ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1184 หมอบซุ่ม (2)
แสงแดดสว่างไสว กลิ่นอายน้ำหอมจางๆ ของเหล่าเด็กสาวกระจายอยู่ในอากาศ
ลู่เซิ่งหนีบเอกสารการสอนใต้รักแร้ สวมเชิ้ตเชิ๊ตขาว เสื้อกั๊กสีเหลือง และกางเกงขายาวสีดำ รองเท้าหนังที่เป็นมันวาวก้าวเดินบนพื้นหินที่สะอาดเกลี้ยงเกลา
เขาชอบสภาพแวดล้อมที่สงบสุขอบอุ่นอย่างนี้ หรือควรบอกว่า ถ้าครอบครัวอยู่ด้วย นี่จะเป็นชีวิตสุขสันต์ที่เขาเฝ้าฝันปรารถนา
ตัดผ่านโถงทางเดิน ลงบันได อาจารย์ที่เป็นชายวัยกลางคนสวมกั๊กสีดำคนหนึ่ง ยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงมุมโค้งบันได หลังพิงผนัง สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
ลู่เซิ่งเห็นเขาถือกระดาษจดหมายที่เพิ่งฉีกฉบับหนึ่ง อาจได้รับข่าวที่ไม่ดี
เขาเดาว่าอย่างนี้
ไม่ได้สนใจอะไรนัก ลู่เซิ่งเดินผ่านเขา ลงไปด้านล่างต่อ
เขาค้นเจอเบาะแสที่เป็นไปได้ข้อหนึ่งจากในความทรงจำของอีเซอรา
บางครั้งในสถาบันจะมีข่าวลือว่า ทุกๆ วันตอนกลางคืนจะมีเสียงเปียโนที่บรรยายไม่ถูกดังขึ้นอย่างกะทันหันหลายครั้งในห้องเปียโน
อีเซอราเคยแอบย่องไปดูตอนกลางคืน เห็นหญิงสาวร่างสะโอดสะองผมดำคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเปียโน นิ้วขาวเรียวแตะสัมผัสคีย์เปียโนแผ่วเบา
น่าเสียดายที่สถาบันเคยเชิญบาทหลวงของศาสนาจักรมาดู แต่ไม่เจอปัญหาใดๆ จากนั้นเรื่องนี้ก็เงียบไป
อย่างไรขอแค่ไม่มีผลกระทบเลวร้าย ก็ไม่มีใครสนใจ
แต่ว่าแค่เรื่องนี้ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับการบวงสรวงแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีเบาะแสอีกสาย ในโรงแรมแห่งหนึ่งด้านนอกสถาบันระดับสูงวิสซีเรียเคยเกิดคดีฆาตกรรมครั้งหนึ่ง เหยื่อถูกตัดแขนขาและศีรษะ แล้วถูกนำมาวางเป็นรูปทรงรีที่แปลกประหลาด บนผนังรอบๆ เขียนอักขระที่มองดูไม่เข้าใจไว้เต็มไปหมด
เพิ่งจะจุติลงมา ลู่เซิ่งก็อยากจะไปยังที่เกิดเหตุอย่างแทบจะอดรนทนไม่ไหว
ขอแค่เจอช่องโหว่วหรือรอยร่องแยกสักแห่ง เขาจะสามารถร่วมมือกับซีหนิงเพื่อเปิดประตูสู่ปฏิสุญญตาได้
“อาจารย์อีเซอราสวัสดีค่ะ” เหล่านักศึกษาหญิงที่ผ่านมาส่วนหนึ่งถอนสายบัวทำความเคารพลู่เซิ่งอย่างมีมารยาท
ลู่เซิ่งพยักหน้าทักทายกลับตามนิสัยเดิมของอีเซอรา
จำเป็นต้องยอมรับว่าเพราะความโดดเด่นทางด้านหน้าตา ในระยะทางสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยเมตรตั้งแต่หอพักถึงห้องเปียโน ลู่เซิ่งทักทายกับอาจารย์และนักศึกษาที่เดินสวนกันไปแล้วอย่างน้อ อยสิบกว่ากลุ่ม
