนใจ หลังจากคาเตอร์ยืนยันว่าวิลต้าจ้วงยังอยู่แถวนี้ ก็คร้านจะใส่ใจ สำหรับพวกเขา ระดับ S เก้าคนในห้องประชุมถือว่าเหลือเฟือแล้ว
สามารถขับไล่ผู้ไกล่เกลี่ยแห่งสี่ลัทธิใหญ่ได้สบายๆ
…
เช้าตรู่วันต่อมา
ลู่เซิ่งเข้าพบกับตัวแทนติดตามสี่คนจากสี่ลัทธิใหญ่ในสาขาของลัทธิราชามังกรสีรุ้งของเมืองไวท์
สี่คนนี้เป็นคาร์ดินัลที่มาจากลัทธิเทพนอกรีตโลหิตหนึ่งคน อัครมุขนายกที่มาจากลัทธิราชามังกรสีรุ้งหนึ่งคน รวมถึงตัวแทนของอัครมุขนายกที่มาจากสองลัทธิที่เหลือ
ทั้งสี่อยากจะติดตามลู่เซิ่งไปยังศูนย์ใหญ่ของสมาคมฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษ
แต่ถูกเขาปฏิเสธ
เงื่อนไขของลู่เซิ่งคือ ให้พวกเขาคอยดูสถานการณ์แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะตามไปหรือไม่
หลังจากจัดการตัวแปรที่อาจจะเกิดขึ้นเสร็จแล้ว ลู่เซิ่งก็บอกลาครอบครัว ตัดสินใจจัดการความยุ่งยากทั้งหมดบนโลกใบนี้อย่างเป็นทางการ ที่เขาจุติมายังที่นี่ในตอนแรกสุดก็เพื่อตามห หาหวังจิ้งศิษย์อาจารย์เท่านั้น
ตอนนี้เจอร่องรอยที่หวังจิ้งทิ้งไว้แล้ว เขาอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร จึงถือโอกาสขูดรีดพลังอาวรณ์ แล้วค่อยวางแผนจากไป
ส่วนการขูดรีดพลังอาวรณ์ ยังมีวิธีไหนที่เร็วยิ่งกว่าการกินปฐมพลังจักรวาลอีก
วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับกินปฐมพลังจักรวาล ก็คือแปลงพลังงานก่อน แล้วค่อยดูดซับทีหลัง
ปฐมพลังจักรวาลเป็นบ่อเกิดของทุกพลังงานสสาร เป็นต้นกำเนิดที่วิวัฒนาการทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
ดังนั้นหากผสมสสารและพลังงานสักชนิดหนึ่งในจำนวนที่เหมาะสมเข้า จากนั้นบีบอัดและเพิ่มความเข้มข้นในระดับสูง ก็จะสร้างปฐมพลังจักรวาลได้ ทั้งยังย้อนคุณสมบัติแรกสุดออกมาได้ด ด้วย
และการจะไปให้ถึงจุดนี้ได้ วิธีการที่ดีที่สุดคือสร้างหลุมดำมาช่วยเพิ่มความเข้มข้นให้แก่ปฐมพลัง
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลู่เซิ่งเจอทำเลหลายแห่งในอวกาศแล้ว เขาสั่งให้ขุมกำลังใหญ่ๆ ในโลกรูปจิตดำเนินการทดลองสร้างหลุมดำขึ้น
ในโลกรูปจิต นอกจากยักษ์ดำและวิหารดวงดาวแล้ว ยังมีอัจฉริยะผู้มีความสามารถจากโลกต่างๆ ที่เขาเคยดูดซับเข้าไปอีก
หลังจากอัจฉริยะผู้มีความสามารถเหล่านี้ผสมกับผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในโลกรูปจิต ก็เริ่มให้กำเนิดกองกำลังเหี้ยมหาญที่มีขนาดใหญ่โตออกมา
นอกจากเผ่ากระต่ายพุทธะที่น่าเอือมระอาที่สุดแล้ว เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังด้านไหน ต่างไม่ด้อยไปกว่าสำนักมารกำเนิดในโลกมารสวรรค์
