ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1200 ปนเปื้อน (2)
ซู่…
หมอกเทาเหลือคณานับม้วนพัดสิ่งก่อสร้างและมารโกลาหลบนพื้นขึ้นมา ทุกสิ่งหดเล็กแล็กลงเหมือนมด แล้วลอยเข้าไปในแสงรุ้งกลางวงล้อ
จักรพรรดิมารโกลาหลเพียงแค่ทนได้นานกว่าสัตว์มารโกลาหลตนอื่นสักพัก ค่อยถูกหดร่างแล้วกลืนกินเข้าไปวงล้อด้านหลังลู่เซิ่งช่นกัน
ผิวของวงล้อหนามแหลมกลางอากาศส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปสักพักหนึ่งก็แข็งแกร่งขึ้นและแวววาวราวกับเพชร ทั้งยังกะพริบแสงสีรุ้งจางๆ
ลู่เซิ่งหลับตาค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากในจิตวิญญาณของจักรพรรดิมารโกลาหลซึ่งเพิ่งกลืนกินไป
‘อือ…ไม่ได้หลอกเราจริงๆ เหรอเนี่ย’ เขาลืมตาขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย สีรุ้งในดวงตากลายเป็นสีเทาอันสับสน
การแปลงเป็นจิตโกลาหลไม่ได้ยากสำหรับเขาที่ครอบครองวิชาจิตโน้มนำระดับสูงสุด
“เปิด!” เขาฉีกมือออกไปสองข้าง มิติด้านหน้าพลันถูกฉีก เผยให้เป็นรอยร่องแยกแคบยาวซึ่งกะพริบแสงสีรุ้ง
ลู่เซิ่งกระโดดเข้าไปในรอยร่องแยกอย่างไร้ความลังเล แล้วหายไปในพริบตา
รอยร่องแยกสมานตัวอย่างรวดเร็ว รอบๆ กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็คือ เผ่าพันธ์ความโกลาหลที่สามที่เดิมอยู่ที่นี่หายไปตลอดกาล
ไม่นานนัก หมอกควันสีเทาที่ปะปนด้วยสีรุ้งหลายกลุ่มก็ตกลงจากฟ้า พากันหมุนวนบนท้องฟ้าของผืนดินแห่งนี้
“เผ่าพันธุ์ที่สามต้านทานได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหรือนี่!
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นเป็นผู้ลงมือ!”
“พลังแบบนี้ กำลังแบบนี้ เหนือกว่าข้อมูลที่ซีหนิงมอบให้พวกเราอีก...ยังจะสอดมืออยู่ไหม”
“…”
“ข้าขอเสนอ ให้พวกเราเผ่าโกลาหลล่าถอยออกจากการช่วงชิงครั้งนี้” มีจักพรรรดิมารโกลาหลตนหนึ่งกล่าวเสียงดัง
“ทุกสิ่งนี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่สามกระทำเป็นการส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา เดิมทีพวกเรามีข้อตกลงกับลู่เซิ่ง เพียงแค่ทำตามข้อตกลงต่อไปก็พอ”
จักรพรรดิมารตนอื่นเงียบเสียงสักพัก ก่อนพากันเห็นด้วย
พวกเขากลัวขึ้นมาแล้ว
เดิมทีพวกเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของพลังวารีเทาควรจะไม่ตายไม่ดับสูญ แม้จะอยู่ในสุญญตาหลัก นอกเสียจากกลไกสูงสุด พลังงานใดๆ ล้วนไม่สามารถย่อยสลายพลังวารีเทาได้
และพวกเขาที่หลอมรวมกับพลังวารีเทาโดยสมบูรณ์ก็ใช้คุณลักษณะเด่นนี้เป็นอมตะตลอดกาลได้
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ พวกเขาเจอสัตว์ประหลาดอย่างลู่เซิ่งเข้า
ยังไม่เอ่ยถึงว่าเดิมทีเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่หลอมรวมกับพลังหมอกเทาอยู่แล้ว แค่การดำรงอยู่ของดีปบลู และการอาศัยพลังอาวรณ์ที่แทบไร้สิ้นสุด เขาก็สามารถกลืนกินทุกสิ่งที่ตัวเ เองรู้จักเช่นสสารพลังงานให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวเองได้
ในฐานะผู้หลอมรวมกับพลังวารีเทาเช่นกัน สิ่งที่ใช้สู้กันความจริงเป็นความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ
ลู่เซิ่งเป็นมารสวรรค์ มีข้อได้เปรียบจากสภาพแวดล้อมในทางจิตวิญญาณ กอปรกับเขาใช้ดีปบลูพัฒนาจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันกล้าแข็งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ขอบเขตและระดับความแข็งแกร่ งของจิตใจจึงเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นๆ
แม้จะอยู่ในหมู่มารสวรรค์ด้วยกัน เขาก็เป็นการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวและแข็งแกร่งที่สุด
สุดท้ายยังใช้ดีปบลูกลืนกินจักรวาลไปนับไม่ถ้วน และเพื่อควบคุมพลังมหาศาลสายนี้ พลังจิตที่จำเป็นยิ่งอยู่เหนือจินตนาการ
แม้จิตวิญญาณของจักรพรรดิมารโกลาหลเผ่าพันธุ์ที่สามจะแข็งกล้าจนพอจะควบคุมจักรวาลระดับกลางแห่งหนึ่งได้ แต่เมื่อเผชิญกับลู่เซิ่ง ยังคงเหมือนทารกสู้กับผู้ใหญ่อยู่ดี
เขาจึงถูกกินอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
“เขาไปชายขอบความโกลาหลแล้ว นั่นเป็นอาณาเขตที่เราเอื้อมไม่ถึง”
“รอคอยผลลัพธ์เถอะ ถ้าเขารอดมาได้ สิบเจ็ดเผ่าพันธุ์ยกเขาเป็นผู้นำก็ยังได้”
จักรพรรดิมารโกลาหลแต่ละตนต่างนิ่งเงียบ
พวกเขาสะท้อนใจว่า จักพรรรดิมารโกลาหลที่สามยังไม่ทันได้ใช้ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดก็ถูกกำจัดทิ้งแล้ว
นี่ทำให้ปัจเจกที่เหลืออยู่อย่างพวกวเขาต่างก็ท้อแท้
…
ณ ชายขอบความโกลาหล
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นช้าๆ เขารู้สึกว่าตนสูญเสียพลังทั้งหมดที่มีอยู่ไป วงล้อหนามแหลมด้านหลัง พลังยิ่งใหญ่และปฐมพลังรอบๆ ตัว แม้แต่การเชื่อมต่อกับโลกรูปจิต ต่างก็ถูกพลังที่โ โกลาหลพร่ามัวตัดขาด
เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่ในกระเพาะขนาดมหึมา วัตถุบางอย่างรอบตัว แปดเปื้อนตัวจนเหนียวเหนอะ คิดจะกัดกร่อนและย่อยสลายเขา
เขาสัมผัสได้ว่าผิวของร่างกายกำลังถูกวัตถุนี้หลอมละลายด้วยความเร็วสูง ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนคุณสมบัติพลังไปมากขนาดไหน ก็ยังคงถูกวัตถุรอบๆ ละลายและแบ่งแยกอย่างต่อเนื่อง เหมือน หายเข้าไปในกลีบเมฆ
‘นี่คือความโกลาหลหรือ…’ ตาเขามองไม่เห็นสิ่งใด มีแต่ความมืดมิด
แต่ลู่เซิ่งรู้ว่านี่ไม่ใช่เพราะบริเวณรอบๆ ที่เขาเห็นเป็นความมืด หากดวงตาเขาสูญเสียความสามารถรับรู้ พูดอีกอย่างก็คือ เขาตาบอด
ที่นี่ไม่มีการดำรงอยู่ของแสง ดังนั้นดวงตาจึงไร้ประโยชน์
เขาสัมผัสแรงโน้มถ่วงไม่ได้ สัมผัสพื้นที่ไม่ได้ และสัมผัสเวลาไม่ได้ มีแค่วัตถุเหนียวๆ นับไม่ถ้วนกำลังย่อยสลายตัวเอง
‘สูญเสียพลังทั้งหมดไปหรือ อึดอัดจริงๆ…มิน่าแม้แต่จักรพรรดิดมารโกลาหลก็ยังไม่กล้าเข้ามาที่นี่…’ ลู่เซิ่งยังมีเวลาคิดเรื่อยเปื่อย
สัมผัสสิ่งใดไม่ได้สักอย่าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเปิดรอยร่องแยกกลับไปอย่างไร เพราะเขาไม่รู้ว่าทิศที่เขาเปิดถูกต้องหรือไม่
‘แค่ชายขอบความโกลาหลก็มีอานุภาพระดับนี้แล้ว ถ้าเป็นความโกลาหลอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าเพิ่งเข้าไปก็ถูกหลอมละลายหมดเลยหรอกนะ จะทำลายพลังแบบนี้ยังไงดี’ นี่ไม่เกี่ยวกับพลังแล้ว แต่เป็นแนวคิดบริสุทธิ์นิยาม
ความโกลาหลหมายถึงความโกลาหล ความพร่ามัว ความไร้ระเบียบ และการย่อยสลายทุกสิ่ง
ลู่เซิ่งไตร่ตรองใคร่ครวญอย่างหนัก ยังคงคิดมาตรการใดไม่ออก เขาทดลองกระตุ้นพลังในร่างเพื่อทำลายทางตันนี้ แต่ก็ล้มเหลวโดยไร้ข้อยกเว้น
สุดท้ายแม้แต่ความนึกคิดและจิตใจของเขาก็เริ่มพร่ามัว จนกระทั่งเสียสติสัมปชัญญะไปในที่สุด
‘หือ!’
