ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1199 ปนเปื้อน (1)
“การเรียกร่างหลักมาต้องเซ่นสรวงสสารพลังงานมากมายเพื่อสร้างความสเสถียรให้แก่ทางเชื่อมและใช้เป็นตัวระบุพิกัดมิติเวลา ข้านี่ฉลาดจริงๆ รู้ว่าการยัดร่างลูกเข้ามาแล้วกินอาหารเพื่อเสริมความแข็งแกร่งสักเล็กน้อย จะสามารถหาของเซ่นที่เพียงพอได้”
ลู่เซิ่งยื่นมือเข้ามาจากหลุมดำไปพลาง สะท้อนใจไปพลาง
ตอนแรกเขายังอยากจะกินอะไรอีกนิดหน่อยเป็นเครื่องเซ่น นึกไม่ถึงว่าจะเจอร่างแยกของจักรพรรดิมารก่อน
ลอยอยู่กลางมิติมหภาค เขาพยายามยัดแขนของร่างกายร่างนี้เข้าไปด้านในเท่าที่จะทำได้
เวลานี้ยิ่งยัดเข้ามาได้มากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น
“แต่ก็ไม่เป็นไร รอกินร่างแยกจักรพรรดิมารร่างนี้หมด น่าจะใช้เป็นเครื่องเซ่นเปิดทางเชื่อมที่ใหญ่กว่าเดิมได้”
มุดอยู่นานจนเขามุดต่อไปไม่ไหวจริงๆ จึงตั้งฝ่ามือเป็นดาบ ก่อนจะฟันลงด้านล่างอย่างหนักหน่วง
ฟ้าว!
ส่วนเล็กๆ ของร่างหลักเขารวมถึงแขนสิบกว่าข้างถูกฟันดขาด จากนั้นก็แย่งกันเบียดเข้ามาในหลุมดำ
“ไปเลย แขนของข้า!”
ในที่สุดหลุมดำก็ต้านทานการเข้ามาของพลังงานมหาศาลนี้ไม่ไหว เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อาจพังทลายได้ตลอดเวลา
ลู่เซิ่งถอยหลังก้าวหนึ่ง แขนและร่างที่เพิ่งถูกฟันงอกออกมา คืนสู่สภาพเดิมในทันทีที
“ไปเถอะ จงไปสร้างดินแดนของข้า…”
เปรี้ยง!
หลุมดำแตกกระจายตามเสียง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
ณ ปฏิสุญญตา
มือยักษ์หนาแน่นตกร่วงลงมาจากท้องฟ้าอย่างรุนแรง
ตูมๆๆ!
แขนหลายข้างฟาดลงพื้น แผ่นดินสะเทือนภูเขาสั่นไหว การโคลงเคลงที่รุนแรงทำให้ร่างแยกจักรพรรดิมารกัลเลอร์โซเซ
ถ้าเป็นในยามปกติ เขาอาจปล่อยพลังงานออกมาสร้างความมั่นคงให้แก่ภูมิประเทศรอบๆ ได้ แต่เขาในตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว
แรงดึงดูดที่น่ากลัวและยิ่งใหญ่ซึ่งแขนข้างนั้นปล่อยออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ตรึงเขาไว้ที่เดิมจนขยับไม่ได้
“ไม่!” เสียงคำรามเสียงนี้เป็นร่องรอยสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้
ครืน!
