ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1185 แนะแนว (1)
หลังจากอธิบายการบ้านโจทย์พักหนึ่ง
“เธอลองทำข้อนี้ดูเองก่อนนะ” ลู่เซิ่งเขียนโจทย์ข้อหนึ่งลงบนที่ว่างของสมุดแบบฝึกหัดตรงหน้า
“ฉันจะออกไปด้านนอก ก่อนหน้านี้มีธุระที่ยังจัดการไม่เสร็จ อีกเดี๋ยวจะกลับมา”
คาซ่าเบิ่งตาโตมองเขาอย่างสงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็มองท่านคุณป้าที่นั่งอยู่ตรงประตูด้านนอก
“แล้ว…คุณป้าล่ะค่ะ”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก อากาศร้อน แค่ไม่เป็นไข้ก็พอ แม่ไม่ได้เป็นแบบนี้ครั้งแรกสักหน่อย” ลู่เซิ่งตอบ อีเซอราคนเดิมก็เป็นอย่างนี้ ผิดหวังกับแม่ของตนโดยสิ้นเชิง
แม่อยู่ในสภาพไม่ได้สติเพราะติดสุราเป็นเวลานาน คงไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร
ก่อนหน้านี้อีเซอราเคยลองเกลี้ยกล่อมและขัดขวางนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่น่าหงุดหงิดกว่าเดิมก็คือ เธอไม่เพียงติดสุรา ยังกู้เงินดอกเบี้ยสูงอีกด้วย!
จนถึงตอนนี้ ในบ้านมีหนี้สินเป็นจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้ชำระ ถ้าไม่ใช่พวกเขายังมีสถานะขุนนางเป็นฐาน และถ้าไม่ใช่เพราะขุนนางคนหนึ่งที่ให้ยืมเงินดอกเบี้ยสูงมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับพ่อของอีเซอรา
เกรงว่าตอนนี้บ้านคงจะล่มจมไปแล้ว
“เข้าใจ…แล้วค่ะ…” คาซ่าเห็นลู่เซิ่งพูดแบบนี้ก็จนใจ “ในเมื่อพี่ไม่สะดวก งั้นฉันจะกลับก่อน จะได้ขึ้นรถบัสของบริษัทรถลาโบลาเที่ยวเย็นทัน”
“ตกลง…เดินทางระวังด้วย” ลู่เซิ่งพยักหน้า
บริษัทรถลาโบลาตั้งอยู่ระหว่างนครศักดิ์สิทธิ์และเมืองวิสซีเรียที่เขาอยู่ ทุกๆ วันจะมีรถบัสไปมา เพราะไม่ไกลกัน ขับไปถึงในหนึ่งชั่วโมง ดังนั้นคาซ่าจึงมักไปมาระหว่างสองเมืองได้บ่อยๆ
คาซ่าเก็บข้าวของอย่างกระวนกระวายสงสัย จากนั้นก็จับกระโปรงถอนสายบัวให้ลู่เซิ่ง แล้วหมุนตัวเร่งฝีเท้าออกจากห้อง สักพักหนึ่งก็มีเสียงปิดประตูแผ่วเบาดังมาจากสวนด้านนอก
ก่อนหน้านี้เธอยังช่วยดูแลท่านคุณป้า แต่ต่อมาพอผ่านไปหลายครั้งเข้าก็ไม่สามารถดูแลได้อีก เธอจึงชินเสียแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อเห็นตัวอีเซอราไม่ได้สนใจอะไร เธอก็ยิ่งไม่สะดวกทำเอง
ก่อนหน้านี้อีเซอราก็ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ หากแต่เหนื่อยใจเหมือนกัน
ลู่เซิ่งถอนใจ มองดูแม่ที่นอนยวบยาบอยู่ตรงกรอบประตู เขาเดินเข้าไปอุ้มแม่ขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วโยนลงบนเตียงในห้องนอน จากนั้นก็หอบอุ้มผ้าห่มผืนหนึ่งออกมาโยนไปให้ ก่อนจะหมุนตัวผละจากมา
