ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1195 อพยพ (1)
ณ โลกมารสวรรค์
แสงสีเทาสายหนึ่งปรากฏเหนือดาวฤกษ์ดวงหนึ่งตรงใจกลางสำนักมารกำเนิดอย่างฉับพลัน
ดาวฤกษ์ร้อนระอุกระจายแสงและความร้อนอย่างต่อเนื่อง เส้นรังสีมากมายพุ่งออกไปยังจักรวาลรอบๆ เหมือนกับคลื่นน้ำ
จากนั้นแสงสีเทาก็รวมตัวกลายเป็นร่างคนสูงชะลูดร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ร่างนั้นมีตาหกข้าง หางยาวแหลม แขนสิบกว่าคู่ถือดาบดำข้างละเล่ม ยืนอยู่บนแท่นรูปทรงดอกไม้สีแดงตัดดำ บนแท่นมีเลือดเนื้อกำลังขยับขยุกขยิกและเส้นสีทองไหลเวียน
‘ในที่สุดก็กลับมาแล้ว…จากไปไม่นานเท่าไหร่ แต่รู้สึกเหมือนผ่านไปนานมากๆ’ ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
สิ่งที่เขาใช้กลับมาเป็นเพียงจิตแยกเล็กๆ ดวงหนึ่ง สำหรับเขาในตอนนี้ จักรวาลธรรมดาอย่างจักรวาลมารสวรรค์ไม่สามารถรองรับขนาดของร่างหลักเขาได้อีกแล้ว
ถึงขั้นที่จิตแยกที่แข็งแกร่งเล็กน้อยหรือร่างแปลงของเขาก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน
ถ้าแบ่งร่างแปลงออกมา พริบตาที่ร่างแปลงมาถึง ทางช้างเผือกมากกว่าครึ่งอาจจะหายไป…
ความปรวนแปรมหึมาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติตอนร่างแปลงมาถึง แค่คลื่นก็กระตุ้นให้แกแลคซีกับดวงดาวนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือนและระเบิดได้แล้ว
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงสร้างร่างขนาดเล็กขึ้นชั่วคราวเพื่อบรรจุความคิดของจิตหลัก แล้วค่อยเดินทางมา
เขาทิ้งจิตวิญญาณของร่างหลักไว้ในมิติมหภาคเพื่อเฝ้าระวัง
ขณะเดินบนผิวดาวฤกษ์ ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในแอ่งเมือกสีทอง บนเท้าเต็มไปด้วยกาวเหนียว
‘สัมผัสน่าขยะแขยงจริงๆ’ เขาเกลียดกาว ไม่เพียงส่งผลต่อการเคลื่อนไหว สิ่งสำคัญคือรสสัมผัสไม่ดีนัก
‘ดับสูญไปเถอะ’
ดวงตาข้างหนึ่งของลู่เซิ่งสาดแสงสีแดงด้วยความหงุดหงิด
ดาวฤกษ์มหึมาพลันสั่นไหว จากนั้นแสงสีทองก็ริบหรี่และเย็นลงด้วยความเร็วสูง ความร้อนจำนวนมากที่กระจายจากลาวารวมตัวกันตรงตำแหน่งหนึ่ง ตำแหน่งนั้นคือจุดที่ลู่เซิ่งอยู่
ความร้อนและแสงนับไม่ถ้วนไหลเข้าไปในร่างลู่เซิ่งในทันทีเหมือนกับสายน้ำ ถูกเขากลืนกินอย่างเป็นธรรมชาติราวกับการหายใจ
ไม่ถึงสองสามอึดใจ ดาวฤกษ์ทั้งดวงก็กลายเป็นดาวสีดำแข็งๆ และหดขนาดเล็กลงหลายสิบเท่าตัว
ความร้อนนับไม่ถ้วนกลายเป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกายร่างนี้