วิสซีเรียเป็นโรงเรียนศาสนา ตามกฎของศาสนจักรแห่งจักรวรรดิ ภายในสถาบันนักเรียนหญิงไม่อนุญาตให้เปิดเผยผิวตั้งแต่คอลงไปในสถาบัน
ดังนั้นวิธีการแบ่งแยกอาจารย์กับนักเรียนที่ง่ายที่สุดของที่นี่ ก็คือดูที่การแต่งกาย
คนที่สวมกระโปรงดำถุงน่องดำ เครื่องแบบนักเรียนแขนยาว ไม่โชว์ผิวสักส่วนเดียว ต่างเป็นนักเรียน ส่วนอาจารย์ส่วนใหญ่จะสวมชุดทางการ หรือไม่ก็กระโปรงขายาวโดดเด่นที่ยาวถึงขาท่อ อนปลาย
ลู่เซิ่งเดินฝ่าแสงอาทิตย์ไปถึงห้องเรียนเปียโนอย่างรวดเร็ว
ห้องเรียนเปียโนหกห้องกำลังมีการสอน อาจารย์บางคนสอนความรู้ให้แก่นักเรียนอยู่ด้านในเสียงดัง บางคนก็ไปสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่าง
บางคนให้นักเรียนแสดงให้ดู ส่วนตัวเองนั่งพักผ่อนอยู่ด้านข้าง
ลู่เซิ่งกวาดตามอง พลันจับสายตาที่ห้องเปียโนด้านซ้ายสุด
นั่นคือห้องเรียนที่ก่อนหน้านี้อีเซอราพบปัญหา
เพียงแต่ตอนนี้ด้านในมีคนสิบกว่าคนกำลังเรียนอยู่ จึงเข้าไปตรวจสอบไม่ได้
เดินวนรอบห้องเปียโนรอบหนึ่ง ลู่เซิ่งตรวจสอบผลกรรมความปรารถนาของอีเซอราไปพลาง ค้นร่องรอยที่อาจหลงเหลืออยู่ตามระบบความรู้ศาสตร์เร้นลับไปพลาง
เนื่องจากต้องป้องกันไม่ให้ถูกพบ เขาเลยใช้พลังของร่างหลักไม่ได้ แต่ไม่ว่าเป็นพลังใดๆ ต่างก็ทิ้งร่อยรอยไว้ตอนทำงานทั้งสิ้น
“ไม่มีร่องรอย…” ตรวจสอบรอบหนึ่ง ลู่เซิ่งไม่พบร่องรอยกลิ่นอายที่น่าสงสัยว่ามีพลังเหนือธรรมชาติใดๆ
ทางนี้ไม่ได้ความอะไร กลับเป็นความปรารถนาเดิมของอีเซอราซึ่งเขาหาเจอ
‘คืนความรุ่งเรืองให้แก่ตระกูล...ความปรารถนานี้ไม่ชัดเท่าไหร่ ยิ่งไม่ชัดก็ยิ่งแก้ยาก’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
ตระกูลเดอฟานโบเริ่มตกต่ำตั้งแต่รุ่นตาของอีเซอรา
ตระกูลทั้งตระกูลแบ่งออกเป็นสามสาย สายที่มีชีวิตดีที่สุดคือสายฝั่งท่านอาที่ทำธุรกิจ ตอนนี้อาศัยอยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์ที่ราคาแพง
บางครั้งจะเชิญเขาไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาและล่าสัตว์
รองลงมาคือสายของอีเซอรา
ส่วนสายที่สามคือท่านป้าของเขา ว่ากันว่าเป็นครูสอนพิเศษแม่ชีประจำตระกูลให้คนอื่น มีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่ง รายรับไม่สูง อัตคัดขัดสน
‘ครอบครัวตกอับ ความก้าวหน้าของแต่ละคนก็ย่ำแย่ จะตัดสินได้อย่างไรว่าถึงขนาดไหนถึงจะนับว่ารุ่งเรือง ลำบากจริงๆ’