ห้องของแม่แตกต่างจากห้องของเขา ขวดเหล้าและกระดาษชำระกระจายเกลื่อนกลาดกล่าน ทิ้งเสื้อชั้นในและกระโปรงที่สกปรกแล้วไปทั่วห้อง
สิ่งที่อีเซอราค่อนข้างโชคดีก็คือ แม้แม่จะติดสุรา แต่ไม่ได้สำส่อน ในสังคมขุนนาง ภรรยาขุนนางจำนวนไม่น้อยสำส่อนเป็นเรื่องปกติ แต่อีเลนแม่ของเขาเป็นข้อยกเว้นส่วนน้อย
จัดการแม่เสร็จ ลู่เซิ่งก็เปลี่ยนเสื้อผ้า โยนเสื้อผ้าสกปรกลงไปในตะกร้า พรุ่งนี้จะมีแม่บ้านซักผ้ามาจัดการซักรีด
เขาหยิบกุญแจมาเปิดประตูแล้วเดินออกจากสวน
เสียงเมื่อครู่นี้ดังมาจากทางขวา
ออกมาจากสวน ลู่เซิ่งเดินเลาะบ้านตัวเองไปทางขวามือ ทางขวาคือมุมโค้งของถนนเส้นหนึ่ง ถังขยะหลายใบวางเอียงอยู่ริมทาง แมวจรจัดสองตัวจ้องหน้าคุมเชิงกัน เหมือนกำลังแย่งสิทธิ์ครองถังขยะ
ลู่เซิ่งมองไปทางถังขยะ จากนั้นก็เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ด้านข้าง
ตรอกไม่ลึก บนผนังซ้ายขวาด้านในมีหน้าต่างที่เปิดอยู่สองบาน
เสียงดังมาจากหน้าต่างทางขวาอย่าเลือนราง
เขาแอบเดินไปถึงข้างหน้าต่าง แล้วมองผ่านรอยร่องแยกของผ้าม่านเข้าไปด้านใน
ในห้องมืดทะมึน คนหนุ่มสาวหลายคนที่สีหน้าซีดขาวและผอมจนเห็นกระดูก กำลังคุกเข่าอยู่หน้าวงกลมที่ประกอบขึ้นจากเทียนด้วยสีหน้าศรัทธา
พวกเขาท่องบทสวดซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงแผ่วต่ำ เพ่งสายตาไว้ที่ตรงกลางรูปภาพที่เกิดจากการเอาแสงเทียนมาห้อมล้อม
บนพื้นด้านในใช้เลือดสีแดงทาเป็นลวดลายที่มองไม่ออกว่าเป็นอะไร
‘ลัทธินอกรีตเก๊อีกแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าเบาๆ มองไม่เห็นอะไรจากในแสงเทียนกลุ่มนั้น
ลวดลายเหล่านั้น แม้แต่ลมจากการผายลมตดยังเรียกออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ข้องเกี่ยวกับกฎอัญเชิญของกฎพลังงานใดๆ
‘ช่างเถอะ รอแบบนี้ต้องรอถึงตอนไหน ให้ฉันช่วยพวกนายก็แล้วกัน…’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ เป้าหมายหลักที่เขาจุติลงมาในครั้งนี้คือการเปิดทางสู่ปฏิสุญญตา
การกัดกินปฏิสุญญตาน่าจะสามารถสร้างความมั่นคงให้แก่การผลาญพลังงานจำนวนมหาศาลของเขาในปัจจุบันได้ ความจริงขอแค่เขาไม่ใช้ดีปบลูพัฒนาพลังอีก ก็จะรักษาพื้นที่และความสิ้นเปลืองในตอนนี้ไว้ได้
โดยปกติแล้ว สภาพแบบนี้จะคงอยู่ได้ชั่วกาลนาน เหมือนกับพวกซีหนิงและผู้ล่าดาว เมื่อมาถึงระดับนี้ หากคิดจะเลื่อนระดับต่อ ก็ยากกว่าการปีนป่ายสวรรค์เสียอีก