‘ยังไม่พอ…’ เขากวาดตามองรอบๆ ระบบดาวแห่งนี้มีดาวเคราะห์ทั้งหมดสิบสามดวง ทั้งหมดโคจรรอบดาวฤกษ์ที่อยู่ตรงกลาง
‘รวมตัว’ ลู่เซิ่งยื่นมือออกมา
พริบตานั้นแสงดาวสีฟ้าอมเงินนับไม่ถ้วนพุ่งมาจากรอบทิศ แล้วรวมตัวกันกลางฝ่ามือลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง ก่อนจะกลายเป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็กๆ ที่มีลักษณะแตกต่างกัน
ดาวเคราะห์เล็กๆ กลางฝ่ามือลู่เซิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นตามกาลเวลาที่หายไป หนาแน่นราวกับเม็ดทราย
‘เพียงพอแล้ว…’ ลู่เซิ่งยกมือขึ้นเบาๆ ทรายดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนพุ่งไปยังปากเขาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายเข้าไปในปาก
ซู่…
ดาวเคราะห์หลายพันหลายหมื่นดวงทะลักเข้าปากเขาในพริบตา
ผ่านไปเกือบสิบกว่านาที ดาวเคราะห์ทั้งหมดที่รวมกันอยู่ตรงกลางมือเขาก็ถูกกินลงท้อง จากนั้นลู่เซิ่งก็พ่นลมหายใจ
‘ดีปบลู’
เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาเงียบๆ
ธรรมชาติของเครื่องมือปรับเปลี่ยนจะเคลื่อนย้ายตามความสนใจหลักของเขา เขาค้นพบเรื่องนี้อย่างกะทันหันเมื่อไม่นานมานี้
จำนวนพลังอาวรณ์ที่ระบุบนดีปบลูในตอนนี้เปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ไร้ขีดจำกัด นี่หมายความว่าไม่สามารถคำนวณจำนวนที่ชัดเจนได้อีกแล้ว กล่าวได้ว่าลู่เซิ่งต้องการเท่าไหร่ก็มีเท่านั้น
นี่เป็นเพราะจักรวาลต่างๆ ที่เขากินไปคือปัจเจกเอกเทศที่ทำงานได้ด้วยตัวเอง และปัจเจกพวกนี้ต่างก็ให้กำเนิดพลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนตลอดเวลา
มาถึงตอนนี้ ขอแค่โลกรูปจิตของลู่เซิ่งยังอยู่ ต้องการพลังอาวรณ์มากเท่าไหร่ ก็สามารถผลิตออกมาได้เท่านั้น
แต่ที่เขาเรียกดีปบลูออกมาในเวลานี้ ไม่ได้เพราะจะดูดพลังอาวรณ์ หากแต่จะตรวจสอบขอบเขตที่แท้จริงของร่างหลัก
ลู่เซิ่งเมินตัวแปรเสริมของกรอบทักษะนับไม่ถ้วน จับสายตาไว้ที่กรอบวิชาหลังกสุด
เขาในเวลานี้ไม่มีวิชาอะไรอีกแล้ว สิ่งที่มาแทนที่คือคำบรรยายของสภาพต่างๆ
[ร่างองค์รวมพหุจักรวาล: การดำรงอยู่มหึมาที่เกิดจากการรวมตัวของจักรวาลนับไม่ถวน มีอายุขัยไร้สิ้นสุดและสสารพลังงานไร้สิ้นสุด ให้กำเนิดพลังอาวรณ์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ครอบครองมิต ติเวลาของจักรวาลที่ถูกรวบรวม (คุณสมบัติ: พหุอมตะ, ข้ามมิติ, เวลาหยุดนิ่ง, เวลาบิดเบี้ยว, อายุขัยอนันต์…)]