ลู่เซิ่งละสายตากลับจากห้องเปียโน แล้วหมุนตัวเดินไปนอกสถาบันโรงเรียน
อาศัยตอนที่อาหารเย็นยังไม่เริ่ม มีเวลาเหลือบางส่วน เขาสามมารถไปตรวจดูโรงแรมที่เกิดเหตุฆาตกรรมแห่งนั้นได้
ยิ่งเจอเบาะแสเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี อย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่กับผลประโยชน์ด้านจิตวิญญาณที่จะได้รับ หลังทำความปรารถนาให้เป็นจริงสักเท่าไหร่แล้ว
ทุกอย่างกำหนดให้การจัดการเรื่องหลักเป็นมาตรฐาน
ร่างกายร่างนี้ก็แค่ถุงหนัง หลังบรรลุเป้าหมายค่อยสร้างวิญญาณขึ้นมาดวงหนึ่งก็พอ
ลู่เซิ่งเดินออกจากสถาบันโรงเรียนไปตามทางมืดครึ้ม แล้วลัดเลาะถนนที่ใบไม้ตกเกลื่อนกลาดกล่านไปถึงโรงแรมที่เกิดเรื่อง
รอบๆ โรงแรมคือร้านค้าที่ขายอุปกรณ์วาดภาพ เวลานี้ยังมีนักเรียนบางส่วนเข้าๆ ออกๆ
ป้ายชื่อโรงแรมไนน์ฟอร์ดแขวนเอียงอยู่บนโรงแรม คนเดินถนนที่ผ่านทางในอาณาเขตหลายเมตรรอบๆ ต่างหลีกเลี่ยงโรงแรม อยู่ห่างจากที่นั่นโดยไม่รู้ตัว
แสดงให้เห็นชัดว่า คดีที่เกิดก่อนหน้านี้สะเทือนขวัญขนาดไหน
ลู่เซิ่งเดินวนรอบโรงแรมรอบหนึ่ง ก่อนจะเปิดหน้าต่างด้านหลังโรงแรม ที่มีหญ้ารกขึ้นคลุมด้านหลังโรงแรม แล้วพลิกตัวโดดเข้าไป
ในโรงแรมเต็มไปด้วยหยากไย่และขี้หนู แสดงให้เห็นว่าหนูจำนวนไม่น้อยเคยทำรังในที่แห่งนี้
โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนะระราด ไม้ของสถานที่บางส่วนผุกร่อน
รอยเท้าที่แจ่มชัดหลายรอยยังหลงเหลืออยู่รอบโต๊ะเก้าอี้ เหมือนมีคนเพิ่งมาที่นี่ไม่นาน
ลู่เซิ่งพิจารณาสภาพของโรงแรม
บาร์อยู่ทางซ้ายของประตู ส่วนอื่นๆ เป็นโต๊ะกลมและเก้าอี้ไม้แดง ต่างเป็นโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากแผ่นกระดานที่เอาเศษไม้มาบีบอัด ราคาถูกและสะดวกสบาย
ขวดเหล้าหลายขวดกระจายอยู่ตรงมุมกำแพง ยังมีเสื้อผ้าบางส่วนตกอยู่ข้างขวดเหล้า
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือร่องรอยสีแดงเข้มบนพื้นตรงกลางโถง ยังมีสัญลักษณ์ประหลาดสีแดงที่หลงเหลือบนผนังรอบๆ จำนวนหนึ่ง
‘นี่มันอะไรกัน อักขระพวกนี้ไม่มีประโยยชน์อะไรเลย เชื่อมต่อกับการดำรงอยู่ใดๆ ไม่ได้ และกระตุ้นการควบคุมพลังใดๆ ไม่ได้…ดูเหมือนจะเป็นร่องรอยที่คนบ้าขีดเขียนไว้มากกว่า’
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