ดังนั้น ขอแค่ครั้งนี้สำเร็จ เขาจะแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแท้จริง พาภรรยาและลูกไปเร้นกายและฝึกฝนอบรม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่นอีก
‘แต่ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ ยิ่งต้องระวัง ใครจะรู้บ้างว่าพวกซีหนิงจะลอบกัดหรือไม่’
ลู่เซิ่งสังเกตผ่านหน้าต่างอยู่สักพัก พบว่าคนพวกนี้ท่องบทสวดสองสามประโยคนั่นซ้ำไปซ้ำมา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยังคิดว่าข้อผิดพลาดคือเทียนและเลือดไม่พออีกต่างหาก
หลังจากพวกเขาพบว่าไร้ประโยชน์ ก็เริ่มปรึกษากันว่าครั้งนี้จะให้ใครเป็นคนกรีดเลือดดี
ลู่เซิ่งทนมองต่อไปไม่ไหว หยิบปากกาและกระดาษที่พกติดตัวออกมาเขียนอักขระบรรทัดหนึ่ง นี่เป็นอักขระพิเศษที่เขาออกแบบตามกฎพลังงานของโลกใบนี้ มีอัตราสำเร็จสูงสุดขีด
เพียงแต่จะอัญเชิญอะไรออกมาได้ นั่นยังไม่แน่
อักขระกฎพลังงานดั้งเดิมของที่นี่เป็นเพียงจังหวะเสียงไร้ความหมาย หลังผ่านการจัดระเบียบตามหลักตรรกะของลู่เซิ่ง พวกมันค่อยกลายเป็นเนื้อเพลงที่ยาวสั้นไม่เท่ากัน ผู้คนแยกแยะได้เอง
เพียงแต่พอจัดระเบียบ อักขระทั้งหมดก็แปลกขึ้นเล็กน้อย
ลู่เซิ่งมองด้วยสีหน้าประหลาดใจรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเพิ่มผลพิเศษเข้าไป จากนั้นค่อยโยนให้พวกคนที่อยู่ด้านใน
ถ้าคนปกติเห็นคงไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์
เขาครุ่นคิด ตอนนี้เขาไม่มีพลังพิเศษใดๆ แต่ไม่ต้องรีบ ความรู้ก็คือพลัง
ลู่เซิ่งหยิบปากกาขึ้นมาวาดลวดลายประหลาดลายหนึ่งลงบนกระดาษ
นี่เป็นรูปพิเศษเหมือนภาพลวงตา ทำให้ผู้ที่มองตรงๆ เกิดอาการวิงเวียนศีรษะอย่างชัดเจนในทันทีที่มอง และเป็นหนึ่งในการปรับใช้จากศาสตร์สะกดจิต
นอกจากนี้แล้ว เขายังเพิ่มสิ่งที่น่าสนใจเข้าไปเล็กน้อยด้วย
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ เขาค่อยม้วนกระดาษเป็นม้วนอย่างระมัดระวัง แล้วเคาะกระจกเบาๆ
ตุบๆ
จากนั้นก็ทิ้งม้วนกระดาษไว้บนพื้น
ม้วนกระดาษสีขาวราวหิมะตกอยู่บนพื้นสีดำอมเทา ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
ส่วนตัวเขาเร่งฝีเท้าแอบออกมาจากตรอก
ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่างจากด้านหลัง ก่อนจะมีคนส่งเสียงอุทานทุ้มต่ำ แสดงว่าพบม้วนกระดาษบนพื้นแล้ว
ในยุคสมัยนี้ กระดาษสีขาวราคาแพงเป็นอย่างมาก กระดาษแผ่นหนึ่งทำให้ครอบครัวสามชีวิตทั่วไปกินอาหารดีๆ ได้มื้อหนึ่ง
ที่อีเซอรามีกระดาษแบบนี้ก็เป็นเพราะโควต้าของสถาบันโรงเรียน ในฐานะอาจารย์ ทุกๆ ปีเขาจะมีโควตาใช้กระดาษจำนวนหนึ่ง แต่ทั้งหมดเป็นสินค้าห้ามจำหน่าย ไม่อนุญาตให้ซื้อขาย