นี่เป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งรวบรวมไว้ และเป็นความมั่นใจที่เขาสะสมไว้หลังจากจุติไปยังโลกต่างๆ มามากมาย
ความจริงเขาคนเดียว เท่ากับกลุ่มก้อนของอารยธรรมขนาดมหึมาหลายแห่ง
ยิ่งอย่าว่าแต่เขายังมีความสามารถน่ากลัวสำหรับกลืนกินจักรวาลอีก
ไม่ว่าอยู่ในโลกแห่งใดหรือระบบใด ล้วนเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
สามารถพยากรณ์ได้ว่า หลังจากเจอตัวหวังจิ้งแล้ว เมื่อลู่เซิ่งกลับโลกมารสวรรค์ ถ้าไม่รีบเร้นกายให้เร็วที่สุด เกรงว่าจะมีคนมาหาเรื่องทันที
ขณะต้านลมหนาวจากอากาศสูง ลู่เซิ่งมองดูผิวทะเลสีครามที่เลื่อนผ่านด้านล่างอย่างรวดเร็ว จิตใจสุขสงบ
เขาบินอยู่เหนือมหาสมุทรด้วยความเร็วสูง ในใจนึกถึงวิธีจัดหาที่อยู่ให้แก่สิ่งมีชีวิตจำนวนมากบนโลกใบนี้
ถ้าไม่อยู่เหนือความคาดหมาย หลังเปิดการทำงานของหลุมดำ ปฐมพลังของโลกใบนี้จะถูกกลืนกินดูดซับ สิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้จะเจอกับภัยพิบัติวันสิ้นโลกที่ยุ่งยากที่สุด
ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ และเพื่อรักษาสมดุลของโลก เขาคิดจะกลืนกินดาวส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เข้าสู่โลกรูปจิตเท่าที่จะทำได้
แม้การทำแบบนี้จะมอบภาระบางส่วนให้แก่โลกรูปจิตของตัวเอง แต่เพื่อความสงบสุขสันติของมนุษย์ทุกผู้ทุกคน
เขายังคงตัดสินใจทำการเสียสละเล็กๆ น้อยๆ นี้
ฮือ…
ด้านหน้าไกลออกไปมีเสียงทุ้มที่คล้ายเสียงเป่าแตรดังมา
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองดู
เมืองมหึมาสีเงินด้านหน้าเริ่มโผล่ขึ้นในคลองจักษุของเขา
‘นี่คือศูนย์ใหญ่ของสมาคมฮีโร่ผู้มีพลังพิเศษเหรอ’
เขาผุดสีหน้าสนอกสนใจ ยกมือขึ้นเสกคลื่นขยายเสียงจางๆ ออกมากลุ่มหนึ่ง คิดจะสื่อสารกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกทิ่มแทงกระจายมาจากทั่วทุกส่วนของร่างกาย
เดิมทีสิ่งก่อสร้างสีเงินหลายแห่งของเมืองยังเป็นเพียงตึกและหอคอยธรรมดา เวลานี้กลับค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง เผยกระบอกปืนทรงกลมสีดำสนิทหลายกระบอกออกมาจากตรงกลาง
ปากกระบอกปืนสีดำอันแน่นขนัดเล็งมาที่ลู่เซิ่งจากมุมต่างๆ
ฟ้าวๆๆๆๆ!
หลังเกิดเสียงยิงปืนดังตูมตาม กระสุนมิสไซล์ที่ลากหางเพลิงหลายลูกก็พุ่งมาใส่ลู่เซิ่งอย่างมืดฟ้ามัวดิน
‘น่าสนใจดีนี่’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเรียบเฉย คลื่นโปร่งแสงหลายกลุ่มค่อยๆ โผล่ขึ้นด้านหน้า
ฉับพลันนั้นกระสุนปืนใหญ่และมิสไซล์นับไม่ถ้วนก็หายเข้าไปในคลื่นโปร่งแสง
ส่วนเขาเร่งความเร็วพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับระลอกคลื่น