ในสุญญาตาหลัก
ลู่เซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลุมดำของจักรวาลขนาดมหึมาลืมตาอย่างฉับพลัน
หลุมดำที่เขานั่งอยู่แทบจะรับคลื่นพลังที่กระจายออกมาในพริบตาที่เขาฟื้นสติไม่ไหว สนามแรงดึงดูดรอบๆ ถูกฉีกทำลายอย่างเลือนราง ปรากฏลวดลายทรงสายฟ้าสีดำอมเทาหลายสาย
ความจริงหลุมดำไม่ใช่หลุมจริงๆ หากเป็นเทหะวัตถุหลายดวงที่ถูกแรงดึงดูดบีบอัดถึงขีดสุด
เพราะบีบอัดถึงขีดจำกัด หลุมดำจึงอยู่ในปมตำแหน่งที่เชื่อมต่อกับปฏิสุญญตาได้ง่ายที่สุด
“ล้มเหลวหรือนี่” ลู่เซิ่งยื่นมือออกมา บนฝ่ามือที่เดิมขาวบริสุทธิ์เหมือนหยก มีเส้นสีรุ้งหลายสายกำลังไต่อยู่ใต้ผิวเหมือนแมลง
‘นี่คือพลังความโกลาหลที่ว่ากันหรือ ถึงกับใช้การเชื่อมต่อระหว่างเราและร่างแปลงสะกดรอยมาถึงร่างหลักได้’
ลู่เซิ่งเคร่งเครียด เขาสัมผัสได้ว่าสสารพลังงานนับไม่ถ้วนในร่างตัวเองกำลังถูกเส้นงแสงสีรุ้งนี้เขมือบด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
ไม่ว่าเขาจะควบคุมอย่างไร ก็ไม่สามารถถ่วงเวลาการเขมือบนี้ได้ เขาทดลองใช้การถอดวิญญาณออกจากจะร่างมาแยกออกดู
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ในขณะที่เส้นสีรุ้งเส้นนี้เขมือบอยู่ เขากลับแบ่งพลังออกมาไม่ได้สักส่วนเดียว
ร่างกายเหมือนโดนตรึงไว้ในสภาพนี้
‘เกรี้ยวกราดขนาดนี้เชียว ดูจากความเร็วนี้ ไม่เกินหนึ่งเดิน เราจะโดนสิ่งนี้ดูดซับกลืนกินจนหมด…’
ความรู้สึกถึงวิกฤตการณ์ที่ไม่ได้เจอมานานสร้างความตึงเครียดให้แก่ลู่เซิ่งอีกครั้ง
เขานึกไม่ถึงว่าแค่ส่งร่างแปลงเข้าไป จะถูกสาวมาถึงร่างหลักได้ อีกทั้งอานุภาพยังมหัศจรรย์วิปริตขนาดนี้อีก
พึงทราบว่า ถ้าไม่มีสามกลไกสูงสุด เขาก็เป็นการดำรงอยู่สุดแข็งแกร่งในบรรดาปัจเจกที่รู้จักทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นราชาโลกวิญญาณ หรือพวกผู้นำของสหพันธ์การดำรงอยู่ ต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
แม้แต่ผู้ดูแลในปฏิสุญญตา เขาก็ไม่คิดว่าตนในตอนนี้จะแพ้
ทว่าตอนนี้…แค่กลิ่นอายความโกลาหลไม่กี่สาย…
‘สมกับเป็นหนึ่งในสามกลไกสูงสุด…’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกๆ วิชานับไม่ถ้วนไหลผ่านสมอง แต่ไม่มีวิชาใดที่สัมผัสกับระดับของกลไกสูงสุดนี้ได้ แม้ขอบเขตของวิชาทั้งหมดจะสูงเท่าไหร่ก็ ล้วนไร้ความหมาย
สามกลไกสูงสุดเป็นตัวแทนสภาพสามชนิดที่เป็นขีดสุด
การดำรงอยู่ ความว่างเปล่าการไม่ดำรงอยู่ และสภาพพร่ามัวโกลาหลที่ผสมผสานกันระหว่างสองอย่าง นี่คือขีดสุดของพลังเหล่านี้
แต่ว่าลู่เซิ่งไม่ลนลาน ในเมื่อสามกลไกใหญ่รักษาสมดุลได้ อย่างนั้นอนุภาคนิรันดร์และตราสูญสลายจะต้องมีความสามารถสะกดกลิ่นอายความโกลาหลแน่
‘ฉวยจังหวะนี้ไปศึกษาอนุภาคนิรันดร์และตราสูญสลายดู น่าจะได้อะไรมาบ้าง…’
กำหนดแผนการเสร็จ ลู่เซิ่งก็ขยับตัวเบาๆ ร่างกายหายไปในพริบตา
…