ส่วนจะถูกพบหรือไม่ เรื่องนั้นไม่สำคัญ อย่างไรรอจนพบเขา เรื่องราวคงจะจบลงไปแล้ว
ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงปากตรอก ฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านในเงียบๆ
สักพักหนึ่ง ด้านในตรอกก็มีเสียงคนกระโดดจากหน้าต่างลงพื้นดังมา ม้วนกระดาษถูกคนเก็บขึ้นจากพื้น แล้วเสียดสีกับจุดไหนสักแห่งบนผนัง ส่งเสียงแสกสาก ก่อนจะเป็นเสียงปีนกลับเข้าหน้าต่าง
ลู่เซิ่งยิ้ม ลวดลายบนกระดาษแผ่นนั้นไม่ได้มีแค่ความรู้สึกที่ทำให้คนเวียนศีรษะเท่านั้น ยังมีผลทำให้คนเชื่อเนื้อหาบนนั้นโดยไม่รู้ตัวต่อจากอาการวิงเวียนอีก
พอออกมาจากตรอก เขาก็คิดจะกลับไปที่บ้านของอีเซอรา แต่เดินถึงประตูก็หยุด ก่อนจะมองไปทางซ้าย
เด็กสาวสวมผ้าเนื้อบางสีขาวทั้งตัวคนหนึ่ง เดินมาจากด้านข้างเขาด้วยฝีเท้ารีบเร่ง
เด็กสาวคลุมใบหน้าไว้อย่างมิดชิด เพียงเผยให้เห็นดวงตาสีครามคู่หนึ่ง เธอก้มตัวก้าวเดินอย่างรีบร้อน
ลู่เซิ่งจำเธอได้
เธอชื่อเลิฟลา เป็นสาวสวยที่โด่งดังในย่านนี้
ผู้คนมักตะลึงกับเอวกิ่วยั่วยวนและท่อนบนอุดมสมบูรณ์ของเธอ ยังมีดวงตาบริสุทธิ์แวววาวที่เอ่อล้นด้วยความน่าทะนุถนอมนับไม่ถ้วนคู่นั้นอีก
ถ้าเปลี่ยนเป็นสถานที่อื่น ความสวยของเธออาจจะกลายเป็นเงินทุนที่สร้างความอิจฉาให้แก่คนอื่น แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ในยุคสมัยนี้ หลังจากเลิฟลาที่สวยเกินไปถูกรายงานหลายครั้งว่าเธอล่อลวงสามีคนอื่น เธอก็ยิ่งเก็บเนื้อเก็บตัวกว่าเดิม
เดิมทีเธอคือสมาชิกคนหนึ่งของสถาบันวิสซีเรีย และเป็นนักเรียนที่อีเซอราเคยสอน แต่ตั้งแต่เทอมก่อน เธอก็หยุดเรียนอย่างไม่มีสาเหตุ ก่อนจะถูกสั่งพักการเรียนเพราะขาดเรียนเยอะเกินไป
ลู่เซิ่งไม่แปลกใจที่เจอเธอที่นี่ เพราะบ้านของอีเซอราและบ้านของอีกฝ่ายอยู่เขตเดียวกัน นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะในฐานะตระกูลขุนนางที่ตกต่ำเหมือนกัน เขตกุหลาบเหลืองเป็นเขตที่เหมาะให้ขุนนางระดับนี้อาศัยมากที่สุด
ที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตที่ไม่เลว ไม่มีทางแพงกว่าค่าเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านที่ถี่เกินไป
“สวัสดีค่ะอาจารย์อีเซอรา” เลิฟลาที่สวนมาถอนสายบัวทักทายลู่เซิ่ง
“จะไปโบสถ์อีกแล้วหรือ” ลู่เซิ่งยิ้มอย่างอ่อนโยน
นี่เป็นวิธีปกป้องตัวเองของเลิฟลา เธอที่พ่อแม่ตายไปแล้วทั้งคู่ได้แต่ชิงไปอธิษฐานที่โบสถ์ และเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์ เพื่อจะได้ไม่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นแม่มด
