ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1197 บุก (1)
“ฆ่า!”
“เจ้าคิดว่ายังเป็นวัฏจักรก่อนอยู่อีกหรือ เจ้าสิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าต่ำต้อย!”
เสียงหัวเราะเสียดหูสั่นสะเทือนออกมาจากในหมอกเทาพร่ามัว
บนทุ่งหญ้ากว้างขวาง ณ ชายแดนจักรวรรดิคาร์ล ยักษ์สูงใหญ่ที่สวมเกราะดำและหมวกเกราะสีทองหลายตัว พุ่งไปหาหมอกเทาผืนใหญ่ด้านหน้า
ด้านในหมอกเทาคือสิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าหลายตัว ที่เพียงเผยแขนและบ่าออกมา ร่างของพวกมันประกอบจากหมอกเทา อักขระรูปโซ่ที่บรรยายไม่ถูกปกคลุมทั่วทั้งตัว
ยักษ์ที่พุ่งเข้าใกล้บางส่วนปะทะกับสิ่งมีชีวิตหมอกเทาก่อนแล้ว พวกมันทรงพลังและรวดเร็วจนน่าตกใจ สิ่งมีชีวิตหมอกเทาเป็นอมตะ อีกทั้งกรงเล็บยังคมกริบ
ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือด
สัตว์ประหลาดที่เหมือนแรดหลายตัวส่งเสียงคำรามพลางพุ่งออกมาจากด้านหลังหมอกเทา ชนใส่ยักษ์สองตัวจนกระเด็นโดยแรง ยักษ์ที่ถูกชนกระดูกอกยุบจม หมอกเทาลอยอ้อยอิ่ง ใกล้จะสิ้นชีวิต
“ดินแดนแห่งนี้แห่งี้จะเป็นรากฐานของเผ่าพันธ์เรา! จงไสหัวออกไปซะ เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าต่ำต้อย!” สัตว์ประหลาดแรดคำราม ร่างที่สูงถึงสามสิบกว่าเมตรเหยียบย่ำยักษ์หลายตนตาย ก่อนก้มหน้าพุ่งหาหัวหน้ายักษ์
“เจ้ามารโกลาหลโง่เง่า! วัฏจักรก่อนพวกเรากำจัดพวกเจ้าได้ ตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากเดิม!” ยักษ์สวมเกราะสีทองเข้มและติดผ้าคลุมขาวตนหนึ่งตวาดพลางพุ่งใส่แรด
ตูม!
คลื่นกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นบนพื้นเหมือนกับระเบิดนิวเคลียร์ หญ้าและผิวดินนับไม่ถ้วนบนทุ่งหญ้าระเบิด ปรากฏหลุมยักษ์ที่ลึกหลายสิบเมตรและกว้างมากกว่าร้อยเมตรขึ้น
ณ ภูมิประเทศที่เป็นสันเขาอีกด้านของจักรวรรดิ
สิ่งมีชีวิตหมอกเทาขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนกิ้งกือหลายตัวไต่ออกมาจากข้างเนินเขาอย่างเงียบเชียบ พวกมันตวัดลิ้นสีแดงเข้มแปลบปลาบ ร่างยาวหลายสิบเมตร เปลวเพลิงสีเทาลุกโชนในสองตา
สมาชิกสมาคมสตรีเหล็กที่ยืนอยู่ด้านข้างก้มตัวเคารพพวกมัน
เหล่ากิ้งกือยักษ์จับกลุ่มกันไต่ไปยังที่ไกลอย่างบ้าคลั่ง ทิศทางนั้นคือจักรวรรดิคารล์นั่นเอง
อากาศบนมหาสมุทรสีครามอันไพศาลในอีกสถานที่บนดวงดาวพลันแตกเป็นรอยร่องแยกสีเทาหลายสาย
สิ่งมีชีวิตสีดำขนาดยักษ์ที่เหมือนปลากระเบนหลายตัวว่ายออกมาจากรอยร่องแยกอย่างเชื่องช้า
พวกมันไม่มีหัว มีแค่ตาดำขนาดใหญ่โตที่เจาะทะลุร่างดวงหนึ่งตรงท้อง ดวงตาสีดำกะพริบอย่างไม่หยุดยั้งขณะปล่อยกลิ่นอายที่โกลาหลและโหดเหี้ยมออกมา
นักรบเงือกที่สวมเกราะขาวจำนวนมากรีบลอยตัวขึ้นมาจากในมหาสมุทร พวกเขาถืออาวุธและสวมชุดเกราะที่เปล่งประกายสีฟ้า จ้องมองสิ่งมีชีวิตยักษ์ที่บินลงมาจากด้านบนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เพื่อชัยชนะ! เพื่อเกียรติยศ!” นักรบเงือกคนหนึ่งที่เป็นผู้นำชูแขนขวา “สังหาร!”