สถานที่ที่อนุภาคนิรันดร์ดำรงอยู่คืออาณาเขตพิเศษที่มีชื่อว่าวงแหวนไม่ดับสูญ
ลู่เซิ่งจับตัวผู้ปกครองจักรวาลของสหพันธ์การดำรงอยู่สองสามคนมาสะกดจิตไต่ส่วน ไม่นานก็ทราบตำแหน่งของวงแหวนไม่ดับสูญ
ไม่มีใครอยู่เฝ้าวงแหวนไม่ดับสูญ ในฐานะอาณาเขตชายขอบของสามกลไกใหญ่ หากเข้าใกล้ที่นั่นเมื่อไหร่ ก็จะเกิดอันตรายถึงชีวิตทันที เป็นแดนต้องห้ามอันเด็ดขาด
แม้จะเอาจิตวิญญาณเข้าใกล้ ก็จะถูกกระชากเข้าไป แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันตลอดกาล
ในฐานะหนึ่งในแดนต้องห้ามที่อันตรายที่สุดในสุญญตาหลัก วงแหวนไม่ดับสูญงไม่ได้อยู่ด้านในธารมารดา แต่อยู่ที่รากของธารมารดา
ลู่เซิ่งว่ายตามธารมารดาไปยังส่วนล่างก้น ขนาดร่างของเขาในเวลานี้ เมื่อเร่งความเร็วสูงสุด จะฉีกมิติมหภาคให้แยกออกได้ ใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็ไปถึงส่วนล่างก้นของธารมารดา
ธารมารดาขนาดมโหฬารเติบโตคดเคี้ยวเหมือนกับเถาวัลย์สีรุ้ง แต่ส่วนรากของมันหยั่งเข้าไปด้านในวงกลมแข็งๆ สีขาวบริสุทธิ์วงหนึ่ง
เมื่อลู่เซิ่งไปถึง ก็เห็นวงกลมมาตรฐานที่เหมือนกับก้อนหิมะขนาดยักษ์
ด้านบนด้านล่างมีเถาธารมารดาสองเส้นยืดออกมา รอบๆ คือสิ่งของสีทองเข้มรูปร่างเหมือนพายุหลายกลุ่ม
พายุสีทองเข้มพวกนี้หมุนวนอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อกับรอบๆ วงกลม เพียงแต่มันหมุนอย่างเชื่องช้าอืดอาดมาก
ลู่เซิ่งลอยอยู่ด้านนอกวงกลมขาว พิจารณาวงกลมยักษ์ที่ใหญ่มหึมาด้านหน้าอย่างละเอียด
พึงทราบว่าในมิติมหาภาค แม้แต่จักรวาลที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดไม่เกินอ่างอาบน้ำ แต่วงกลมตรงหน้ากลับใหญ่เท่าดวงดาว
‘แค่ยืนอยู่ตรงนี้ กลิ่นอายความโกลาหลบนตัวเราก็ได้รับการสะกดแล้ว…’
ลู่เซิ่งยกมือขวาขึ้น เส้นสีรุ้งใจกลางฝ่ามือใหญ่กว่าเดิมไม่น้อย มีขนาดเท่ากับนิ้วแล้ว
แต่เวลานี้เส้นสีรุ้งเส้นนี้ขยับตัวเชื่องช้า เหมือนได้รับผลกระทบจากวงแหวนไม่ดับสูญที่อยู่ใกล้แค่คืบ
‘ดูเหมือนความคิดของเราจะถูกต้อง’ ลู่เซิ่งกำหมัด จากนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป พุ่งตัวลงด้านล่าง
เขาเข้าใจดีว่า ถ้าไม่ยืนอยู่บนตำแหน่งที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างนั้นการเร้นกายาก็จะเป็นเพียงเรื่องขบขัน สหพันธ์การดำรงอยู่มีวิธีใช้อนุภาคนิรันดร์ ส่วนขุมกำลังความว่างเปล่าก็มี วิธีใช้ตราสูญสลาย ยังมีเหล่าผู้ดูแลความโกลาหลในปฏิสุญญตาที่สามารถกระตุ้นพลังความโกลาหลได้อีก
ทั้งสามฝ่ายต่างก็ตามหาเขาจนเจอแล้วบดขยี้เขาจนสิ้นซากได้
ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร เมื่อเดินมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่มีทางถอยอีกแล้ว
ตูม!
เขาชนใส่ผิววงกลมสีขาว
จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกกลบหายเข้าไปด้านในเหมือนแมลงที่ตกลงไปในโคลนสีขาว