นี่เป็นสิ่งที่อีเซอราคนเดิมแนะนำให้เธอฟัง ถ้าไม่ใช่เพราะข้อแนะนำนี้ เกรงว่าเธอในตอนนี้คงถูกพวกอัศวินโล่ศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปเผาในฐานะแม่มดไปนานแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับศาสนจักร ขุนนางตกอับมีข้อได้เปรียบกว่าคนทั่วไปไม่กี่ข้อเท่านั้น
“ค่ะ อาจารย์…” เลิฟลานิ่งไปก่อนจะพยักหน้า
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าตาโตงดงามของเธอฉายแววหวาดกลัวเหล็ก เหมือนกับลูกกวางที่ถูกรุมโจมตี
เหมือนเธอจะไม่อยากไปโบสถ์ แต่ที่นั่นก็เป็นสถานที่ช่วยเหลือเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
ลู่เซิ่งแตกต่างจากอีเซอราคนเดิม เขาคาดการณ์อนุมานได้อย่างง่ายๆ ว่า ด้านในศาสนจักรของโลกใบนี้จะต้องมีความดำมืดไม่น้อย โดยเฉพาะโบสถ์ที่เวลานี้ครอบครองอำนาจแต่เพียงผู้เดียว
แม้แต่ชนชั้นเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นขุนนางลำดับใหญ่สุด เมื่อรับบัลลังก์ต่อก็ต้องผ่านพิธีชำระล้างของศาสนจักรเช่นกัน
นี่เป็นสิ่งที่ยุคสมัยอื่นๆ ไม่อาจจินตนาการออก
เมื่อสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและความจนใจที่เลิฟลาแสดงออกมา เขาก็รู้ว่าเธอเป็นเมล็ดพันธุ์วัตถุดิบชั้นดีที่ตกสู่ความมืดมิด และหาทางออกไม่เจอจนใกล้สิ้นหวัง
เพราะไม่เจอผู้คนที่ฝากความหวังได้ จึงฝากความหวังไว้ที่ตัวเทพเจ้าได้ง่ายที่สุด
ทำอย่างไรถึงจะทำให้หญิงสาวคนนี้เริ่มบูชาปฏิสุญญตาได้…ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ก่อนจะนึกวิธีออกทันที
ในเวลานี้เองมีเสียงร้องเพลงแผ่วเบาลอยมาจากในตรอก
“แคร์รอตทเอ๋ย! ความยิ่งใหญ่ของท่านสั่นสะเทือนผู้คน สีส้มของท่านมอมเมาชีวิต! แคร์รอทผู้ยิ่งใหญ่! ท่านอวบใหญ่ยิ่งกว่ากระเทียม แข็งยิ่งกว่าผักกาดขาว! ท่านคือแสงสว่างหนึ่งเดียวของพวกเรา! เป็นความหวังเดียวของพวกเรา”
“กระเทียมเอ๋ย! ความกลมเกลี้ยงของท่านคือเส้นสายที่งดงสามที่สุดบนโลก! ไม่มีใครปฏิเสธเสน่ห์จากความเผ็ดของท่านได้! ข้าขออัญเชิญท่านในนามของแสงแห่งเก้าทิวา ด้วยนามของธาราแห่งชะตาชีวิต! จงปรากฏกายเถอะๆ! กระเทียมผู้ทรงอำนาจ”
‘…’
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งแข็งค้าง
เขาจำได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเขียนไปไม่ใช่เนื้อหาพวกนี้…ไอ้พวกสมองกลวงพวกนี้จะต้องเปลี่ยนเนื้อหาศัพท์บูชาตามอำเภอใจแน่!
คำที่เขาใช้แค่ออกเสียงใกล้เคียงแคร์รอตกับกระเทียมหัวหอมใหญ่เท่านั้น แต่ไม่ได้หมายถึงแคร์รอตกับกระเทียมหัวหอมใหญ่จริงๆ สักหน่อย!
……………………………………….