เขาตะโกนก้อง ก่อนจะม้วนคลื่นทะเลผืนใหญ่ขึ้นมา กระโดดพุ่งตัวไปหาปลากระเบนยักษ์กลางท้องฟ้าเป็นคนแรก
ทุกหนแห่งและทุกอาณาเขตบนดาวเคราะห์ เต็มไปด้วยสงครามช่วงชิงสิทธิ์ควบคุมของมารโกลาหลและสหพันธ์การดำรงอยู่กับขุมกำลังความว่างเปล่า
มนุษย์นับไม่ถ้วนได้เห็นการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดพวกนี้อย่างแท้จริง พวกเขาตกใจรับมือไม่ทัน หวาดกลัวกระสับกระส่าย ประชาชนคนธรรมดาแอบอยู่ในบ้าน เส้นทางการสื่อสารระห่างประเทศขาดสะบั้นลงทั้งหมด
กองทัพและอาวุธต่อสู้จำนวนมากกำลังถูกขนไปยังจุดต่อสู้
สมาคมสตรีเหล็กฉวยโอกาสแอบหลบไปหลังฉาก กลับเป็นพวกสาวกลัทธินอกรีตที่เร้นลับก่อนหน้าพากันโผล่หัวมาอัญเชิญอสูรโกลาหล สร้างความวุ่ยวายไปทุกหย่อมหญ้า
คนธรรมดาโหยหวน คดีฆาตกรรมเกิดขึ้นทั่วหัวระแหง
ราชสำนักแทบเอาตัวเองไม่รอด ส่งยอดฝีมือไปไขคดีจับคนร้าย แต่ก็มีกำลังคนไม่เพียงพอ
ประเทศหลายสิบประเทศบนดาวเคราะห์ทั้งดวงตกสู่ความสับสนอลหม่าน
สมาคมสตรีเหล็กสร้างเส้นทางเข้าออกให้เผ่าพันธุ์มารโกลาหล จากนั้นก็ล่าถอยอย่างปลอดภัย ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ รอให้ลู่เซิ่งมารับตัว
ผู้นำของฝ่ายสหพันธ์การดำรงอยู่และขุมกำลังความว่างเปล่านำกำลังโจมตีฐานทัพของมารโกลาหลอย่างรวดเร็ว
และเพื่อรักษาฐานไว้ มารโกลาหลก็ดำเนินการพิธีรเซ่นสรวงอัญเชิญ เรียกอสูรโกลาหลและมารโกลาหลจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาปะทะกับสองกองกำลังเป็น
กลางอวกาศที่อยู่สูงกว่า มารโกลาหลและสัตว์ประหลาดจากขุมกำลังความว่างเปล่าหลายฝูงกำลังฆ่าฟันกันอย่างบ้าคลั่งราวกับเครื่องบดเนื้อ มีคนบาดเจ็บล้มตายอย่างมากมายแทบทุกวินาที
และลู่เซิ่งในเวลานี้ก็กำลังพาระดับสูงของสำนักมารกำเนิดอพยพไปยังจักรวาลเร้นลับที่เขาหาเจอ
ทรัพยากรจำนวนมากนับไม่ถ้วน ผู้เข้มแข็งนับไม่ถ้วน โยกย้ายเข้าไปในจักรวาลเร้นลับ
จักรวาลทั้งจักรวาลเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เพราะการเข้ามาของสสารพลังงานมากมาย
ผ่านไปราวสามวัน
สำนักมารกำเนิดขนาดใหญ่โตก็เหลือแค่เปลือกกลวงเปล่า ทิ้งการดำรงอยู่ที่คล้ายร่างแปลงส่วนหนึ่งไว้คอยรักษาสถานการณ์ใหญ่ สุดยอดผู้เข้มแข็งซึ่งรวมถึงสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับทะยอยออกจากโลกมารสวรรค์เข้าสู่จักรวาลเร้นลับ
