ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1201 ปลดปล่อย (1)
ณ โลกที่สงบสุข
ภูเขาที่อยู่ไกลออกไป สายน้ำบนพื้น นกยักษ์ที่บินผ่าน พุ่มหญ้าที่ส่ายไหว ทุกอย่างเหมือนกับเขาเขียวน้ำใสตามเกณฑ์มาตรฐาน ไม่มีสิ่งใดขัดแย้งกัน
ลู่เซิ่งลืมตาอย่างฉับพลัน ก่อนกวาดตามองทุ่งหญ้าเขียวขจีที่สงบสุขรอบๆ
ห่างออกไปด้านหน้าไม่ไกลมีชายชราสวมเสื้อคลุมสีเทา กำลังนั่งเก็บอะไรสักอย่างบนพื้น
ในป่าที่อยู่ไกลออกไป กระต่ายสีเทาตัวหนึ่งกระโดดไปมากระเด้ง พร้อมกับก้มหน้ากินหญ้าอ่อนบนพื้นเป็นระยะ
‘ที่นี่คือวงแหวนไม่ดับสูญหรือ’ เขางุนงง
โคลงหัวเล็กน้อย ลู่เซิ่งมองชายชราที่หันหลังให้เขา แล้วเดินเข้าไปหา จงใจใส่เตะใส่หญ้าเพื่อทำให้เกิดสร้างเสียง
ชายชราคนนั้นได้ยินเสียงจึงหันมา
“ท่าน...ลุง…ขอ...ถาม…ที่..นี่…คือ…ที่…ไหน...หรือ…” ลู่เซิ่งเอ่ยปากก็สัมผัสความผิดปกติได้ทันที
‘ที่…นี่…คือ…ขาว…ขาว…ขาว…’ ชายชราพยายามตอบ เพียงแต่คำสุดท้ายติดอยู่ในลำคอ ส่งเสียงออกมาไม่ได้
‘ช่างเถอะ ท่านอย่าพูดดีกว่า’ ลู่เซิ่งตบบ่าชายชราอย่างหมดคำพูด ไม่เอ่ยอะไรอีก
ในเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ เขาเจอกฎของโลกใบนนี้แล้ว
ทีนี่เป็นโลกที่ปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นเสียงที่ช้าถึงขีดสุด
ขณะมองดูชายชรากล่าวอย่างเชื่องช้าอืดอาด ลู่เซิ่งตัดสินใจรออีกสองนาทีเพื่อสื่อสารกับคนเป็นๆ เพียงคนเดียวคนนี้
เขาจำได้ว่าตนเพิ่งเข้ามาในวงแหวนไม่ดับสูญที่อยู่ตรงขอบของอนุภาคนิรันดร์ เหตุใดจู่ๆ จึงมายังโลกใบนี้
‘หรือว่า ที่นี่จะไม่ใช่วงแหวนไม่ดับสูญ’
เขาเกิดความสงสัย จากนั้นก็ยืนรอชายชราพูดจบอย่างอดทนอยู่ที่เดิม
ผ่านไปสิบนาที…
ลู่เซิ่งถอนใจ จากนั้นก็ตบไหล่ชายชราอีกครั้ง
‘ช่างเถอะ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว’
เขาหมุนตัวเดินไปที่อื่น
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้เขาก็คือ ชายชราคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม ยังคงพูดคำพูดที่พูดไม่หมด เหมือนไม่สังเกตว่าเขาผละมาแล้ว
เขาข้ามเนินหญ้า แล้วลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กนอกชายป่า
เดิมทีลู่เซิ่งคิดจะเหินร่างไป แต่ก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าที่นี่มีแรงหนืดรุนแรงมาก แม้แต่เขาก็บินไม่ได้ ได้แต่เดินทีละก้าวๆ
อาณาเขตผืนนี้ เดินเป็นระยะทางสั้นๆ เขาก็เห็นปลายทางแล้ว
นี่เป็นอาณาเขตรูปชามวงรี ด้านบนมีเยื่อบางๆ สีขาวปกคลุมเลียนแบบท้องฟ้า ส่วนสถานที่อื่นล้วนแต่มีหน้าตาเหมือนทุ่งนาป่าไม้
เหมือนกับขุดอาณาเขตผืนหนึ่งออกมาจากป่าเขาแล้วเอามาวางไว้ที่นี่
เขาตัดผ่านป่า ไม่นานก็มาถึงขอบแม่น้ำ
แม่น้ำกว้างเพียงสามเมตรกว่าๆ บนฝั่งมีคนสองคนกำลังตกปลา พวกเขาสวมเสื้อชาวนา แต่การที่มาอยู่ที่นี่ได้ ไม่ว่าอย่างไรลู่เซิ่งก็ไม่เชื่อว่าพวกเขาเป็นคนธรรมดา
