ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 12 ซุ่มฝึกฝีมือ (2)
ลู่เซิ่งได้ยิน ตาเป็นประกาย
เขาหาคัมภีร์ลับวรยุทธ์ที่สมบูรณ์ร้ายกาจอันใดไม่เจอ ในเมื่อหาของดีไม่เจอ อาจพยายามใช้ปริมาณชดเชยคุณภาพได้
ถึงอย่างไรก็มีเครื่องมือปรับเปลี่ยน ความเร็วในการฝึกฝนวรยุทธ์ของเขาน่าตระหนกสุดเปรียบปาน วิชาหนึ่งแค่แวบเดียวก็ฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว
การฝึกฝนความสามารถหลากหลายเช่นนี้สมควรมีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้
โลกใบนี้ภูตผีปีศาจล้วนอาจโผล่มา ถ้าไม่ไขว่คว้าเวลาและโอกาสเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว รอจนเจอวิกฤติการณ์จริงๆ เช่นนั้นจะเอาอะไรมาป้องกันตนเอง
คิดถึงตรงนี้ลู่เซิ่งดวงตาเป็นประกาย
เขาทราบความหมายของลุงจ้าว
ในเมืองเก้าประสานมีผู้เฒ่าที่ฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ไม่น้อย อย่างเช่นจางสวินหัวหน้ามือปราบใหญ่แห่งที่ทำการก่อนหน้า ฝ่ามือทำลายใจ ร้ายกาจไม่ธรรมดา ตอนนี้อายุมากแล้ว ทั้งไร้บุตรธิดา ไม่มีคนรับสืบทอด
ทรัพย์สมบัติที่เขาเก็บไว้ก็มีไม่มาก ใช้ชีวิตอัตคัดขัดสน ชักหน้าไม่ถึงหลัง มักให้เหล่าสหายเก่าอย่างลุงจ้าวช่วยเหลือ
ถ้าหากใช้ทรัพย์สมบัติกับน้ำใจไปผูกความสัมพันธ์ คิดว่าสามารถได้การสืบทอด วิชาฝ่ามือทำลายใจ จากเขาอย่างง่ายดายยิ่ง
พึงทราบว่าตอนจางสวินยังหนุ่ม ได้ฉายาว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองเก้าประสาน
ภายหลังแก่แล้ว จึงถูกคนหลายคนตามทัน เขาอายุมากกว่าลุงจ้าว ปีนี้แปดสิบหกปี ขาไม่ค่อยดีแล้ว
รอจนพวกลุงจ้าวมีชื่อเสียงส่วนหนึ่ง เขาก็หลบ ถอยออกไป มาหลายปีแล้ว
อดีตยอดฝีมือเช่นนี้ ในเมืองเก้าประสานมีไม่น้อย
ลู่เซิ่งกระตือรือร้นขึ้น ถ้าเขาล้วนได้ร่ำเรียนวิชาจากคนเหล่านี้ หากสั่งสมมากเข้า ต่อให้เป็นวรยุทธ์อันดับสามฝึกถึงระดับสูงสุดได้ ก็ร้ายกาจถึงขีดสุด
“เป็นอย่างไร คุณชายใหญ่ถ้าท่านมีความต้องการ ข้าสามารถติดต่อสหายเก่าที่เงื่อนไขเหมาะสมหลายคนให้ท่านได้”
ลุงจ้าวคงจะเพื่อช่วยดูแลสหายเก่า บางทีมิอาจทนดูความสามารถของสหายเก่าตกต่ำเมื่อวัยชราจนชีวิตลำเค็ญ
ลู่เซิ่งคิดอย่างละเอียด
“ลุงจ้าวพูดถูกที่สุด เพียงไม่ทราบว่าท่านสามารถติดต่อมือดีคนไหนได้บ้าง”
“ท่านอย่าสนใจว่าเป็นมือดีคนไหน โลภมากมิอาจเคี้ยวละเอียด ฝ่ามือทำลายใจ แปดสิบสี่ดาบนางแอ่นถลาลม ล้วนเป็นสิ่งที่ข้ารับประกันให้ท่านได้