ฐานทัพที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเริ่มก่อสร้างขึ้นกลางจักรวาลเร้นลับอย่างรวดเร็ว
หลังลู่เซิ่งสั่ง ทุกคนก็เริ่มสร้างฐานทัพให้กลายเป็นป้อมปราการจักรกลขนาดมโหฬารลักษณะคล้ายดาวสู้รบ
หลังจัดการเรื่องพวกนี้เรียบร้อย ลู่เซิ่งค่อยมีเวลาพิจารณาวิธีการรับมือการคุกคามจากสามกลไกใหญ่
…
ในจักรวาลเร้นลับ
อวกาศในจักรวาลสีดำทะมึนไม่มีแสงสักสายเดียว พื้นที่จักรวาลที่เพิ่งเข้ามาปักหลักแห่งนี้เล็กมาก ยังใหญ่ไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของโลกมารสวรรค์ด้วยซ้ำ
แต่ก็เพียงพอจะให้สำนักมารกำเนิดตั้งฐานดำรงชีวิต
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแม่น้ำใหญ่ที่ใสเหมือนกระจก สวมชุดคลุมสีขาว กลุ่มแสงสีเทาเป็นดวงๆ ลอยวนเวียนอยู่รอบตัว เหมือนกับภูติตัวน้อยเริงระบำ
“ยังคิดอะไรอยู่อีกหรือ” หวังจิ้งโผล่ออกมากลางผิวแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลออกไป ท่อนบนนางเปลือยเปล่า ผมยาวเปียกชุ่มแนบชิดแผ่นหลัง ขับทรวดทรงสมบูรณ์แบบที่ชวนให้จิตใจไหวสะท้านใต้แสงจันทร์
“กำลังคิดว่า ต่อจากนี้พวกเราจะใช้ชีวิตแบบไหน หลังจากเร้นกาย ต้องวางแผนอะไร” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ เจ้าไม่ได้กำลังคิดเรื่องพวกนี้” หวังจิ้งส่ายหน้าน้อยๆ “เจ้ากำลังกังวลอะไร” ความคิดของนางปราดเปรียวจนสร้างความแปลกงใจให้ลู่เซิ่งเล็กน้อย
“ตอนนี้ข้าเป็นอมตะ อายุขัยไร้ขีดจำกัด พวกเรามีเวลานับไม่ถ้วนให้ใช้ด้วยกัน บวกกับลูกหลานกระจายเต็มดวงดาว ยังมีอะไรไม่วางใจอีก” ลู่เซิ่งปลอบ
“เจ้ากำลังเป็นห่วงทางสหพันธ์การดำรงอยู่และซีหนิงหรือ” หวังจิ้งถาม
“วางใจเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง พวกเจ้าแค่รอก็พอ” ลู่เซิ่งยิ้มพลางลุกขึ้น
หวังจิ้งเดินมา สองเท้าแตะผิวแม่น้ำแผ่วเบา คลื่นหลายกลุ่มกระเซ็น จากนั้นก็นั่งลงข้างลู่เซิ่ง ซบร่างเขาเงียบๆ
นางรู้ว่าสิ่งที่ลู่เซิ่งต้องการในตอนนี้คือการอยู่ด้วยกันกับนางอย่างสงบสุข
ผ่านไปเนิ่นนาน ลู่เซิ่งจึงค่อยๆ เอ่ยปาก
“อีกสามวัน ข้าจะไปจัดการธุระ พวกเจ้ารออยู่นี่อย่างสบายใจเถอะ ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