เขากระเชาโดดขึ้นชายฝั่ง แล้วเดินเข้าหาคนทั้งสอง
เมื่อเข้าใกล้ ลู่เซิ่งค่อยหยุดฝีเท้าอย่างงงงวย
สองคนนี้นั่งเหม่ออยู่บนก้อนหินริมแม่น้ำ ไม่ขยับเขยื้อน สองตามองตรงไปด้านหน้า ในเบ้าตาไม่มีลูกตา มีแต่รูสีดำทะมึน
เป็นศพสองศพที่ไม่รู้ว่าตายมานานขนาดไหนแล้ว
แต่เมื่อมองไกลๆ กลับเห็นผิวพรรณพวกเขาเหมือนปกติ ไม่มีร่องรอยเน่าเปื่อยใดๆ ทำให้ลู่เซิ่งเข้าใจผิดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่
ยืนอยู่ริมแม่น้ำ ลู่เซิ่งก้มหน้ามองน้ำ
เมื่อเขาเข้าใกล้ น้ำที่เดิมควรจะใสสะอาดกลับกลายเป็นแม่น้ำสีดำเหนียวหนืดที่เต็มไปด้วยขยะอย่างรวดเร็ว
แม่น้ำส่งกลิ่นเหม็น ด้วยสายตาของลู่เซิ่ง เขาเห็นว่าก้นแม่น้ำมีอะไรบางอย่างกำลังเรืองแสงสีเหลือง
เขานั่งลงแล้วยื่นมือไปแตะน้ำที่กำลังไหล ของเหลวสีดำอมเทาหนักอึ้งสุดบรรยาย ทว่าน้ำไม่กี่หยดที่เกาะผิวถึงกับไหลตกลงด้านล่างในทันทีที่ยกมือขึ้น เหมือนกับปรอท
‘ที่นี่มัน…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ลุกขึ้นยืน เขาบรยายความประหลาดของสถานที่แห่งนี้ได้ยาก
ทีนี่มีมนุษย์ พืช สัตว์
แต่เขารู้สึกเหมือนกับที่นี่ไร้ชีวิต ทุกอย่างเหมือนโปรแกรมที่เขียนเสร็จก่อนเวลา
จากนั้นก็กระโดดเบาๆ ข้ามแม่น้ำ เขามุ่งหน้าต่อ
ทุ่งนาด้านหน้าเขียวชอุ่ม ส่ายไหวตามลม
ต้นกล้าที่เพิ่งงอกออกมาสะท้อนแสงสีเขียวอ่อน
ลู่เซิ่งเดินเข้าที่นา ตรงดิ่งไปด้านหน้า ผ่านไปราวสองสามนาที ในที่สุดก็ไปถึงชายขอบของอาณาเขตแห่งนี้ เป็นกำแพงโปร่งแสงไร้รูปร่างในลักษณะเยื่อบางที่พลิกกลับด้าน
มิติผืนนี้เหมือนกับชามยักษ์ไร้รูปร่างที่คว่ำหน้า ตัดขาดกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แต่กฎด้านในเละเทะสับสน กฎจำนวนน้อยนิดซึ่งรวมถึงเสียงเหมือนกับถูกทำให้ช้าลงหลายสิบเท่า ยากจะทำความเข้าใจ
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้ากำแพง ยื่นมือออกไปเคาะเบาๆ
ก๊อกๆ
กำแพงแข็งมาก เหมือนเคาะหนังวัวเหนียวๆ
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย หลับตาลง ปรับแต่งร่างกายด้วยความเร็วสูง สสารจำนวนมากทะลักจากโลกรูปจิตเข้าสู่ในร่างกาย
ความหนาแน่นของร่างกายสูงใหญ่ขึ้นตามลำดับ แต่ขนาดกลับยังคงเหมือนเดิม
ผ่านไปหลายนาที ลู่เซิ่งก็ยื่นมือไปลูบผิวกำแพงด้านหน้าอีกรอบ
ฟุ่บ
กำแพงที่เดิมเหนียวทนทาน เวลานี้กลับกระเพื่อมน้อยๆ เหมือนของเหลว หลังจากถูกเขาลูบเบาๆ
‘เหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด ความแตกต่างของระดับความเข้มข้นและความหนาแน่นทำให้ที่นี่มีการแบ่งอาณาเขตที่ไม่เหมือนกัน…เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะแตกต่างกันมหาศาลขนาดนี้’
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก แล้วสาวเท้าเดินใส่กำแพงด้านหน้า
กำแพงที่แข็งแรงสำหรับเขาเมื่อก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับไม่ต่างจากผิวน้ำธรรมดา