ด้านหลังคือคุณสมบัติยาวเหยียด มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดคือภูมิต้านทานต่อการโจมตีด้วยพลังงานทางกายภาพหลากหลายรูปแบบ การโจมตีทางจิตใจและวิญญาณแต่ละชนิดก็รวม มอยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน
โดยพื้นฐานแล้ว ขอแค่อยู่ในโลกรูปจิต ลู่เซิ่งก็เป็นผู้ทรงอำนาจที่เบ็ดเสร็จ เมื่ออยู่ในโลกภายนอก ขอแค่ไม่มีใครทำลายโลกรูปจิตได้ เขาก็จะคืนชีพได้อย่างไร้ขีดจำกัด เป็นอม มตะชั่วนิรันดร์
‘สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเราในตอนนี้มีแค่การดำรงอยู่สองชนิด หนึ่งคือองค์ประกอบรวมของสสารพลังงานที่ใหญ่ยิ่งกว่าจักรวาลที่เรากลืนกินรวมกัน อีกอย่างคือการดำรงอยู่สุดโต่งที่คุณสม มบัติก้าวข้ามเรา เช่น อนุภาคนิรันดร์ และตราสูญสลาย…’
ลู่เซิ่งย่นคิ้วน้อยๆ ตอนนี้เขากล่าวได้ว่ามาถึงขีดจำกัดของสสารและพลังงานแล้ว
นอกเสียจากพลังแห่งความว่างเปล่าที่บริสุทธิ์และสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่เป็นจำนวนมหาศาลมารวมร่างกันกลายเป็นสิ่งมีชีวิต หรือส่วนหนึ่งของธารมารดากลายเป็นปัจเจก ถึงอาจจะก้าวข้ามเขาไ ได้
ที่เหลือ แม้จะเป็นพวกผู้ดูแลแห่งหมอกเทา เขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่นิดเดียว อย่างมากสุดกินไปอาจจะทำให้ท้องผูกเท่านั้น
แต่มีเพียงสามองค์ประกอบนั่นเท่านั้น
‘นิยามสามนิยามกลไก เป็นองค์ประกอบใหญ่ยักษ์ที่รวบรวมสิ่งที่รู้จักและไม่รู้จักเอาไว้ ความนิรันดร์ ความเร้นลับ รวมถึงความโกลาหล โดยพื้นฐานแล้วเป็นองค์ประกอบทั้งหมดที่คล้ายนิยาม ในมิติจักรวาลนับไม่ถ้วน ของแบบนี้…เกิดว่าแสดงตัวโดยสมบูรณ์ เกรงว่าจะสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างและเริ่มวัฏจักรใหม่ได้โดยสิ้นเชิง ถึงเราจะแข็งแกร่งอย่างไร ก็เป็นเพียงองค์ประก กอบรวมของจักรวาล ไปไม่ถึงระดับคุณสมบัตินิยามที่บริสุทธิ์จนแม้แต่สัมผัสก็ยังสัมผัสไม่ได้แบบนั้น’
เขายังนึกไม่ออกว่าจะจัดการสามองค์ประกอบนี้อย่างไร
‘ช่างเถอะ พาคนไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน’
ได้สติกลับมา ลู่เซิ่งกวาดตามองอีกรอบ ระบบดาวรอบๆ ที่มองเห็นได้ถูกเขากินไปเมื่อครู่แล้ว
แถวๆ นี้มีแต่ดาวรกร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ดำรงอยู่ ทั้งหมดถูกเขากลืนกินแล้วเปลี่ยนกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้แก่ร่างกายร่างนี้
‘ลองดูก่อนว่าสำนักมารกำเนิดอยู่ตรงตำแหน่งไหน’ ลู่เซิ่งหลับตา จิตวิญญาณยิ่งใหญ่กระจายออกมาในพริบตา
พายุจักรวาลอันเกรียงไกรพัดขึ้นในจักรวาลรอบๆ ด้วยความเร็วสูง