“อืม ข้ากับลูกข้า จะรอเจ้า” หวังจิ้งกล่าวเสียงอ่อนโยน ในท้องที่นูนน้อยๆ ของนางมีใบหน้าคนโผล่มาแล้วพยักหน้าช้าๆ
ลู่เซิ่งยื่นแขนโอบกอดหวังจิ้ง ห้วงสมองกลับคิดหาวิธีรับมือสามกลไกใหญ่
สามกลไกใหญ่แบ่งเป็น การดำรงอยู่ ความว่างเปล่า และความโกลาหล
‘สิ่งที่อันตรายที่สุดน่าจะเป็นความโกลาหล ถ้าเราจัดการรความโกลาหลได้ในคราวเดียว น่าจะสบายไปตลอดกาล’ ลู่เซิ่งรู้จากท่าทีของสหพันธ์การดำรงอยู่และขุมกำลังความว่างเปล่าว่า ความโกลาหลในสามกลไกหลักอันตรายที่สุด
‘พูดอีกอย่างก็คือ สุดท้ายก็ย้อนกลับมาที่ทางปฏิสุญญตา ดูเหมือนต้องไปปฏิสุญญตาสักครั้ง ถ้าไม่สัมผัสกับพลังของสามขุมกำลังใหญ่จริงๆ ก็ไม่สามารถทดลองต่อสู้และรับมือได้’
เขาตัดสินใจ
สายเลือดใหม่ในตอนนี้กำลังจะถือกำเนิด ลู่เซิ่งจำเป็นต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังตัว อย่างไรก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“ไปเถอะ ไม่ว่าจะทำเรื่องใด ข้าล้วนสนับสนุนเจ้า” หวังจิ้งกอดเขา
“ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไรหรอก” ลู่เซิ่งตบหลังปลอบนาง จงใจแสดงสีหน้าผ่อนคลาย
เพียงแต่หวังจิ้งไม่ใช่สตรีธรรมดา นางรู้ดีว่าลู่เซิ่งที่ทำงามหน้ากับสามกองทัพใหญ่กำลังจะเผชิญปัญหาแบบใด
ทั้งสองไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่โอบกอดกันเงียบๆ
…
หลายวันให้หลัง
ลู่เซิ่งกลับถึงโลกมารสวรรค์ แล้วเริ่มจัดวางค่ายกลอัญเชิญในศูนย์ใหญ่ของสมาคมวิจัยความประหลาดลี้ลับ
โดยอาศัยทรัพยากรที่หลงเหลืออยู่ในศูนย์ใหญ่ ค่ายกลยักษ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนปรากฎในศูนย์ใหญ่ของสมาคมวิจัย โดยอาศัยทรัพยากรที่หลงเหลืออยู่ในศูนย์ใหญ่
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหน้าค่ายกล ยื่นมือขวาออกมา แสงสีแดงเล็กละเอียดสว่างขึ้นกลางฝ่ามือ
“ขออัญเชิญแหล่งกำเนิดแห่งความโกลาหล บ่อเกิดพลังงานชั่วร้าย สภาวะแห่งการพังทลาย ต้นธารไร้ขีดจำกัด และบุตรแห่งเผ่าพันธุ์โกลาหลทั้งมวลด้วยนามบรรณาการแห่งข้า”
ท่ามกลางเสียงท่องคาถาของเขา ค่ายกลตรงหน้าค่อยๆ กระจายหมอกเทาออกมาหลายสาย
หมอกเทาหลายกลุ่มรวมตัวกันเหนือกองเครื่องเซ่นตรงกลางค่ายกล กลายเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง ก่อนจะคว้าลงด้านล่าง
ฟ้าว!