“สหายเก่าสองคนของข้านี้ ทายาทถูกคู่แค้นทำร้ายไป ตอนนี้ไร้ที่พึ่งพา ใช้ชีวิตลำบาก มีความคิดหาศิษย์สืบทอดมานานแล้ว
“เพียงแต่จนบุ๋นรวยบู๊ เรื่องอย่างการฝึกวรยุทธ์หากไม่มีการหล่อเลี้ยงที่มากพอ ต่อให้ลำบากฝึกฝนก็เป็นการลดอายุขัย พวกเขาไม่อาจทำร้ายลูกศิษย์ ถ่ายทอดออกไป”
ลุงจ้าวทอดถอนใจ
“พอดีข้าเห็นหนูเซิ่งท่านพรสวรรค์ไม่สามัญ คุณสมบัติเกินคน แม้พวกเราเอาวรยุทธ์ระดับหนึ่งของสำนักพรรคใหญ่มาไม่ได้ แต่ว่าความสามารถสองอย่างนี้ถ้าท่านฝึกจนเก่งกาจ ก็เป็นทักษะวิชาที่สุดยอดได้เช่นกัน
ทั้งบรรลุความต้องการของหนูเซิ่งท่าน ทั้งดูแลเหล่าสหายได้ เรื่องนี้ดีทั้งคู่”
ลู่เซิ่งเห็นเขาเปิดเผยความคิด สีหน้าจึงจริงจังขึ้น
“ในเมื่อลุงจ้าวรับประกัน เช่นนั้นผู้อาวุโสสองท่านก็เป็นอาจารย์ของผู้เยาว์ ทุกเดือนทางจวนจะให้แท่งเงินยี่สิบตำลึงกับพวกเขา เป็นค่าครู”
ลุงจ้าวได้ยิน อดยิ้มออกมาไม่ได้
“หนูเซิ่งเป็นใจบุญสุนทานแท้…”
ความจริงเจ้าของที่สร้างสำนักฝึกยุทธ์ หากต้องการถ่ายทอดทักษะ ความสามารถและพรสวรรค์ที่แท้จริง ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสิบตำลึงก็มากพอแล้ว
แต่ลู่เซิ่งให้คนละยี่สิบตำลึง นี่ให้เกียรติเขาจ้าวต้าหู่แล้ว
หากพูดออกไป จ้าวต้าหู่จะมีหน้ามีตาในวงการและต่อหน้าสหายเก่าจำนวนมาก
“เช่นนั้นหนูเซิ่งฝึกต่อก่อน ข้าจะไปส่งข่าวให้แก่เหล่าสหาย”
ในเมื่อเรื่องราวตกลงกันแล้ว ลุงจ้าวก็ทนรอไม่ไหวอยู่บ้าง ต้องรีบไปหาจางสวินแจ้งเรื่องยินดีให้ทราบ
จางสวินก่อนหน้านี้ไม่นานต้องลมหนาว ชายฉกรรจ์ที่เดิมทีทรหด เป็นเพราะตอนหนุ่มแน่นอาการบาดเจ็บซ่อนเร้นมากเกินไป ไม่รู้จักดูแลรักษา ตอนนี้เลือดลมเหือดแห้ง ไม่มีเงินบำรุง
ยารักษาโรคก่อนหน้านี้ยังเป็นเขาที่สำรองจ่ายให้
ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ เขาก็คงไม่คิดแนะนำอาจารย์ให้ลู่เซิ่ง
เพราะ…ทนเห็นสหายสนิทตกต่ำอย่างน่าอนาถเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ
“ลุงจ้าวตามสบาย”
ลู่เซิ่งถือดาบประสานมือ
ใช้สายตาส่งลุงจ้าวจากไปแล้ว ลู่เซิ่งยืนอยู่บนลานฝึกคนเดียว
ยกดาบยาวขึ้นฝึกวิชาดาบพยัคฆ์ดำหนึ่งชุด
พยัคฆ์สังหาร บารมีพยัคฆ์ และพยัคฆ์คำราม สามกระบวนท่าพอวิเคราะห์แล้ว เป็นวิชาดาบผสมผสานสามชุดที่มีสิบกว่ากระบวนท่า
สามกระบวนท่าใหญ่ถึงแม้ล้วนเป็นการแยกใช้กระบวนท่าเดี่ยวๆ แต่ความจริงทุกกระบวนท่าล้วนครอบคลุมกระบวนดาบเดี่ยวไม่น้อย