ที่เกิดเหตุฆาตกรรมแห่งนี้ลี้ลับแปลกประหลาดจริงๆ แต่ก็เท่านั้น เขารู้สึกเหมือนมีคนแสร้งทำให้การบวงสรวงของลัทธินอกรีต กลายเป็นปลอมแปลงการฆาตกรรมทั่วไป เป็นการบวงสรวงของลัทธินอ อกรีตมากกว่า
ถอยออกมาจากหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ลู่เซิ่งเพิ่งโดดลงจากหน้าต่าง ด้านหลังก็มีเสียงแสกสากดังมา
เขารีบหันไปมอง หนูขนเหลืองที่ใหญ่เท่าฝ่าเท้าตัวหนึ่งพุ่งผ่านพุ่มหญ้าไปด้วยความเร็วอันว่องไว
ลู่เซิ่งย่นคิ้ว ปัดฝุ่นบนมือ ก่อนจะหมุนตัวผละไป
เบาะแสที่มีเพียงสองสายไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แม้โลกใบนี้จะมีพลังเหนือธรรมชาติ แต่หากอยากจะเข้าไปสัมผัสด้วย เหมือนจะไม่ง่ายนัก
หลังการทดลองล้มเหลว ลู่เซิ่งก็รีบกลับ
สองสามวันต่อมา ตอนเช้าเขาสอนหนังสือ พอตกบ่ายก็วางแผน อ่านหนังสือ ฟังโอเปร่า ออกไปเดินเล่น หรือไม่ก็ฝึกดาบตามสภาพดั้งเดิมของอีเซอรา
ผ่านไปสี่วันกว่าๆ เขาใช้ชีวิตตามจังหวะของอีเซอราคนเดิม
วันที่ห้า หรือก็คือวันที่สถาบันปิดเทอมพอดี
จากความเคยชิน วันนี้ควรเป็นเวลาที่อีเซอรากลับบ้านไปพักผ่อน ลู่เซิ่งที่ไม่ได้ผลลัพธ์อะไรจึงเก็บของในหอพัก มอบหมายเรื่องบางส่วนให้พวกนักเรียนจัดการ แล้วออกจากสถาบันอย่างเงีย ยบๆ ตามขั้นตอนปกติ
…
“คาซ่า มีการบ้านโจทย์มาอีกแล้วเหรอ” พอลู่เซิ่งเข้าบ้านก็เห็นลูกผู้น้องคาซ่าที่นั่งอยู่ในลานบ้านอย่างกระวนกระวาย
ในฐานะลูกสาวของท่านคุณอา คาซ่าให้ความเคารพอีเซอรามาตั้งแต่ยังเด็ก เวลาปกติหากมีการบ้านโจทย์อะไรก็จะมาถามไถ่
เพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นเธอมา มองเห็นแม่ที่ซกมกของอีเซอรา เธอก็จะทำหน้ากระอักกระอ่วน
เวลานี้คาซ่าสวมกระโปรงเดรสสีเหลือง รัดเข็มขัดสีขาว นั่งบนม้านั่งหินในลานด้วยสีหน้าประดักประเดิด สุภาพสตรีอายุสี่สิบห้าสิบปีที่ใบหน้าแก่ชราเล็กน้อยนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหน น้าเธอ
ถ้าไม่มองตีนกาที่มีรอยกดลึกตรงหางตา ใบหน้าและรูปร่างหุ่นของนางสุภาพสตรีก็ทำให้คนนึกว่าเธอยังอายุแค่สามสิบปีได้
งดงาม สะโอดสะอง อุดมสมบูรณ์ หน้าตาเหมือนกับอีเซอราตอนแต่งตัวเป็นผู้เวอร์ชั่นหญิง เพียงแต่เธอในตอนนี้นอนกองอยู่บนพื้น ร่างกายส่งกลิ่นเหล้าเหม็นฉึ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“คุณป้า…เมาแล้วน่ะค่ะ ฉันเพิ่งจะเข้ามา ก็เห็นคุณป้า…” พอคาซ่าเห็นลู่เซิ่งกลับมา ก็ลุกขึ้นอธิบายอย่างลนลาน
“ฉันรู้” ลู่เซิ่งพยักหน้า
บ้านของท่านคุณอาดีกว่าบ้านพวกเขามาก ตอนนี้ธุรกิจก็ประสบความสำเร็จ ที่ลูกผู้น้องคาซ่ามาบ่อยๆ ก็เพราะอยากเปลี่ยนวิธีการช่วยเหลืออีเซอรา
