ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1186 แนะแนว (2)
เป็นเรื่องแล้วสิ!
ในที่สุดลู่เซิ่งก็รู้แล้วว่าทำไมสาวกนอกรีตตัวจริงจึงไม่เผยแพร่ลัทธิให้พวกเขา ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นศรัทธาขนาดนี้ สติปัญญาแบบนี้ เผยแพร่ไปก็เป็นการจุดไฟเผาตัวเองเปล่าๆ
เลิฟลาที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้สัมผัสไวเท่าลู่เซิ่ง เพียงได้ยินเสียงเบาๆ เท่านั้น
ฝืนยิ้มเล็กน้อย ลู่เซิ่งถามไถ่สถานการณ์ของเลิฟลาในช่วงนี้อย่างคร่าวๆ อีกฝ่ายตอบทีละข้ออย่างนอบน้อม
“ถ้ามีปัญหาอะไร สามารถมาหาฉันได้ ฉันอาจจะให้การช่วยเหลือบางอย่างกับเธอได้นะ ถ้าไม่เกินกำลัง” ลู่เซิ่งตัดสินหาดาวน์ไลน์ไว้สักคน ในสถานการณ์ที่ไม่สนใจว่าโบสถ์จะพบหรือไม่ ยิ่ งการบูชาอธิษฐานต่อปฏิสุญญตามีมากเท่าไหร่ ก็อาจจะยิ่งดึงดูดความสนใจของมารโกลาหลของที่นั่นได้มากเท่านั้น
“ฉันรบกวนอาจารย์มาหลายเรื่องแล้วค่ะ…” เลิฟลากล่าวอย่างละอายใจ ขณะมองดูอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้า เธอก็หวนนึกถึงฉากอันดำมืดที่ซ่อนอยู่ในโบสถ์ อดกลั้นไม่ไหวชั่วขณะ อยากจะบอกใ ให้อีกฝ่ายรู้ แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไร
นอกเสียจากจะดึงอาจารย์ให้มามีเอี่ยวด้วย ก็ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ อีก ต่อหน้าโบสถ์ที่แข็งแกร่ง ไม่มีคนต้านทานและดิ้นหลุดจากวังวนแบบนี้ได้
“ไม่ต้องกลัว ถ้าใจเกิดความกลัว ก็สามารถท่องประโยคพวกนี้ในใจได้” ลู่เซิ่งหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ฉีกออกครึ่งหนึ่ง แล้วเขียนคำบูชาที่ปรับเปลี่ยนแล้วลงไป
“นี่เป็นคำบูชาที่ฉันแต่งขึ้นมาเองหลังจากศึกษาหลักจิตวิทยา สามารถใช้พลังของเสียงปลอบตัวเอง รวมถึงทำให้ความกลัวและความสับสนในใจตัวเองหายไปได้ ฉันให้เธอนะ”
เขายัดกระดาษใส่มือหญิงสาว
“ไปเถอะเด็กน้อย ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเธอ”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์ พระเจ้าจะต้องคุ้มครองคนดีอย่างอาจารย์แน่” เลิฟลาถือกระดาษไว้อย่างซาบซึ้ง ถอนสายบัวอีกรอบ จากนั้นก็มองส่งลู่เซิ่งเดินเข้าประตูใหญ่ จนกระทั่งเขาปิดประตู เธ ธอค่อยคลี่กระดาษในมือออกมาอ่านอย่างละเอียด
เนื้อหาบนกระดาษไม่ยาวมาก เป็นเพียงคำพูดบรรทัดหนึ่ง เหมือนคำอธิฐานที่มีจังหวะเสียงแทรกปนอยู่
ตอนท้ายสุดสั่งให้เธออย่ามอบให้คนอื่น
เลิฟลาท่องเงียบๆ พบว่าใจของตัวเองสงบลงบ้างจริงๆ
หญิงสาวเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตได้ จับกระดาษไว้แน่น พร้อมกับโค้งตัวไปทางประตูใหญ่ของบ้านอาจารย์อีเซอราอย่างตื้นตัน จากนั้นค่อยหมุนตัวผละไป
แม้จะอยู่ระหว่างทางไปโบสถ์ เธอก็ท่องคำอธิษฐานอัศจรรย์บรรทัดนี้ไปตลอดทาง
‘ท่องอย่างเดียวไม่มีของเซ่นไม่ได้หรอก ไม่สามารถกระตุ้นความสนใจของปฏิสุญญตาได้’ ลู่เซิ่งพิงประตูใคร่ครวญเงียบๆ
“อย่างนั้น คนแบบไหนถึงจะยอมรวบรวมของเซ่น แล้วขอความช่วยเหลือจากมารโกลาหลในปฏิสุญญตาล่ะ”