อย่างเช่นท่าพยัคฆ์สังหาร แบ่งเป็นกระบวนดาบที่รับมือด้านหน้า กระบวนดาบที่รับมือด้านหลัง รวมถึงกระบวนดาบที่รับมือซ้ายขวา ยังมีการรับมืออาวุธลับที่ลอบจู่โจม รับมืออาวุธประเภทด้ามยาว รับมืออาวุธหนัก…
การเปลี่ยนแปลงมีมากมาย
มิใช่มีแค่หนึ่งกระบวนท่าก็ฝึกฝนได้
ขณะที่กำลังฝึกดาบ อยู่ๆ ข้างลานฝึกก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งมา ยืนอยู่ด้านข้างรอให้เขาฝึกจบ คล้ายมีวาจาคิดกล่าว
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
เก็บดาบยืนนิ่งอย่างรวดเร็ว มองไปยังเด็กรับใช้คนนั้น
“เรื่องอันใด”
“เรียนคุณชายใหญ่ ด้านนอกมีรถม้ามาสองคัน คุณหนูคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าแม่นางตวนมู่บอกว่านัดกับคุณชายใหญ่ไว้ มาเยี่ยมเยือน”
เด็กรับใช้ตอบอย่างนอบน้อม
‘ตวนมู่…ตวนมู่หว่านมาแล้ว…’
ลู่เซิ่งจิตใจตึงเครียด
พอเขาได้วิชาทมิฬพิฆาตมา ก็ฝึกฝนโดยตลอด จนถึงตอนนี้ยังไม่ถึงระดับเบื้องต้น
นี่ทำให้จิตใจเขามีความสงสัยอยู่บ้างว่าวิชากำลังภายในนี้เป็นของจริงหรือไม่ ตวนมู่หว่านผู้นี้ก่อนหน้าเคยพูดว่า นางสามารถหาคัมภีร์ลับกำลังภายใน ไม่ทราบว่าเป็นจริงหรือลวง
‘ช่างเถอะ เจอกันก่อนค่อยว่ากล่าว’
ถึงแม้อีกฝ่ายเป็นตัวละครที่ร้ายกาจ แต่เขาก็ไม่ใช่คุณชายในเมืองที่ไม่เคยเห็นโลกเหล่านั้น คิดจะล่อลวงให้เขากระทำผิด แค่กระบวนท่าระดับก่อนหน้านั้น หรือความสามารถที่ยอดเยี่ยมกว่านี้ก็ไม่สำเร็จ
“เชิญนางไปห้องรับแขกก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะไป”
“ขอรับ”
เด็กรับใช้จากไปแล้ว
ลู่เซิ่งให้หญิงรับใช้เติมมาน้ำกะละมังหนึ่ง เช็ดเหงื่อบนร่าง เปลี่ยนเป็นชุดยาวสีขาว มุ่งหน้าไปยังโถงรับแขก
ข้ามลานฝึก เดินผ่านสวนดอกไม้ จากนั้นเดินทะลุระเบียงเส้นหนึ่ง ก็ถึงโถงรับแขกที่เอาไว้ต้อนรับแขกโดยเฉพาะ
ประตูห้องรับแขกเปิดอ้าออก ขวามือด้านในนั่งด้วยสตรีสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงนางหนึ่ง นางมีใบหน้างามพริ้ง ผิวขาวเหมือนหิมะ สวมต่างหูจันทร์เสี้ยวที่ทำจากมุก บุคลิกเรียบร้อยสง่างาม
เป็นตวนมู่หว่านที่เคยเห็นครั้งก่อน
ในโถงรับแขกยังมีน้องสามของลู่เซิ่ง ลู่เฉินซิน กำลังสร้างความใกล้ชิดกับตวนมู่หว่านอย่างกระตือรือร้น
ลู่เฉินซินส่งสายตาที่แสดงความรู้สึกขณะจับจ้องมองทรวงอกของตวนมู่หว่าน ทรวงอกสีขาวตรงนั้นเผยร่องลึกสายหนึ่งเลือนราง แทบดึงดูดดวงตาของเขาเข้าไปจนละสายตาไม่ได้
แค่กๆ
ลู่เซิ่งกระแอมเบาๆ สองคำ