มือยักษ์ประทับใส่ตำแหน่งที่กัลเลอร์อยู่อย่างรุนแรง จากนั้นก็แทงเข้าไปในผืนดินลึกเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ
แขนจำนวนมากในลักษณะเดียวกันที่อยู่รอบๆ พากันร่วงหล่นลงพื้น บ้างก็กองขวาง บ้างก็ตั้ง บ้างเอียง บ้างพลิกหงาย
แขนยักษ์หลายข้างฟาดพื้นดินอย่างต่อเนื่อง ทิ้งร่องรอยที่น่ากลัวราวหุบเหวเอาไว้
การสั่นสะเทือนและเสียงร่วงตกพื้นที่รุนแรงกระแทกมิติรอบๆ จนสั่นไหว
หมอกเทานับไม่ถ้วนและสัตว์มารโกลาหลที่ซ่อนตัวถูกคลื่นสั่นสะเทือนอันน่ากลัวฉีกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
สัตว์มารทั้งหมดแหลกสลายกลายเป็นหมอกเทา จากนั้นก็ถูกมือยักษ์หลายข้างเก็บ จากนั้นมือยักษ์จำนวนมากก็ค่อยๆ กลายเป็นทรายกระจัดกระจายไป
ทรายสีดำอมเทานับไม่ถ้วนเริงระบำทั่วฟ้า ม้วนเคลื่อนเวียนวนและเริ่มรวมตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นเสาหินยักษ์ที่เชื่อมฟ้าเชื่อมดินต้นหนึ่ง
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังสนั่น เสาหินระเบิด ลู่เซิ่งที่เพิ่งสร้างร่างขึ้นใหม่เดินออกมาจากด้านใน
เขาสวมเกราะสีดำ เขาสีดำโค้งงอหยาบใหญ่ข้างหนึ่งงอกบนศีรษะ ปลายเขายืดขยายไปถึงแผ่นหลัง คมกริบเป็นอย่างยิ่ง
“เริ่มกันเลย”
ลู่เซิ่งขยับตัวเบาๆ เหินร่างขึ้นสู่ท้องฟ้า
ชิ้นส่วนเสาหินนับไม่ถ้วนรวมตัวด้านหลังเขา กลายเป็นกงล้อหนามแหลมที่หมุนวนช้าๆ วงหนึ่ง
แสงพร่ามัวสีรุ้งกะพริบกลางกงล้อเป็นดวงๆ
กงล้อยักษ์ใหญ่กว่าตัวเขาหลายเท่าตัว ปล่อยแรงกดดันบิดเบี้ยวที่โปร่งแสงไร้รูปร่างออกมาปกคลุมอาณาเขตหลายพันกิโลเมตรรอบๆ
หลังจากสร้างกงล้อหนามแหลมออกมา ลู่เซิ่งก็ไม่มองตำแหน่งที่กัลเลอร์อยู่อีก โน้มร่างพุ่งไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง
ร่างกายร่างนี้แข็งแกร่งกว่าร่างลูกเมื่อครู่หลายเท่าตัว เพราะรวมตัวจากร่างส่วนหนึ่งของร่างหลักของเขาอย่างแท้จริง
ระดับของร่างหลักของลู่เซิ่งในตอนนี้เป็นตัวตนน่ากลัวที่กลืนกินจักรวาลนับไม่ถ้วน และเป็นราชามารผู้กล้าแข็งที่สร้างความหวาดเกรงให้แก่สองทัพใหญ่ในสุญญตาหลัก
‘น่าเสียดาย…ถ้าเป็นจักรวาลในสุญญตาหลักด้านนอก เราสามารถเปลี่ยนมิติเวลาได้ด้วยความคิดเท่านั้น’
แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ลู่เซิ่งไม่รู้จักตัวแปรต่างๆ ของปฏิสุญญตา กฎเกณฑ์เองก็ไม่เข้าใจนัก จึงไม่สามารถเพิ่มพลังของตัวเองได้
ถ้าเปลี่ยนเป็นอาณาเขตที่อ่อนแอเล็กน้อย ยังสามารถฉีกกฎเกณฑ์เป็นชิ้นๆ ได้ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ มีความโกลาหลอันเป็นหนึ่งในสามกลไกใหญ่อยู่ด้วย ก็ไม่มีใครควบคุมทุกสิ่งได้
ขณะพุ่งฉิว ลู่เซิ่งปล่อยคลื่นพร่ามัวหลายกลุ่มออกมารอบตัว คลื่นพลังที่เหมือนคลื่นสั่นสะเทือนกระจายออกไปรอบๆ และทะลวงหมอกเทาชั้นแล้วชั้นเล่า
ไม่นาน กลุ่มสิ่งก่อสร้างสีเทาที่ทอดยาวเสียจนไม่ทราบว่ามีพื้นที่เท่าไหร่ก็ค่อยๆ ปรากฏด้านหน้า
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เหมือนช่องรังผึ้งกลุ่มใหญ่ บนหลังคามีปลายแหลมสีเทาที่ขยับขยุกขยิกเหมือนกับหนวดหลายเส้น
เหมือนกับสัมผัสได้ถึงการมาของเขา สัตว์ประหลาดหมอกเทาที่มีร่างกายไม่แน่นอนหลายตัวพากันบินออกมาจากในกลุ่มสิ่งก่อสร้าง
“ใครกัน!
