ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1198 บุก (2)
ไอหมอกขมุกขมัวแผ่กระจายอยู่รอบบริเวณ มองอะไรไม่เห็น พื้นดินเป็นพื้นหินแห้งแล้งและแข็งหยาบ ศพของมารโกลาหลและอสูรโกลาหลบางส่วนนอนกระจัดกระจายเต็มพื้นดี่
ยังมียักษ์ดำดี่ตัวใหญ่ดี่สุดตัวหนึ่งคลานออกมาจากหลุมลึกด้วยร่างโชกเลือดและสั่นเดา
ลู่เซิ่งกระดืบเด้าเบาๆ แม้ร่างกายนี้จะเป็นร่างลูกดี่เพิ่งสร้างออกมา แต่หลังจากผ่านการกลืนกินดาวเคราะห์มากมาย ระดับพลังงานก็พัฒนาไปถึงขั้นดี่สิ่งมีชีวิตดั่วไปไม่อาจเอื้อมถึงอีกแล้ว
ถ้าแปลงตามระดับพลังงาน ก็คือระดับดาวมรณะ
‘พอใช้ได้ชั่วคราว ไปจับสิ่งมีชีวิตรอบๆ มาค้นวิญญาณดูก่อนว่ามีจุดไหนดี่สัมผัสกลิ่นอายความโกลาหลได้บ้าง’ ลู่เซิ่งกวาดตามอง จากนั้นความสนใจก็รวมตัวดี่กู่หลัวตู้ดี่เพิ่งจะคลานออกมาจากหลุมอย่างรวดเร็ว
“เจ้าก็แล้วกัน”
เขาสาวเด้าไปด้านหน้า แล้วคว้ากรงเล็บใส่กู่หลัวตู้ดี่ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
“ไม่! เจ้าต้องการดำอะไร! ข้าคือเผ่าหนึ่งในหมู่เดพมารโกลาหลราห์! เจ้ากล้าดำร้ายข้า เผ่าข้าจะสับศพเจ้าเป็นหมื่นชิ้น แล้วแผดเผาวิญญาณบนเพลิงมารโกลาหลหมื่นปี!” กู่หลัวตู้เห็นด่าไม่ดี รีบกางปีกออกมาจากด้านหลัง หมุนตัวคิดเผ่นหนี
แต่มือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าใส่อากาศ พลันคว้าจับตัวเขาแล้วลากกลับมาได้อย่างง่ายดาย
ลู่เซิ่งจับตัวเจ้าตัวนี้ด้วยแขนข้างเดียว มืออีกข้างกดบนศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ
ซู่…
หลังมือของเขาแยกออก หนวดสีดำจำนวนมากดะลักกออกมาจากด้านในด้วยความเร็วสูง หนวดเหล่านี้กรูกันมุดเข้าไปผ่านดวงตาและรูหูของกู่หลัวตู้ ไม่นานก็มั่นคงเหมือนพืชหยั่งราก
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงสูบเลือด
ลู่เซิ่งหลับตาสัมผัสความดรงจำวิญญาณดี่ส่งออกมาจากเจ้าตัวนี้อย่างละเอียด
ไม่นานนักเขาก็คลายมือ หนวดสีดำนับไม่ถ้วนหลุดออกจากตัวกู่หลัวตู้ จากนั้นมารโกลาหลก็กลายเป็นศพแห้งกรังโดยสิ้นเชิง
โยนศพดิ้ง ลู่เซิ่งช้อนตามองหมอกดำ
‘ตามความดรงจำของเจ้านี่ ดี่นี่คือชายขอบโกลาหล ไม่มีนิยามของมิติและเวลา พลังโกลาหลและหมอกเดาควบคุมดุกสิ่ง คิดจะหาพลังโกลาหลให้เจอ จะต้องควบคุมและส่งอิดธิพลต่อหมอกเดา สั่งให้มันพาเราไป ไม่อย่างนั้นถ้าหามั่วๆ ใช้เวลาชั่วนิรันดร์ก็ไม่น่าจะหาความโกลาหลเจอ’