แค่ชนเบาๆ ตัวเขาก็หายเข้าไปด้านใน
ด้านหลังกำแพงเป็นมิติสีเหลืองกว้างขวาง ทรายทองนับไม่ถ้วนกระจายบนผืนดิน เหนือท้องฟ้ามีแสงอาทิตย์ร้อนระอุส่องแสง
อากาศของที่นี่หนาแน่นเสียจนเหมือนของแข็งที่ทนทานในสถานที่อื่นๆ
ถ้าสิ่งมีชีวิตที่ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายย่ำแย่เข้ามา เกรงว่าจะถูกแช่แข็งอยู่ที่เดิมจนขยับเขยื้อนไม่ได้ในทันที จากนั้นก็จะถูกแรงกดอากาศในโลกภายนอกบีบอัดอวัยวะภายในแล้วเสียชีวิตไปอย่างง่ายดาย
สำหรับลู่เซิ่ง เขาที่กินจักรวาลนับไม่ถ้วนใช้พลังวารีเทาปรับปรุงความหนาแน่นของร่างกายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ซ่า
เขาปีนขึ้นเนินทรายทองที่กองสุมเหมือนภูเขา หลังเท้าหายไปด้านใน เกือบจะเซล้ม
แต่เทียบกับอาณาเขตประหลาดเมื่อครู่ ที่นี่กลับปกติกว่ามาก
สถานที่เมื่อครู่เหมือนอยู่ในเขตเปลี่ยนสภาพที่ความหนาแน่นปรับตัวและปรับสภาพความเป็นกลางอย่างต่อเนื่องมากกว่า แต่ที่นี่ ความหนาแน่นสมดุลโดยสมบูรณ์แล้ว
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก รู้สึกว่าของเหลวที่เหนียวเหมือนน้ำมันนับไม่ถ้วนไหลเข้าสู่ปอดจนแทบหายใจไม่ออก
“สมรรถภาพของปอดยังไม่พอ ดีปบลู” เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
อินเตอร์เฟซสีฟ้าเด้งออกมา ลู่เซิ่งพลิกหาวิชาที่เสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายออกมาวิชาหนึ่ง แล้วทุ่มพลังอาวรณ์ลงไปอย่างบ้าคลั่ง
ผ่านไปสามนาที เขาก็ถอนใจยาว ในที่สุดร่างกายก็ปรับตัวกับความแข็งแกร่งของที่นี่ได้
จากนั้นเขาก็ย่ำเนินทรายทองไปด้านหน้าทีละก้าวๆ อย่างไม่เร็วไม่ช้า
อาณาเขตผืนนี้เล็กกว่าสถานที่เมื่อครู่ ลู่เซิ่งเดินได้สักสองสามร้อยเมตรก็เห็นสิ่งก่อสร้างในลักษณะโบสถ์สีขาวที่เก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางเนินทรายด้านหน้าเงียบๆ
เขาเร่งฝีเท้าเข้าใกล้จนถึงหน้าประตูโบสถ์
โบสถ์ทั้งหลังมีเพียงโถงภาวนา สูงเจ็ดแปดเมตร ปลายยอดเป็นหลังคาแหลม สัญลักษณ์โลหะที่เหมือนสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนตั้งอยู่บนนั้น
มองไปจากด้านใน ประตูโบถส์อ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง หน้าต่างทรงซุ้มหลายบานบนกำแพงแทบไม่มีกระจก มีเพียงช่องว่าง
ลู่เซิ่งหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะยกเท้าก้าวเข้าไปในประตูที่อ้าอยู่
ไฟสีส้มลุกไหม้อยู่ในเตาไฟของโบสถ์ นอกจากเวทียกสูงด้านหน้าแล้ว ในโถงใหญ่ก็มีเก้าอี้เพียงสามแถว รองรับคนได้มากสุดสามสิบคน
ชายชราที่มีขนสีขาวขึ้นเต็มตัวคนหนึ่งหันหลังให้แก่เขา ยืนอยู่บนเวทีสูง หันหน้าเข้าหาเทวรูป
เส้นผมและหนวดเคราของเขา เหมือนกับเส้นด้ายสีขาวที่หลั่งไหลนับไม่ถ้วน ยื่นเหยียดจากเวทีมาถึงโถงใหญ่มากกว่าครึ่ง
พื้นดิน ผนัง เพดาน โต๊ะ เก้าอี้ และเทวรูปเต็มไปด้วยสีขาวและเส้นผม โบสถ์ทั้งหลังนี้เหมือนกับรังเส้นผมมากกว่าสิ่งก่อสร้างที่ทรุดโทรม
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า สายตากวาดมองคนที่หันหลังให้เขา จากนั้นก็เพ่งสมาธิไปที่เทวรูปซึ่งตั้งตระหง่าน
เทวรูปนั้นประหลาดถึงขีดสุดเช่นกัน
ไม่ใช่มนุษย์ หากเป็นรูปทรงหลายเหลี่ยมสีทองขนาดมหึมาที่ตั้งตรง
เหมือนกับหินโลหะบางประเภท และเหมือนผลึกที่ไม่ได้รับการขัด ปลายกระจับแหลมจำนวนมากที่โผล่ออกมาอย่างไร้ระเบียบ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเทวรูปเย็นเยียบและแข็งตัน
“ดีใจจริงๆ มีคนมาถึงที่นี่อีกแล้ว”
เสียงแหบพร่าเสียงหนึ่งดังมาจากเทวรูปทรงหลายเหลี่ยมนั้น
นี่ทำให้ลู่เซิ่งพิจารณามนุษย์ขนยาวที่ยืนอยู่เพิ่ม เดิมทีเขานึกว่าน่าจะเป็นมนุษย์ขนยาวคนนั้นส่งเสียง นึกไม่ถึงว่ากลับเป็นเทวรูปที่เหมือนแร่ดิบหรือผลึกชิ้นนั้นเคลื่อนไหวก่อน
“ท่านเป็นใคร” เขาถาม
“ข้าคือบรรพบุรุษของก้อนหินทั้งหมด เจ้าเรียกข้าว่า แม่น้ำเหลือง ก็ได้”
“…” แกเป็นบรรพบุรุษของก้อนหินไม่ใช่เรอะ แกเป็นแม่น้ำเหลือง งั้นฉันก็เป็นแม่น้ำแยงซีเกียง[1]ล่ะว้า…
ลู่เซิ่งหมดคำพูด
“ไม่ต้องสนใจหรอก เป็นแค่คำเรียกเท่านั้น” บรรพบุรุษก้อนหินเอ่ยพลางหัวเราะ “ข้าก็แค่ก้อนหินที่อยากกลายเป็นสายน้ำ ผู้มาเยือน ข้าควรเรียกเจ้าว่าอย่างไร”
ลู่เซิ่งนิ่งไป
“ข้าทำบุญกุศลมาตลอดชีวิต ทนมองคนทุกข์ทรมานไม่ได้มากที่สุด ท่านเรียกข้าว่า พระแม่ศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน”
เจ้าใช้ชื่อปลอม อย่างนั้นข้าเอาบ้าง ใครคุยโม้โกหกไม่เป็นบ้าง
“…” บรรพบุรุษก้อนหินมองปราณมารที่พลิกตัวอยู่รอบๆ ลู่เซิ่ง วิญญาณตายโหงกับความแค้นจำนวนเหลือคณานับบนนั้นเยอะถึงชนิดที่ว่ามันไม่เคยเห็นมาก่อน
ชื่อพระแม่ศักดิ์สิทธิ์…เจ้ายังมียางอายบ้างหรือไม่
“ก็ได้ พระแม่ศักดิ์สิทธิ์ ดีใจมากที่ได้พบแขกคนใหม่ในสถานที่ที่อยู่ใกล้อนุภาคนิรันดร์ที่สุด ที่นี่คือใจกลางวงแหวนไม่ดับสูญ ข้างใต้ที่ที่ข้าอยู่ มีเส้นทางเร้นลับที่เชื่อมไปยังอนุภาคนิรันดร์ ที่นั่นสะกดหนึ่งในกลไกสูงสุดของสุญญตาหลักไว้ ตอนนี้ จงบอกจุดประสงค์การมาของเจ้ามาเถอะ” บรรพบุรุษก้อนหินแม่น้ำเหลืองใจเย็นลง
“เป้าหมายของข้าง่ายดายมาก” ลู่เซิ่งไม่เสียเวลา ยกมือขึ้น
“ครั้งก่อนข้าจำเป็นต้องดำลงไปยังชายขอบของความว่างเปล่าเพื่อช่วยเหลือสรรพสิ่ง สุดท้ายกลับเจอบ่อเกิดภัยพิบัติ”
เส้นสีรุ้งกลางฝ่ามือเขาหยุดนิ่ง แสดงให้เห็นว่าถูกที่นี่สะกดไว้
“พลังความโกลาหลหรือ” บรรพบุรุษก้อนหินสงสัยเล็กน้อย “มีสิ่งมีชีวิตน้อยนิดที่แปดเปื้อนกลิ่นอายความโกลาหลแล้วยังทนมาได้นานขนาดนี้ เจ้ากลับทนจากสถานที่แห่งนั้นมาถึงวงแหวนไม่ดับสูญได้ แสดงให้เห็นว่าเจ้ามีพลังแข็งแกร่งมาก”
……………………………………….
[1] แม่น้ำเหลืองและแม่น้ำแยงซีเกียง เป็นแม่น้ำสายสำคัญของจีน