“ผู้บุกรุก! ฆ่ามันซะ!”
“น่าสนใจ มีสิ่งที่กล้าบุกเผ่าพันธุ์มารโกลาหลของพวกเราด้วยหรือนี่”
มารโกลาหลและเทพมารโกลาหลราห์จำนวนแน่นขนัดค่อยๆ เผยร่างออกมาจากในสิ่งก่อสร้าง
เสียงหึ่งๆ และเสียงพูดคุยอันแผ่วเบาดังขึ้นเหมือนผึ้ง
ลู่เซิ่งเมินลูกกระจ๊อกพวกนี้ บินตรงดิ่งตัดผ่านสิ่งก่อสร้างสีเทากลุ่มใหญ่
ฟ้าวๆๆ!
เทพมารโกลาหลราห์บางส่วนปล่อยแสงรุ้งหลายสายออกมาหมายจะหยุดยั้งเขา แต่ต่างถูกคลื่นไร้รูปร่างที่เขาปล่อยออกมารอบตัวบิดเบี้ยว แม้แต่เข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้
“ลู่เซิ่ง!” เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้น ณ ใจกลางกลุ่มสิ่งก่อสร้าง
ไม่นานก็มีแสงเทาผืนหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ขวางทางลู่เซิ่งไว้
นั่นเป็นยักษ์สูงใหญ่ที่สวมเกราะสีดำ ติดผ้าคลุมดำ สวมหน้ากากสีเงินตนหนึ่ง
“บังอาจบุกเผ่าพันธุ์โกลาหลของข้า! การเลือกเผ่าพันธุ์มารจิตเป็นความผิดพลาดมหันต์ของเจ้า!”
หน้ากากจักรพรรดิโกลาหลส่องแสงสีเงิน
“จงเข้าสู่วังวนแห่งการหลับลึกเถอะ…” แสงสีเงินบนหน้ากากเขาหมุนวนด้วยความเร็วสูง ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เห็นเกิดความง่วงงุน รวมถึงเวียนศีรษะตาลาย
ลู่เซิ่งสัมผัสการรบกวนได้น้อยๆ คลื่นรอบตัวค่อยๆ อ่อนแอลง
ร่างกายของจักรพรรดิมารโกลาหลยิ่งมายิ่งใหญ่โต ยิ่งมายิ่งสูงเหมือนกับเป่าลม
เขาสามารถดูดซับพลังจากความง่วงของสิ่งมีชีวิตอื่นมายกระดับตัวเองไปถึงระดับที่ไร้ขีดจำกัดได้ชั่วขณะ
“การเข้ามาในเผ่าพันธุ์ของข้า คือความผิดพลาดใหญ่ของเจ้า!”
จักรพรรดิมารโกลาหลกางผ้าคลุม ด้านหลังผ้าคลุมคือช่องเหวลึกสีดำสนิท
เขาค่อยๆ เข้าใกล้ลู่เซิ่ง ผ้าคลุมด้านหลังปกคลุมลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
หมอกเทากลายเป็นสิ่งมีชีวิตเรียวยาวเหมือนงู แล้วโบยบินรอบตัวทั้งสอง
งูสีเทาจำนวนมากรัดพันลู่เซิ่งหลายทบเหมือนกับเชือก คล้ายกับต้องการรัดเขาให้ตาย
“หลับใหลในห้วงฝันเถอะ…จากนั้น ข้าจะใช้งานเจ้าเอง!”