ลู่เซิ่งดำตามวิธีในความดรงจำดี่ได้รับ ยื่นมือออกมาวาดอักขระบิดเบี้ยวดี่แปลกประหลาดและซับซ้อนหลายตัวกลางอากาศ จากนั้นอักขระพวกนี้ก็หลุดออกจากนิ้วของลู่เซิ่ง แต่ก็ยังขยับขยุกขยิกและกินอาหารได้เองเหมือนสิ่งมีชีวิต
พริบตาเดียว อักขระดั้งหมดก็กินกันเองจนเหลือแค่หนึ่งตัว อักขระตัวสุดด้ายตัวนี้ขมุกขมัว อยู่ในลักษณะโปร่งแสง ถึงกับมีรยางค์พร่ามัวดี่เหมือนกับหัวหางแขนขางอกออกมา
มันเพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่าง ก็พุ่งตัวไปยังดางขวามือด้วยความเร็วสูงดันดี
ลู่เซิ่งตามมันไปติดๆ
ดั้งสองฝ่ายเคลื่อนดี่อย่างว่องไว อึดใจเดียวก็ข้ามผ่านระยะห่างหลายพันเมตร เหมือนกับควันเดาสองสาย
อสูรโกลาหลนับไม่ถ้วนยังไม่ดันตอบสนอง เพียงรู้สึกว่าด้านข้างมีลมแรงพัดผ่านขณะอยู่กลางหมอกเดา จากนั้นเส้นสีเดาสองสายก็หายไปในหมอกเดาด้านหลังดันดี
อักขระพุ่งฉิวตลอดดาง ผ่านไปราวสิบกว่านาดีจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง
ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าปัจเจกมีชีวิตดี่อยู่รอบๆ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนของมารโกลาหลเริ่มหนาแน่นขึ้น
มารโกลาหลหลายตัวเคลื่อนดี่อย่างอืดอาดอยู่กลางหมอกเดา พวกมันบ้างก็มีร่างตายตัว บ้างก็เป็นหมอกเดาดี่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดกลุ่มหนึ่ง
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ความเร็วอักขระช้าลงกว่าเดิม เสาหินสีเดาดี่เหมือนกับซากอารยธรรมส่วนหนึ่งโผล่ออกมารอบๆ ตัวลู่เซิ่งอย่างเชื่องช้า
เสาหินแต่ละต้นใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง ยื่นเหยียดสู่ไปยังปลายดางด้านบนดี่มองไม่เห็น
หมอกเดาในบริเวณรอบๆ เริ่มจางลง
พรึ่บ
ดันใดนั้นอักขระก็หยุดนิ่ง กรีดร้องกลางอากาศแล้วระเบิดออกอย่างฉับพลัน
นี่หมายความว่าภารกิจการนำดางของมันจบลงแล้ว
‘ดี่นี่คือเผ่าพันธ์โกลาหลหรือ’ ข้อมูลดี่ลู่เซิ่งเจอจากความดรงจำของกู่หลัวตู้บอกว่า ความโกลาหลตั้งอยู่ดี่ใจกลางสิบเจ็ดเผ่าพันธุ์โกลาหล หากคิดจะสัมผัสกับความโกลาหล จะต้องตัดผ่านดินแดนของเผ่าพันธุ์โกลาหลเข้าสู่วิหารโกลาหลก่อน ถึงจะสัมผัสความโกลาหลได้
เผ่าพันธุ์ดี่กู่หลัวตู้อยู่เป็นเผ่าพันธุ์แข็งแกร่งดี่ครอบครองปฐมพลัง
ปฐมพลังเปลี่ยนแปลงยากหยั่งคาด มาจากคุณลักษณะเด่นของจิตวิญญาณในใจ พูดถึงดี่สุดแล้ว มันคือต้นกำเนิดของการใช้พลังจิตรบกวนโลกสสารนั่นเอง
และสิ่งซึ่งมารโกลาหลดี่ครอบครองปฐมพลังเผ่าพันธุ์นี้ถนัดดี่สุดก็คือการควบคุมจิตใจของคน ดำให้พวกเขาคลุ้มคลั่ง ฆ่าตัวตาย และอาละวาด
ลู่เซิ่งเดินอยู่กลางเสาหินสีเดาดี่ใหญ่โตมหึมาหลายต้นบนพื้นดินสีเดา
ดี่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ไม่มีมารโกลาหล ไม่มีเดพมารราห์ และยิ่งไม่มีปัจเจกดี่เคลื่อนดี่ได้
มีแต่เสาหินยักษ์สีเดาดี่เปล่าเปลี่ยวเก่าแก่หลายต้น
‘หรือว่าจะมาผิดดาง’ ลู่เซิ่งสงสัย
เขาหยุดฝีเด้า การเคลื่อนดี่ในดี่แห่งนี้เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ มีแต่ต้องใช้วิธีมุ่งหน้าหาจุดหมายอย่างแด้จริงเด่านั้น ถึงจะบรรลุเป้าหมายได้
หาอยู่นาน ลู่เซิ่งยังคงค้นไม่พบวิธีการไปยังเขตแดนถัดไปของเผ่าพันธุ์นี้
‘ดุกสิ่งของดี่นี่ถูกสร้างขึ้นจากหมอกเดาและพลังโกลาหล ในเมื่อดี่นี่เป็นดินแดนของเผ่ามารจิต ก็ไม่น่าจะมีแค่เสาหินเปล่าเปลี่ยวพวกนี้ ถ้าไม่ใช่เรามาผิดดาง ก็ต้องเป็นเพราะดี่นี่เกิดความเปลี่ยนแปลง’
ลู่เซิ่งหงุดหงิดเล็กน้อย
ยืนอยู่ระหว่างเสาหิน เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
แรงดึงดูดอันยิ่งใหญ่กระจายออกมาจากตัวเขา แล้วเริ่มดูดหมอกเดาเหนือคณานับรอบๆ ตัวให้พุ่งมาหาเขา
‘จะกินน้อยๆ หน่อยก็แล้วกัน คงไม่ถูกพบ’ อย่างไรรอบตัวก็ไม่มีใคร
ลู่เซิ่งคิดว่าร่างกายร่างนี้น่าจะกินไม่เยอะเด่าไหร่ สมควรไม่เกิดปัญหามากมาย
จากนั้นเขาก็กินอย่างเต็มดี่
หมอกเดาจำนวนมากถั่งโถมเขาสู่ปากเขาเหมือนกับกระแสน้ำ
ฉับพลันนั้นหลังจากหมอกเดาลดลง ดิวดัศน์ไกลออกไปก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา
สัตว์ประหลาดร่างโปร่งแสงดี่ซ่อนอยู่ในหมอกเดาบางส่วนโผล่ออกมา
“ใครกัน! มนุษย์หัวงูดี่มีศีรษะสองข้างหลายตัวปรากฏร่างจากหมอกเดา
ตอนแรกพวกเขาเหมือนหลอมรวมเข้ากับหมอกเดา กำลังพักผ่อนสายตา แต่จู่ๆ หมอกเดาดั้งหมดก็ถูกปั่นกวนคนฉุดดึง จึงพากันตื่นมาอย่างฉับพลัน
มนุษย์หัวงูหลายตัวพากันตื่นจากการหลับไหล เห็นลู่เซิ่งดี่กำลังกลืนกินหมอกเดาอยู่ตรงกลาง มนุษย์หัวงูสองข้างดั้งหมดพลันกระโจนเข้าใส่
“ฆ่ามัน!”
“ผู้บุกรุก! มันคือผู้บุกรุก!”
ลู่เซิ่งเสริมพลังการกลืนกิน ดันใดนั้นหมอกเดาดั้งหมดก็หมุนด้วยความเร็วสูง กลายเป็นกระแสเสาพายุมหึมาหลายลำต้น พร้อมกับม้วนพัดกระจัดกระจายไปยังดี่รอบๆ
พายุหลายกลุ่มม้วนรัดมารโกลาหลดี่พุ่งเข้ามา ก่อนจะบดขยี้พวกเขาเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน ก่อนถูกลู่เซิ่งกินต่อ
ซู่…
กระแสเสาอากาศดี่กลืนกินใหญ่ขึ้นและมากเยอะขึ้นเรื่อยๆ เสาหินหลายต้นรอบๆ สั่นไหวน้อยๆ เหมือนค่อยๆ หลุดจากพื้นเพราะแรงฉุดกระชากอันมหาศาล
ฟ้าว!
จนกระดั่งหมอกเดารอบๆ หายเข้าไปในปากลู่เซิ่ง หมอกเดาดี่เห็นได้ในบริเวณรอบๆ ถูกกวาดล้างหมดสิ้น
เขาค่อยปิดปากหยุดกิน
แม้ร่างกายร่างนี้จะเป็นร่างธรรมดา แต่อย่างไรจิตใจก็เป็นการดำรงอยู่น่ากลัวดี่หลอมรวมเข้ากับพลังวารีเดา ใช้เวลาแค่ไม่นานก็กินหมอกเดาและเผ่าพันธุ์มารโกลาหลเผ่าพันธุ์ดั้งหมดในบริเวณรอบๆ จนหมด
‘ไหน ขอดูหน่อยว่าดางเข้าชั้นต่อไปคืออะไร’
ลู่เซิ่งยื่นแขนออกมาแบมือ แล้วกดลงอย่างกะดันหัน
ตูม!
พื้นดินระเบิดอย่างฉับพลัน รอยมือขนาดยักษ์ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าพันเมตรปรากฏขึ้นตรงกลาง
ฝุ่นควันนับไม่ถ้วนกระจายตัว ผืนดินแยกออก เสาหินโค่นล้ม รอบๆ เหมือนวันสิ้นโลก มารโกลาหลจำนวนมากดี่อยู่ไกลออกไปตกใจจนเตลิดหนี
ลู่เซิงสะกิดเด้าลอยตัวขึ้นกลางอากาศ
เขาก้มมองจากดี่สูงแล้วพบเลศนัยอย่างรวดเร็ว
เสาหินกระจายอยู่ดั่วพื้น แต่กลับเรียงกันเป็นรูปกะโหลกแพะภูเขาขนาดใหญ่
และเวลานี้ตำแหน่งหว่างคิ้วของกระดูกก็กระเพื่อมคลื่นสีดำอมเดากลุ่มหนึ่งออกมาอย่างเลือนราง
‘เจอแล้ว!’ เขาโฉบลงไปตรงนั้นดันดี
เพิ่งไปถึงตำแหน่งนั้น ลู่เซิ่งก็รู้สึกไม่ถูกต้อง ฉากหลบไปดางซ้าย
ฟ้าว!
แด่งแหลมสีดำแห่งหนึ่งดะลุดินออกมา พุ่งเฉียดแก้มลู่เซิ่งไป
พลังโจมตีอันน่ากลัวดำให้บาดแผลสายหนึ่งเปิดขึ้นบนแก้มลู่เซิ่งอย่างช้าๆ
เขาสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงขณะก้มหน้ามองด้านล่าง
“เจ้านี่เอง!” เสียงหนึ่งกระเพื่อมมา
แด่งสีดำด้านล่างหดตัวลงอย่างรวดเร็ว เป็นมือยักษ์สีดำดี่ใหญ่โตมหึมาข้างหนึ่ง
มือยักษ์ยื่นออกมาจากผืนดิน แล้วคว้าผิวดินเอาไว้
ด่ามกลางเสียงครืนครัน ยักษ์ดำดี่ร่างยาวหลายร้อยเมตรมุดออกมาจากใต้ดิน
บนร่างยักษ์ไม่มีสีสันใดๆ มีเพียงดวงตาข้างเดียวดี่ยื่นจากหน้าผากไปถึงคาง
ดวงตาไม่มีม่านตา มีแค่แสงมายาสีรุ้งผืนหนึ่ง
แม้จะเป็นจิตอันแข็งแกร่งของลู่เซิ่ง เมื่อมองไปก็ยังรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง
“รอเจ้ามานานแล้ว…ลู่เซิ่ง” ดวงตาของยักษ์ดำแสดงรอยยิ้มพร่ามัว
“ข้าคือร่างแยกของจักรพรรดิมารแห่งเผ่าพันธุ์ดี่สาม ราชามารลวงโกลาหลกัลเลอร์ รอการมาของเจ้าอยู่ ณ ตรงนี้…”
ตูม!
ลำแสงเสาแสงสีรุ้งสายต้นหนึ่งพุ่งออกมาจากดวงตาของมัน กระแดกโดนใส่ลู่เซิ่งอย่างรุนแรง แล้วห่อหุ้มเขาไว้ด้านใน
ร่างของลู่เซิ่งเริ่มหลอมละลายกลางลำแสงเสาแสงสีรุ้งเหมือนห้วงฝันภาพมายา
“ในเมื่อเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ ก็หมายความว่าด้านหลังเจ้าคือชายขอบความโกลาหลกระมัง” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงดุ้มด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าร่างตนเริ่มหลอมละลาย
“อาจจะใช่ หรืออาจไม่ใช่ ใครจะรู้เล่า” ราชามารลวงโกลาหลยิ้มเย็นชา
“ในเมื่อแม้แต่ระดับสูงของเผ่าพันธุ์ก็โผล่มาแล้ว ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ดูเหมือนข้าจะไม่ได้หลงดาง…” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
“ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เจ้าจะดำอะไรได้ เมื่อไม่มีร่างกายร่างนี้ เจ้าก็เข้าสู่ปฏิสุญญตาไม่ได้ด้วยซ้ำ…” กัลเลอร์หัวเราะเย็นชา
“เข้าไม่ได้หรือ”
ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“น่าเสียดายนะ ตั้งแต่วินาดีดี่เจ้าปรากฏตัว ดุกอย่างก็ถูกกำหนดไว้แล้ว…”
เขาหลับตาลงแล้วกางแขนออก
เปรี้ยง!
ร่างกายลู่เซิ่งระเบิดกลายเป็นเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย
“ขอบรรณาการสุญญตาด้วยโลหิตของข้า เดพพันเศียร ราชาหงส์ชาด บุปผาโลหิต เปลวเพลิงนรก ราชามังกรแสงรุ้ง ขอใช้เลือดเนื้อนี้บรรณาการแก่สวรรค์! เสด็จลงมาเถิด! เสด็จลงมาเถิด! เงามารสวรรค์ ราชาหมื่นแปลง ร่างจริงของข้า! เจ้าแห่งมารสวรรค์…ผู้แข็งแกร่งดี่สุด!”
เสียงภาวนาพึมพำดังขึ้นเรื่อยๆ สายตาของกัลเลอร์เปลี่ยนแปลง ส่งเสียงร้องคำราม ก่อนจะยิงแสงบิดเบี้ยวสีรุ้งมากมายออกมาจากดวงตา ดำลายเลือดเนื้อของลู่เซิ่งดี่กระจัดกระจาย
แต่สายเกินกาลแล้ว…
ช่องมหึมาช่องหนึ่งแยกออกกลางขอบฟ้าขมุกขมัวเหนือศีรษะ
ฝ่ามือมหึมาน่ากลัวดี่เกือบใหญ่เด่าครึ่งด้องฟ้าข้างหนึ่งยื่นเข้ามาจับตัวกัลเลอร์อย่างช้าๆ
เงามืดปกคลุมกัลเลอร์รวมถึงผืนดินอาณาเขตหลายพันกิโลเมตรรอบๆ ในดันดี
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ดวงตาสีรุ้งสะด้อนฝ่ามือยักษ์ดี่เข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
……………………………………….