การมาถามการบ้านโจทย์ของเธอเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงมักเอาของขวัญและข้าวกับเนื้อมาไม่น้อย วิธีการนี้สามารถใช้ได้หลายปี
ลู่เซิ่งทำตามความเคยชินของอีเซอรา เดินเข้าห้องโถง หยิบเครื่องบดกาแฟมา เอาขวดโหลเล็กๆ ที่บรรจุเมล็ดกาแฟลงจากตู้พิงกำแพง เทเมล็ดกาแฟบางส่วนเข้าไป แล้วบดเบาๆ
คาซ่าตามเข้ามา
“พี่อีเซอรา พี่อารมณ์ไม่ค่อยดีเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องเล็กน้อย” ลู่เซิ่งตอบ “การบ้านโจทย์ที่เธอเตรียมมาวันนี้ล่ะ”
“อยู่นี่ค่ะ” คาซ่ารีบหยิบสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกจากอกเสื้อแล้วพลิกเปิด
ลู่เซิ่งกวาดตาอ่าน ถึงกับเป็นสมุดแบบฝึกหัดธรรมดาของระดับมัธยมต้นในโลกใบเดิม เขาแค่กวาดตาอ่านดูรอบหนึ่ง ก็แก้โจทย์ให้กับคาซ่าได้อย่างสบายๆ
สอนได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ลู่เซิ่งก็ชะงัก เบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
เสียงอันแผ่วเบาส่งเข้าสมองของเขาอย่างเลือนราง
‘เซฮานซัสผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ขุดค้น ราชาแห่งลมหนาว สาวกของท่านขอวิงวอนการเรียกหาของท่าน ณ ที่นี้…’
“ราชาแห่งธารกำเนิดที่แข็งแกร่ง นักฝัน และผู้ตรวจตรา ขอบรรณาการกายเนื้อที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้พระองค์ โปรดประทานอำนาจสำหรับการมีความสุขกับอนาคตให้พวกเราด้วยเถอะ!”
เสียงสวดมนต์ที่แผ่วเบาสองเสียงซ้อนทับกัน เหมือนเปล่งขึ้นในเวลาเดียวกัน
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าราบเรียบ ดูจากการสั่นสะเทือนทางจิตใจ สองคนนี้อยู่ห่างจากตัวเขาอย่างน้อยมากกว่าพันเมตร และรอบๆ ยังเป็นภูมิประเทศซับซ้อน ยากจะหาตำแหน่งที่ชัดเจน
“พี่คะ มีอะไร?” คาซ่าเห็นลู่เซิ่งเหม่ออย่างกะทันหันก็พลันเรียกเสียงดัง
“ไม่มีอะไร…แค่คิดถึงเรื่องในอดีตน่ะ” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเรียบเฉย “เอาล่ะ พวกเรามาต่อกัน”
เขาเตรียมรอให้การบวงสรวงเสร็จสิ้น ค่อยคว้าโอกาสไปตรวจสอบดู
อย่างไรพวกผู้ล่าดาวและซีหนิงต่างก็ส่งคนลงมาช่วยเขาฝ่าวงล้อม ในภารกิจครั้งนี้ ขอแค่ส่งเขาเข้าปฏิสุญญตาหมอกเทาได้ก็นับว่าสำเร็จ
และถ้าครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ เขาคิดจะสร้างวิธีบวงสรวงชนิดหนึ่งขึ้นมา แล้วเผยแพร่ให้คนใช้งาน