ทั้งสองคนพลันรู้สึกตัว พากันหันหน้ามามองเขา
“พี่ใหญ่…”
ลู่เฉินซินหน้าแดง ลุกขึ้นอย่างลำบากใจอยู่บ้าง
“ในเมื่อพี่ใหญ่ท่านมาแล้ว…คุณหนูตวนมู่ท่านนี้ตั้งใจมาหาท่าน…”
เขาพูดจาติดอ่างอยู่บ้าง
“น้องสาม เจ้าไปเรียกห้องครัวส่งน้ำบ๊วยมาหน่อย ทางนี้ข้าต้อนรับเอง”
ในตระกูล ลู่เซิ่งค่อนข้างมีไหวพริบ เคยเจอเรื่องราวไม่น้อย เขาเองก็แสดงออกอย่างมีความรับผิดชอบ พี่น้องทั้งหมดจึงเชื่อฟัง
ไม่ได้เหลาะแหละเหมือนคุณชายรุ่นเดียวกันเหล่านั้น
เขามีน้องชายน้องสาวแท้ๆ สองคน น้องรองลู่ชิงชิง เดินทางไปฝึกฝนวรยุทธ์ยังไม่กลับ น้องสามยังทนอ่านตำราปราชญ์บัณฑิตในบ้าน วางแผนว่าวันหน้าจะไปสอบสร้างชื่อเสียง
ส่วนเขาลู่เซิ่งก่อนหน้านี้ควบคุมดูแลธุรกิจส่วนหนึ่งในตระกูล ความสามารถที่แสดงออกมาทำให้ลู่เฉวียนอันแน่ใจว่าคนที่จะสืบทอดธุรกิจก็คือเขา
เป็นเพราะว่า ลู่เซิ่งในอนาคตจะต้องควบคุมดูแลอำนาจการเงินในตระกูล ดังนั้นทั้งน้องชายน้องสาวทั้งสองคนและยังมีทุกคนในตระกูล หวังจะให้เขาดูแลในอนาคต
ปกติแล้วทุกคนล้วนปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพยำเกรง
“หนูเซิ่ง ข้าพอดีเอาน้ำบ๊วยมาให้แล้ว มอบให้พวกท่านก่อนเถอะ แช่น้ำแข็งมาแล้ว รสชาติดีมาก”
ด้านนอกโถงรับแขก มารดาห้าเดินยิ้มเข้ามา ในมือประคองน้ำบ๊วยไว้ถ้วยหนึ่ง
มารดาห้าเป็นภรรยาคนที่ห้า ซึ่งลู่เฉวียนอันประมุขตระกูลแต่งเข้ามา มิใช่ภรรยาหลวงหากเป็นอนุภรรยา
แตกต่างกับอนุภรรยาสามคนก่อนหน้า มารดาห้ายังให้กำเนิด ลู่อิ๋งอิ๋ง ลูกพี่ลูกน้องของเขา ภายหลังรอนายผู้เฒ่าลู่เฉวียนอันจากไปแล้ว ต่างหวังว่าลู่เซิ่งจะดูแล
ดังนั้นต่อให้นางเป็นมารดาห้าของลู่เซิ่งแต่เพียงในนาม แต่ว่าหลายๆ ครั้งนางกับลู่อิ๋งอิ๋งก็เอาใจลู่เซิ่งเช่นกัน
หากว่าลู่เฉวียนอันจากไป ลู่เซิ่งก็ไม่มีหน้าที่เลี้ยงพวกนางที่เป็นสตรีสองคน เพื่อภายหลังจะได้ไม่ถูกขับออกจากประตูบ้าน การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประมุขตระกูลในอนาคตอย่างลู่เซิ่งเป็นสิ่งจำเป็น
“มารดาห้าท่านเกรงใจไปแล้ว” ลู่เซิ่งรีบรับน้ำบ๊วยมาวางลง “ที่นี่ให้ข้าต้อนรับก็พอ ท่านกลับไปก่อนเถอะ”
“เจ้าค่ะๆๆ หนูเซิ่งท่านต้อนรับแขกก่อน” มารดาห้ารีบจากไปด้วยรอยยิ้ม
ก่อนไปยังจับจ้องตวนมู่หว่านอย่างอิจฉา ปีนี้นางอายุสามสิบกว่าๆ แล้ว ถึงแม้จะบำรุงดูแลอย่างดี งดงามเกินใคร แต่ว่าเทียบกับตวนมู่หว่านกลับแตกต่างไม่น้อย
“ข้าไปก่อนเช่นกัน”