เครื่องเซ่นทั้งหมดกลายเป็นหมอกเทาสลายหายไป กลายเป็นรอยร่องแยกแนวตั้งกลางอากาศ
…
เผ่าพันธ์ที่สามแห่งความโกลาหล
กู่หลัวตู้กางแขนสีดำขนาดมหึมา ขยับลำตัวใหญ่โตสูงสิบกว่าเมตร มือหลายข้างโยนอสูรโกลาหลและมารโกลาหลจำนวนมากที่กำลังพุ่งสู่รอยร่องแยกอัญเชิญออกไปรอบตัว
“รอยร่องแยกอัญเชิญที่ใหญ่ขนาดนี้ เพียงพอจะให้ข้าผ่านได้ นึกไม่ถึงว่าแค่ออกมาเดินเล่นกลับจะเจอโอกาสดีๆ แบบนี้”
ช่วงนี้เผ่าพันธุ์กำลังสู้กับสุญญตาหลัก โลกที่สู้กันมีระดับพลังงานสูงมาก ไปแล้วมีแต่ปัญหา เขากู่หลัวตู้เป็นมารฉลาด อยู่ดีๆ จะไปหาเรื่องที่นั่นทำไม
ไปพักร้อนที่จักรวาลแห่งอื่นดีกว่า ฉวยโอกาสตอนที่ความสนใจของเจ้าพวกสุญญตาหลักรวมอยู่บนโลกระดับพลังงานสุดยอด เขาท่านกู่หลัวตู้จะแอบไปพักฟื้น
กู่หลัวตู้พุ่งสองสามทีไปถึงรอยร่องแยกอัญเชิญ ขณะกำลังจะยัดหัวเข้าไปเพื่อดูสถานการณ์
ทันใดนั้นน่องขาของมนุษย์ที่กว้างใหญ่ท่อนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากรอยร่องแยก แล้วยืนบนผืนดินของเผ่าพันธุ์โกลาหลอย่างมั่นคง
เปรี้ยง
พื้นสั่นไหวน้อยๆ
รอยยิ้มบนใบหน้ากู่หลัวตู้แข็งทื่อทันที
เขาสาบานว่า เขามีชีวิตอยู่มาหลายสิบล้านปี แต่ไม่เคยเห็นขาคนที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
ขาคนตรงหน้าเขาหนาเท่ากับลำตัวของเขา ขนขาขึ้นยุบยับ ผิวไม่เรียบลื่น แต่ถ้ามองอย่างละเอียด จะพบว่ามีเกล็ดโปร่งใสนับไม่ถ้วนกระจายตัวอย่างหนาแน่น
“ใครกัน! กล้าชิงค่ายกลอัญเชิญของข้าท่านกู่หลัวตู้อย่างนั้นหรือ!” กู่หลัวตู้งุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็เดือดดาล ค่ายกลอัญเชิญขนาดใหญ่แบบนี้ยากจะเจอได้สักครั้ง เขาในฐานะเผ่าเทพมารราห์ไม่ได้ออกไปผ่อนคลายจิตใจมามากกว่าหมื่นปีแล้ว อุตส่าห์เจอโอกาสทั้งที สุดท้ายกลับถูกคนชิงตัดหน้าก่อน
เขาพุ่งเข้าหาขาใหญ่ข้างนั้น ลมสีดำอมเทาพัดขึ้นทั่วร่าง พละกำลังเกรี้ยวกราดสั่นไหวมิติรอบๆ จนปรากฏรอยแตก
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ เขาเพิ่งพุ่งได้ครึ่งทาง ขามนุษย์ที่กว้างใหญ่อีกข้างก็ยื่นออกมาจากในรอยร่องแยก ถีบใส่ร่างเขาพอดี
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังสนั่น กู่หลัวตู้โหยหวน ปากกระอักเลือด แล้วกระเด็นออกมาไปด้วยความเร็วที่สูงกว่าตอนพุ่งเข้าไป พริบตาเดียวก็กระแทกใส่พื้นที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เกิดหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น
ไม่นาน ลำตัว บ่า และสองแขนของมนุษย์ก็มุดออกมาจากรอยร่องแยก สุดท้ายก็ตามด้วยศีรษะ
‘ในที่สุดก็เข้ามาแล้ว…’ ลู่เซิ่งสะบัดหักคอ รู้สึกร่างกายเหมือนเข้าเครื่องซักผ้า ถูกความบิดเบี้ยวมากมายบิดอัดหมุนวนจนทรมานอย่างยิ่ง
‘ที่นี่คือเผ่าพันธุ์มารโกลาหลหรือ’ เขากวาดตามองรอบๆ
……………………………………….