“คำตอบก็คือ คนที่สิ้นหวัง” ลู่เซิ่งยิ้ม เขาเจอเป้าหมายแล้ว
ในยุคสมัยที่ดำมืดแบบนี้ อะไรๆ ก็ขาดแคลนทั้งนั้น แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีทางขาดแคลนก็คือ ความสิ้นหวัง
…
สามวันต่อมา ณ สถาบันระดับสูงวิสซีเรีย
นักเรียนที่จบการศึกษาแล้วเข้าร่วมรับประทานอาหารในสถาบันเป็นครั้งสุดท้ายกับลู่เซิ่ง ถือเป็นงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์
นักเรียนทุกคนเรี่ยไรเงินเพื่อจ่ายให้แก่โรงอาหารของสถาบัน
สถานที่จัดงานคือในห้องเรียนที่พวกเขาเรียน นี่เป็นงานที่สี่ และเป็นงานสำหรับอีเซอรา
อีเซอราเป็นหนึ่งในอาจารย์ ขณะเดียวกันเพราะใจดีมีเมตตา แถมใบหน้ายังงดงามมาก จึงได้รับความนิยมจากพวกนักเรียน ชายหญิงจำนวนไม่น้อยต่างเกิดความรู้สึกชื่นชมที่ปิดบังไว้ต่อเขาใน นระดับหนึ่ง
ในชั้นเรียนทั้งชั้นมีนักเรียนชายสาม นักเรียนหญิงสิบเจ็ด รวมทั้งหมดยี่สิบคน งานเลี้ยงอาหารเป็นแบบบริการตัวเอง ตักอาหารเองได้โดยตรง
มีพ่อครัวจากโรงอาหารย่างซี่ซึ่โครงแกะให้กับทุกคน บนโต๊ะยาวจัดวางผักและผลไม้ไว้เป็นจำนวนมาก
แต่บรรยากาศในโถงงานเลี้ยงกลับกดดันอยู่บ้าง
เป็นเพราะเด็กสาวมากกว่าครึ่งที่อยู่ที่นี่จะต้องเจอชะตากรรมจัดงานแต่งงานของตระกูลเมื่อกลับบ้าน
นี่เป็นสิ่งที่ขัดขืนไม่ได้ เหมือนกับที่พวกเธอเกิดมาก็ได้รับชีวิตอันโอบอ้อมจากตระกูล หลังจากเข้ามาอบรมในสถาบัน พวกเธอก็ได้รับความรู้ที่ใช้ยกระดับการอบรมตัวเองเช่น มารยาท การเต้นรำ ดนตรี และคณิตศาสตร์
สิ่งพวกนี้มีไว้เพื่อแต่งงานกับตระกูลที่ดีกว่าเดิมในภายภาคหน้า
ไม่มีใครชอบการจัดการแบบนี้ ขณะพวกเด็กสาวกระซิบกระซาบกัน ใบหน้ากับสายตาต่างฉายแววสับสนและหวาดกลัวต่อชะตาชีวิตในอนาคต แม้จะเป็นเด็กสาวที่ว่าง่ายและพอใจกับสภาพปัจจุบันที่สุด อย่างมากสุดก็มีแต่ต้องยอมรับอย่างชาด้านเท่านั้น
อย่างไรก็ไม่มีใครเกิดความผูกพันและรอคอย ต่อว่าที่สามีที่ตนไม่เคยเจอมาก่อน
งานเลี้ยงทั้งหมดของอาจารย์เป็นแบบแยกกันเดี่ยวๆ
และวันนี้ ก็ถึงคราวตางานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ของอีเซอรา
เขานั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเรียนตามลำพัง ฟังนักเรียนแต่ละคนกล่าวคำพูดขอบคุณและคำลาต่อตนด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม ดูไม่ต่างจากอาจารย์ยามปกติ
หลายวันมานี้ เขาเริ่มยกระดับและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อของตัวเองแล้ว
เขาไม่ได้ใช้พลังร่างหลัก หากแต่ใช้พลังอาวรณ์ยกระดับวิชาฟันดาบพื้นฐานที่ตัวเองเชี่ยวชาญแล้วอย่างบ้าคลั่ง
สองสามวันที่ผ่านมาเขาพัฒนาวิชาฟันดาบที่เดิมมีแค่เก้าระดับถึงระดับสามร้อยกว่า นับว่าพอจะมีพลังป้องกันตัวเองแล้ว
จากนั้นหลังจากเขาศึกษากฎเกณฑ์แล้ว ก็ได้ใช้กายเนื้อที่เสริมความแข็งแกร่งสั่นคลอนพลังเหนือธรรมชาติที่มีเฉพาะในสถานที่แห่งนี้สำเร็จ
นั่นคือพลังพิเศษที่บรรจุอยู่ในเลือด ใช้เลือดเพื่อแสวงหาพลังและอายุขัยที่ดีกว่าเดิม คล้ายกับผีดูดเลือดอยู่บ้าง
แม้จะไม่พึ่งพาร่างหลัก ลู่เซิ่งที่พึ่งพาดีปบลูก็พัฒนาแก่นเลือดสีเงินอ่อนชนิดหนึ่งซึ่งเป็นระดับความก้าวหน้าของความสามารถเลือดชนิดนี้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว
เขาตั้งชื่อแก่นเลือดนี้ว่า โลหิตปรอท
และตอนนี้ ก็เป็นเวลาขยายขนาดการบูชาอย่างแท้จริงแล้ว…
แม้จะสู้คนเดียวได้ แต่มีประสิทธิผลต่ำเกินไป และปฏิสุญญตาก็จำวิญญาณของเขาไว้แล้ว ถ้าเขาบูชาด้วยตัวเอง อีกฝ่ายต้องไม่เปิดประตูแน่
เขาจะต้องซ่อนตัว แล้วให้คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องเริ่มการบูชา ถึงจะปะปะนเข้าไปในกลุ่มมารโกลาหลสำเร็จ ขอแค่รอยร่องแยกเปิดเล็กน้อย เขาก็สามารถฉวยโอกาสร่วมมือกับพวกซีหนิงบุก กเผ่าโกลาหลได้
“…ฉันขออวยพรให้อาจารย์อีเซอราจากใจจริง ขอให้อาจารย์เจออีกครึ่งของตัวเองในช่วงที่ดอกวิสซีเรียบานครั้งหน้า ขอบคุณอาจารย์ที่สอนสั่งพวกเรามาเป็นเวลาสามปี” เด็กสาวผมเงินคน นสุดท้ายโค้งตัวให้ลู่เซิ่งอย่างล้ำลึก พิธีขอบคุณครั้งนี้ค่อยจบลงอย่างแท้จริง
ต่อจากนั้น นักเรียนยี่สิบคนก็มองลู่เซิ่งพร้อมกัน
เขาเป็นคนกล่าวจบงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์รอบนี้เอง
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น
“คำพูดสวยๆ งามๆ เชื่อว่าพวกเธอคงได้ยินจากอาจารย์คนอื่นจนเอียนแล้ว ฉันขอไม่พูดก็แล้วกัน” เขายิ้มอย่างผ่อนคลาย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เรามาพูดกันเรื่องความเป็นจริงหน่อยดีกว่า” เขาเว้นเล็กน้อย สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่รอบๆ
“เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีส่วนใหญ่ที่เจอความจนปัญญาจากการแต่งงานและการจัดสรรของตระกูลหลังเรียนจบไป”
นักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างก็เงียบเล็กน้อย คนที่ก่อนหน้านี้ยังเหม่อลอยอยู่บ้าง จู่ๆ ได้ยินลู่เซิ่งใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมาแบบนี้ เอ่ยถึงความอับจนปัญญา ต่างก็ตกใจและประหลาดใจ
เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาของทุกคนรวมกันที่ตัวเอง ลู่เซิ่งก็ยกแก้วเหล้าขึ้น แล้วปล่อยให้เหล้าสีฟ้าอ่อนไหลเข้าไปในริมฝีปาก
“รู้ไหมว่าทำไมพวกเธอถึงเจอสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้” เขาถามด้วยรอยยิ้ม “พวกผู้ชายต้องกลับไปเจอการจัดการจากตระกูล แต่งงานกับผู้หญิงที่ตนไม่รู้จัก ส่วนพวกผู้หญิงก็ยิ่งไม่มีส สิทธิ์เลือก ถึงขั้นคนที่แต่งงานด้วยอาจเป็นคนแก่อายุห้าสิบ”
“อาจารย์ อาจารย์อยากพูดอะไรคะ พูดตรงๆ หน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวผมหางม้าที่เย็นชาราวเกล็ดน้ำแข็งคนหนึ่งว่า
เธอคือคนที่มีสถานะและตำแหน่งโดดเด่นที่สุดในหมู่นักเรียนหญิง ชื่อลอว์เรนซ์ ซาติ เป็นเจ้าหญิงอันดับสามสิบเจ็ดแห่งราชวงศ์
ราชวงศ์มีเจ้าชายและเจ้าหญิงทั้งหมดสามร้อยกว่าคน กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ของประเทศ แม้หลายคนจะมีสถานะสูงศักดิ์ แต่กลับใช้ชีวิตลำบากกว่าขุนนางทั่วไป
ในสถาบันวิสซีเรียไม่ได้มีแค่เจ้าหญิงอย่างเธอคนเดียว นอกจากนี้ยังมีอีกสิบกว่าองค์ แต่มีแค่เธอเท่านั้นที่อยู่ในชั้นเรียนของอีเซอรา
“ฉันอยากจะบอกว่า…” ลู่เซิ่งลุกขึ้น วางแก้วเหล้าลง วาดแขนเป็นเส้นโค้งประหลาด ท่ามือที่ดูพิกลอยู่บ้างเคลื่อนไหวระหว่างสิบนิ้วของเขาแวบหนึ่ง
นักเรียนทุกคนไม่สังเกตเห็นรายละเอียดนี้ เพียงแต่พอได้ยินคำพูดของลู่เซิ่ง ความสนใจก็รวมตัวกันอยู่บนใบหน้าของเขา
พวกเธอคาดหวังอยู่บ้างว่า อาจารย์ที่ดีกับพวกเธอมาโดยตลอดผู้นี้อาจจะให้คำแนะนำที่ไม่เลวในงานเลี้ยงสุดท้ายได้
แม้ทุกคนจะรู้ดีว่า นี่เป็นความหวังที่เลือนรางมากก็ตามที
ลู่เซิ่งยิ้มพลางยันสองมือไว้บนโต๊ะ
“พวกเธอยังขาดสิ่งหนึ่ง…สิ่งหนึ่งที่จะ ทำให้พวกเธอหลุดพ้นจากชีวิตแบบนี้”
“อาจารย์จะพูดอะไรกันแน่คะ บอกมาให้ชัดๆ เถอะค่ะ” เด็กสาวร่างอวบคนหนึ่งลุกขึ้นกล่าวกระตุ้น ใบหน้าฉายแววคาดหวัง
ไม่ว่าจะเรียนการอบรมมารยาทมาดีอย่างไร พวกเธอก็ยังเป็นแค่หญิงสาวชายหนุ่มที่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบ ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ยังขาดการขัดเกลาอีกเล็กน้อย
ไม่มั่นคง ไร้เดียงสา ใจร้อน อ่อนเยาว์ รวมถึง…ถูกยุแยงได้ง่าย นี่เป็นคุณลักษณะเด่นร่วมกันของช่วงวัยนี้
อาจมีแค่คนไม่กี่คนที่รักษาความแจ่มใสไว้ได้ แต่นั่นก็ไร้ความหมาย ในตอนที่ทุกคนที่อยู่รอบๆ แสดงออกเหมือนกัน คนไม่กี่คนไม่มีอะไรให้น่ากังวล
กระแสความคิดจะพัดพาพวกเขาเข้าสู่สายน้ำเชี่ยวกราก
“คือพลังนั่นเอง!”
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ หายไป ความเคร่งขรึมเข้าแทนที่
“พวกเธอกำลังเจอความหวาดกลัวจากชีวิต เจอความหวาดกลัวที่ถูกควบคุม เจอความกลัวที่ไร้คนปกป้อง” ลู่เซิ่งใช้ประโยคเปรียบเทียบสามประโยคบอกประเด็นสำคัญของตัวเอง
“แต่ว่า ทำไมเพื่อนๆ ที่เจอความทุกข์แบบนี้ถึงมีเพียงไม่กี่คน พวกเธอควรจะตรึกตรองกว่า คนรุ่นราวคราวเดียวกันรอบๆ ตัวเองแบบไหนที่หลีกเลี่ยงสถานการณ์จนตรอกแบบนี้ได้”
นักเรียนหลายคนที่อยู่รอบๆ ตะลึงเพราะคำพูดนี้ เจ้าหญิงลอว์เรนซ์ถอนใจเบาๆ ยังดีที่ไม่ใช่เนื้อหาเผยแพร่ลัทธินอกรีตอย่างที่เธอเดา เป็นเพียงการเผยแพร่แนวคิดที่ไม่ปกติเท่านั้น กระแสความคิดแบบนี้หาได้ไม่น้อยในสังคมขุนนางปัจจุบัน นักพูดจำนวนมากต่างก็ตระเวนพูดให้ผู้มีอำนาจตามที่ต่างๆ ฟัง
พวกเขาส่วนใหญ่ใช้วิธีการแบบนี้ดึงดูดผู้ไร้ปัญญาเข้าสู่กลุ่มของตัวเอง
แต่เธอในตอนนี้จำเป็นต้องยอมรับว่า สิ่งที่อาจารย์คนนี้พูด คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเธอเผชิญทางตันอยู่จริงๆ
“อย่างนั้น ความหมายของอาจารย์คือ” ลอว์เรนซ์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงถาม
ลู่เซิ่งกางแขนสองข้าง
“พลัง! มีแต่ต้องครอบครองพลังเท่านั้น! พวกเธอถึงจะควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้! การแพร่พันธุ์ เป็นเพียงสัญลักษณ์ของผู้อ่อนแอไร้ความสามารถ เพาะพวกเขาฝากส่วนหนึ่งของตัวเองที่ไม่อ อาจทำให้เป็นจริงให้กับคนรุ่นต่อไป ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องให้กำเนิดลูกหลาน!”