จักรพรรดิมารโกลาหลที่สามหัวเราะลั่น
จักพรรรดิมารทุกตนปีนป่ายมาจากระดับล่างทีละก้าวๆ พวกเขามีความเชื่อมั่นในขอบเขตพลังของตัวเองอย่างเด็ดขาด
ลู่เซิ่งหลับตาลงช้าๆ จากนั้นผืนดินก็สั่นไหว ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน
“หรือเจ้าจะไม่รู้ว่าการหลับไหลเป็นเพียงหนึ่งในกฎเกณฑ์จักรวาลเท่านั้น” เขาถากถาง
“เจ้า!” จักพรรรดิมารโกลาหลที่สามงุนงง จากนั้นก็เห็นท่าไม่ดี คิดถอยหนี แต่สายไปเสียแล้ว
หงับ!
ปากใหญ่สีดำสนิทปรากฏขึ้นด้านหลังเขา แล้วกินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ปากใหญ่กินจักรพรรดิมารเสร็จ ก็พุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง พริบตาเดียวก็จางหายหลอมรวมเป็นหนึ่งกับตัวเขา
“ไปตายเสีย!”
จักรพรรดิมารโกลาหลอีกตนรวมตัวปรากฏขึ้น ณ ที่ไกลออกไป
“วิชาจิตชั่วร้าย…!” เขากางแขนออก ร่องแยกที่ส่องแสงสีรุ้งแผ่ขยายออกมาจากหน้าอกเขา
ดวงตาสีรุ้งแน่นขนัดที่มีจำนวนเหลือคณานับ ลืมขึ้นกลางมิติหมอกเทา ดวงตาหลายดวงเหมือนกับงอกขึ้นมากลางความว่างเปล่า จ้องมองลู่เซิ่งด้วยความชั่วร้าย
“จงกลายเป็นครรภ์ให้แก่เทพชั่วร้ายเถอะ!”
ฟ้าว!
แมลงตัวเล็กๆ สีเทาตัวหนึ่งบินออกมาจากม่านตาของดวงตาดวงหนึ่ง แล้วพุ่งใส่ลู่เซิ่ง ตามมาด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สี่…
แมลงสีเทาบินออกมาจากในดวงตานับไม่ถ้วน พลางพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง
“ดิ้นรนไปก็ไร้ความหมาย” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าไร้อารมณ์ กงล้อหนามแหลมด้านหลังหยุดลงช้าๆ
คลื่นไร้รูปร่างในความว่างเปล่ารอบๆ เคลื่อนที่เร็วขึ้นกว่าเดิม
ตูม! ตูมๆๆๆ!