ลู่เฉินซินรีบฉวยโอกาสจากไป
ไม่ทันไรในโถงรับแขกก็มีแค่ลู่เซิ่งกับตวนมู่หว่านเพียงสองคน
“คุณชายยังต้องการคัมภีร์ลับหรือไม่”
ตวนมู่หว่านเห็นรอบๆ ไม่มีคน ก็ยิ้มอ่อนช้อยพร้อมกระซิบเบาๆ
“คุณหนูตวนมู่ร้ายกาจจริงๆ ข้าปิดบังสถานะรูปโฉม ท่านยังมาหาได้”
ลู่เซิ่งยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“คุณชายลู่กล่าวล้อเล่นแล้ว ทั่วทั้งเมืองเก้าประสาน คุณชายที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับนายน้อยเจิ้งเสี่ยนกุ้ยแห่งตระกูลเจิ้ง และมีทรัพย์สมบัติเป็นหมื่นก้วน เพียงเทียบขนาดร่างกาย จะหาตัวคุณชายไม่นับเป็นเรื่องยาก”
ตวนมู่หว่านเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“นั่นสำหรับคุณหนูตวนมู่ล้วนไม่ยาก เอาล่ะไม่ต้องกล่าววาจาไร้สาระแล้ว ไม่ทราบว่าคุณหนูตวนมู่ครั้งนี้เอาคัมภีร์ลับอันใดมาให้ผู้แซ่ลู่ ขอกล่าวก่อนสักประโยค ที่ผู้แซ่ลู่ต้องการล้วนเป็นวิชากำลังภายใน”
ลู่เซิ่งพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า น้ำเสียงราบเรียบมั่นคง ไม่ได้สูญเสียความสงบเพราะสถานะถูกเปิดเผย
“ย่อมเป็นวิชากำลังภายใน”
ตวนมู่หว่านยื่นมือเรียวออกมา หยิบสมุดเล่มเล็กสามเล่มออกมาจากในแขนเสื้อ วางบนโต๊ะน้ำชาอย่างแผ่วเบา
สมุดเล่มเล็กสีเขียวอ่อนสามเล่มล้วนใช้ด้ายเย็บไว้ บนปกเขียนอักษะขนาดใหญ่ไว้อย่างชัดเจน
‘เคล็ดวิชาสนหนึ่งสำนึก’ ‘วิชากระเรียนหยก’ ‘วิชาโน้มนำหยินหยาง’
ลู่เซิ่งกวาดมอง สีหน้ายังคงเรียบเฉย
“คุณหนูตวนมู่กลับมีความสามารถยอดเยี่ยม เพียงแต่คัมภีร์เหล่านี้ จริงหรือปลอมสมควรตรวจสอบอย่างไร…”
“นี่ง่ายดายยิ่ง”
ตวนมู่หว่านหัวเราะเบาๆ
“วิชากำลังภายในสามวิชานี้ ล้วนเป็นวิชากำลังภายในที่เริ่มต้นง่ายดายที่สุด ฝึกฝนเพียงหนึ่งวันก็สามารถเกิดความรู้สึกถึงปราณ สามวิชานี้ล้วนเป็นประเภทที่เริ่มต้นง่ายดาย สำเร็จยากเย็น จริงหรือปลอมทราบได้ง่าย”
นางเปลี่ยนเรื่อง กล่าวอีกว่า
“ส่วนจะมีจุดผิดพลาดปรับแก้หรือไม่ นี่ขึ้นอยู่กับว่าคุณชายเชื่อหว่านเอ๋อร์หรือไม่แล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นคัมภีร์ลับของจริง วางอยู่ด้านหน้าคุณชาย เกรงว่าจะถูกเคลือบแคลงอยู่ดี”
“แม่นางหว่านเอ๋อร์กล่าวไม่ผิด” ลู่เซิ่งในใจยินดี ถ้าหากว่าเป็นตามที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ คัมภีร์ลับทั้งสามเล่มเริ่มต้นง่ายสุด สามวิชานี้เหมาะกับเขายิ่งกว่าวิชาทมิฬพิฆาตเสียอีก
……………………………………….