ฝุ่นผงจักรวาลและรังสีมากมายถูกบิดเบี้ยว มิติรอบๆ ถูกดึงให้ยาวขึ้น เวลาโดนหยุดอย่างไร้ขีดจำกัด
เพียงแค่พริบตาเดียว ความคิดและจิตวิญญาณของลู่เซิ่งก็ยื่นขยายไปยังอาณาเขตหลายล้านปีแสงรอบๆ
เขาไม่ได้เคลื่อนย้ายตัวเองไป หากแต่ใช้พลังมหาศาลดึงมิติจักรวาลเข้าหาตัว
จักรวาลทั้งผืนเหมือนกับลูกบอลยางอ่อนยวบ เวลาที่จำเป็นค่อยให้ร่างหลักที่อยู่ด้านนอกยื่นมืออกมาจับผนังด้านในที่ลูกบอลหนังอยู่แล้วออกแรงกด อาณาเขตผืนนั้นจะถูกดึงตามไปด้วย
พายุความคิดที่ยิ่งใหญ่พัดม้วนทุกสิ่ง กรีดเฉือนระบบดาวหลายระบบอย่างรุนแรง
ไม่นานลู่เซิ่งก็เจอตำแหน่งที่สำนักมารกำเนิดอยู่
เขาใช้ความคิด ร่างหายไปจากที่เดิมอย่างฉับพลัน พริบตาเดียวก็ปรากฏในท่าดวงดาวซึ่งมียานอวกาศนับไม่ถ้วนเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องที่อีกด้านหนึ่ง
ยานอวกาศที่ไปๆ มาๆ ท่ามกลางท่าดวงดาวสีฟ้าครามอันเต็มไปด้วยดาวพร่างพราวมีทั้งเล็กทั้งใหญ่ ปลดของลงแล้วบรรทุกขึ้นไปใหม่ เหมือนกับผึ้งตัวน้อยนับไม่ถ้วนที่กำลังทำงาน
ที่นี่เหมือนจะเป็นท่าดวงดาวค้าขาย
ลู่เซิ่งหยุดอยู่กลางอากาศ ร่างกายเริ่มลอกคราบเปลี่ยนแปลง พริบตาเดียวก็มีรูปร่างธรรมดาเหมือนในตอนแรก
เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวงสีเทาธรรมดาปรากฏออกมาโดยอัตโนมัติ
‘ที่นี่น่าจะเป็นท่าเพรัลของระบบดาวที่สาม เป็นท่าส่งออกของจักวรรดิหยกคู่…การเคลื่อนย้ายเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว คิดจะเคลื่อนที่อีก แต่เขาเพิ่งมา ถ้าจ จะเคลื่อนที่อีกในระยะเวลาสั้นๆ มิติเวลาของจักรวาลผืนนี้จะรับไม่ไหว
แม้จะเป็นลูกบอลยางที่ดีดสะท้อนได้ แต่ถ้าถูกแรงมหาศาลบีบก็เปลี่ยนรูปได้เช่นกัน
ไม่ใช่ว่าเขารับไม่ไหว แต่เป็นจักรวาลผืนนี้รับไม่ไหว
ในฐานะหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่จากโลกมารสวรรค์ ลู่เซิ่งยังคงมีความรักต่อจักรวาลผืนนี้ ไม่อยากจะทำลายที่นี่โดยไม่มีสาเหตุ
‘ช่างเถอะ รอไปก่อนก็แล้วกัน รอโครงสร้างมิติเวลาฟื้นฟูความเสถียรกลับมาแล้วค่อยไป’
การเคลื่อนย้ายในพริบตาของเขา ความจริงเป็นการบีบจุดเล็กๆ สองจุดบนผนังชั้นนอกที่ลูกบอลหนังอยู่ให้แนบชิดติดกัน จากนั้นก็ก้าวข้ามในก้าวนี้ วิธีการนี้สร้างความเสียหายให้แก่ มิติเวลา ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีใดๆ แค่ใช้พลังเพียงอย่างเดียว
‘น่าเสียดาย…นอกจากพลังแล้ว ก็ไม่มีเทคโนโลยีใดที่ทำให้คนข้ามระยะห่างหลายปีแสงได้ในพริบตาอีก’ ลู่เซิ่งถอนใจขณะบินไปยังส่วนหลักของท่าดวงดาว
ส่วนหลักของท่าดวงดาวเป็นจานทรงรีขนาดใหญ่ สิ่งก่อสร้างรูปเห็ดนับไม่ถ้วนงอกออกมาด้านบนอยางหนาแน่น รอบๆ ท่าดวงดาวคือท่าการค้าที่ขุมกำลังของประเทศอื่นๆ ใช้งาน
‘ปกติแล้วท่าดวงดาวมีประตูดาวระยะไกลที่ใช้ข้ามมิติได้โดยตรง ไปดูก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งกำหนดทิศทาง
ประตูดาวเหมือนกับเส้นทางเร่งความเร็วหลายเส้น สามารถเร่งความเร็ววัตถุถึงระดับที่น่าสะพรึง จากนั้นก็หดระยะทางอย่างใหญ่หลวง ใช้เคลื่อนที่ในจักรวาลที่มีอาณาเขตเหล็กๆ ได้สะดวกสบาย เป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งกวาดความคิด ท่าดวงดาวและดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ๆ ถูกเขาตรวจสอบทั้งหมด
‘ที่นี่มีคนของสำนักมารกำเนิดด้วยหรือ?’ เขาผุดสีหน้าประหลาดใจ ‘เจ้าเด็กนี่นี่เอง’
เขาหลับตา จากนั้นร่างก็หายไปจากที่เดิมด้วยความเร็วสูง
…
ลู่หนิงยิ้มแย้มด้วยใบหน้าเกียจคร้าน ซ้ายขวาโอบสาวงามที่อ่อนช้อยนุ่มนวลสองนาง กำลังพูดคุยกับสหายหลายคนที่อยู่รอบๆ
ในโถงใหญ่มีแขกที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอยู่ไม่น้อย
แต่ผู้ที่มีสถานะสูงสุดในบรรดาทุกคนก็คือลู่หนิงผู้เป็นทายาทของสำนักมารกำเนิด
“ว่ากันว่าบิดาของเขาคือราชามารสวรรค์ไร้รูปที่แกร่งที่สุดในโลกมารสวรรค์ เป็นอมตะไม่ดับสูญ ไร้เทียมทาน และสะกดโลกนับไม่ถ้วน”
บุรุษมีเสน่ห์เจ้าของร่างล่ำสันคนหนึ่งข้างโต๊ะสุราที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยเสียงทุ้ม
เขาสวมชุดทางการธรรมดาสีขาว ดูไม่ต่างจากพ่อค้าในท่าดวงดาวทั่วไป แต่ความจริงมีสถานะอื่น
“นี่ไม่ใช่ข่าวลือ หากเป็นความจริง ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ถูกส่งมายังจักรวาลที่อยู่ไกลขนาดนี้เพื่อจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของเขา”
สตรีกระโปรงเขียวอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ เอ่ยเสียงเรียบ
“แต่จะว่าไป คนคนนี้ก็นับเป็นผู้เข้มแข็งไร้คู่ต่อการตามความหมายอีกอย่างเหมือนกันนะ” พอสตรีนึกถึงข้อมูลที่ได้เห็นก่อนหน้านี้ หัวใจก็กระตุกเล็กน้อย
“ให้กำเนิดทายาทสามร้อยกว่าคนในเวลาหนึ่งปี นอกจากนี้ยังให้กำเนิดลูกเก็บราวสองพันกว่าคนกับหญิงงามของเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่เหลือไม่รู้ว่ามีลูกพลัดหลงอยู่ไหนอีก”
“น่าจะบอกว่า สมกับเป็นลูกคนเดียวของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดกระมัง” ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