พอแมลงสีเทาแน่นขนัดพุ่งเข้ามาในอาณาเขตหลายสิบเมตรรอบๆ ตัวเขา ก็สูญสลายไปเอง ราวกับถูกอะไรบางอย่างกิน
“แม้แต่วิชาจิตชั่วร้ายก็ป้องกันได้หรือนี่?” จักรพรรดิมารโกลาหลที่สามรู้สึกตึงมือกว่าเดิม
แม้จะเป็นจักรวาลทั้งจักรวาล เขาก็เคยใช้ท่านี้เป็นกาฝาก แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นตัวอ่อนรกของร่างแปลงตนเองมาแล้ว
แต่ว่าไอ้ตัวตรงหน้านี้…
เขาไม่ทราบถึงพลังที่แท้จริงของลู่เซิ่ง
เจ้านี่กินจักรวาลไปเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ แม้แต่หมอกเทาก็โดนมันกินไปส่วนเล็กๆ แม้ที่อยู่ตรงนี้จะไม่ใช่ร่างหลัก ทว่าก็มีพลังย่อยสลายที่กล้าแข็งและน่ากลัวถึงขีดสุดเช่นกัน
ลู่เซิ่งใช้พลังอาวรณ์พัฒนาวิชาของตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน โดยใช้ไปกับการส่งเสริมพลังย่อยสลายโดยสัญชาตญาณ วิชาของเขาจึงถึงขั้นที่ใช้พลังอาวรณ์ย่อยทุกอย่างได้โดยไม่รู้ตัว
แม้แต่จักรวาลก็สามารถกระจายเลือดเนื้อของตัวเองออกมา แล้วใช้ความเป็นอมตะและดีปบลูกินได้
ยิ่งอย่าว่าแต่สิ่งของเล็กๆ เหล่านี้
แมลงสีเทาตัวน้อยนับไม่ถ้วนถูกกินหายไปทันที
ลู่เซิ่งคร้านจะเสียเวลากับไอ้ตัวนี้อีก เทียบกับพวกผู้ดูแลแล้ว จักรพรรดิมารโกลาหลก็เป็นเพียงคำแทนที่ครอบครองพลังบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งเท่านั้น กินไปทีเดียวหลายตัวอาจทำให้ท้องผูก แต่ไม่เป็นปัญหาอะไร
“บอกวิธีเข้าสู่ชายขอบความโกลาหลมา แล้วข้าจะยกโทษให้เจ้าครั้งหนึ่ง” ลู่เซิ่งมองจักรพรรดิมารโกลาหลอย่างสงบ
“ชายขอบความโกลาหล เจ้าจะตามหาที่นั่นไปทำไม ที่นั่นคืออาณาเขตที่กินทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่หรือความว่างเปล่า แม้แต่นิยามก็ถูกบดขยี้กลายเป็นวัตถุผสมนับไม่ถ้วน แยกแยะประเภทไม่ได้อีก แม้เป็นพวกเรา เมื่อเข้าใกล้ก็จะถูกกลืน กลายเป็นส่วนหนึ่งของความโกลาหลเช่นกัน” จักรพรรดิมารที่สามเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
ขนาดการเคลื่อนย้ายท่าใหญ่สองครั้งท่ายังทำให้อีกฝ่ายขยับตัวไม่ได้ เขาจึงยอมแพ้แล้ว
“เจ้าแค่ต้องบอกวิธีเข้าไปก็พอ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“…ในเมื่อเจ้าหาที่ตายเอง ก็อย่าโทษข้าไม่เตือนก็แล้วกัน” จักรพรรดิมารโกลาหลลังเลเล็กน้อย “เจ้าจงบินไปยังสถานที่หนึ่ง ยิ่งจิตใจโกลาหลปั่นป่วนเท่าไหร่ ก็หมายความว่ายิ่งเข้าใกล้ชายขอบความโกลาหลมากเท่านั้น ถ้าเจ้าเหมือนกับเผ่าพันธุ์โกลาหลของพวกเรา กลับง่ายดายยิ่ง ขอแค่ผสมจิตวิญญาณกับร่างกายให้อยู่ในสภาพโกลาหล ก็จะเข้าใกล้ความโกลาหลได้อย่างรวดเร็ว แต่ร่างหลักเจ้าอยู่ในสภาพคงที่ตายตัว หากคิดจะเข้าใกล้ ก็ได้แต่ต้องใช้ทางอ้อม โดยทำให้จิตใจของตัวเองตกสู่ความปั่นป่วน”
“จิตใจตกสู่ความปั่นป่วนหรือ?” ลู่เซิ่งเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายคร่าวๆ แล้ว “แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้กำลังหลอกข้าอยู่”
“แล้วเจ้าอยากทำอะไรเล่า” จักรพรรดิมารถอยหลังอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องกลัว…ก็แค่อยาก…ชิมดูว่าร่างกายเจ้ามีรสชาติแบบไหนเท่านั้น…”
ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม กงล้อหนามแหลมด้านหลังหมุนด้วยความเร็วสูง เริ่มสร้างพายุหมอกเทาขึ้นในบริเวณรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง