ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1204 ติดตามกัน (2)
“มหาสมุทรต้นชีวิต ในนั้นมีสิ่งใด”
“ไม่มีสิ่งใดเลย”
“ไม่มีสิ่งใดเลยหรือ?”
“ถูกต้อง…มหาสมุทรต้นชีวิต เป็นเพียงสภาพดึกดำบรรพ์ที่เกิดในปริภูมิ ข้าเคยเข้าไปในนั้นเพื่อหลบเลี่ยงมหาวัฏจักร ที่นั่นไม่มีอะไรเลย ไม่มีชีวิต ไม่มีสสาร ไม่มีพลังงาน ไม่มีกฎ ถึ งขั้นบางครั้ง หลังเจ้าเข้าไป จะรู้สึกเหมือนนอนหลับ สังเกตไม่เห็นว่าตนเข้าไปแล้ว” มารดาศิลาเอ่ยเสียงแผ่ว
“เป็นเพราะความรู้สึกเป็นสิ่งที่ต้องการวัตถุอ้างอิงถึงจะดำรงอยู่และสัมผัสได้หรือ” ลู่เซิ่งถาม
“ใช่…เพราะสัมผัสถึงสิ่งใดไม่ได้ ซึ่งรวมถึงเวลาและมิติของตนเอง มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน ดมไม่เจอ สัมผัสไม่ได้ แม้แต่จินตนาการก็ยังจินตนาการไม่ออก” มารดาศิลาถอนใจ
“แล้วพวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเข้าไปแล้ว” ลู่เซิ่งซัก
“เป็นเพราะการดำรงอยู่ใดๆ ที่เข้าไปจะเหลือตราประทับชนิดหนึ่งบนร่างตัวเอง เป็นร่องรอยที่มหัศจรรย์มาก” มารดาศิลาดึงเกราะไหล่ด้านขวาออกเบาๆ บนผิวสมบูรณ์แบบขาวผ่องเรียบเนียนม มีรอยตราที่เหมือนรอยปานสีเขียวอ่อนประทับอยู่รอยหนึ่ง
รอยปานไม่มีสภาพ เป็นรูปร่างไม่สม่ำเสมอแบบทั่วไป สีก็อ่อนจาง หากไม่พิจารณาดีๆ คงมองไม่เห็น
“ความจริงวัตถุและพลังงานที่พวกเราเคยสัมผัสได้ ถือเกิดขึ้นจากการผสานของสามกลไกสูงสุด รวมถึงพวกเรา ดังนั้นการดำรงอยู่ทั้งหมดอย่างพวกเราจึงได้รับผลกระทบจากสามพลังสูงสุด ไม่อาจส สลัดหลุดได้”
มารดาศิลาสวมเกราะกลับอย่างแผ่วเบา
“และหากคิดจะสลัดให้หลุดจากผลกระทบนี้ ก็มีอยู่แค่วิธีเดียว”
“คือการเข้าไปในมหาสมุทรต้นชีวิตหรือ?” ลู่เซิ่งฉุกใจ
“ถูกต้อง” มารดาศิลายิ้ม “การเข้าไปในมหาสมุทรต้นชีวิตคือวิธีตัดขาดกับสามกลไกสูงสุด ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ถ้าเจ้าคิดจะสลัดให้หลุดจากการคุกคามของสามพลังสูงสุด ก็ต้องเดินบนเส้ นทางนี้”
“การดำรงอยู่ที่เข้าไปจะกลับออกมาได้หมดเลยหรือ” ลู่เซิ่งถามเป็นครั้งสุดท้าย
มารดาศิลาได้ยินดังนั้นก็พลันอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะ
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
นางไม่พูดอะไรมากอีก สายตาจับบนผืนดินมืดครึ้มสีม่วงอมดำด้านล่าง
“อัสลีกา ไสหัวออกมา!”
นางยื่นมือซ้ายออกมา ก่อนฟาดคว้าแขนสมบูรณ์เหมือนหยกและหิมะลงด้านล่างอย่างแผ่วเบา
วงแหวนแสงสีรุ้งขนาดมหึมาที่สว่างไสวและยิ่งใหญ่ระเบิดขึ้นในฝ่ามือเธออย่างฉับพลัน
สายฝนโปร่งแสงนับไม่ถ้วนโปรยปรายออกมาจากใจกลางวงแหวนแสงสีรุ้ง แล้วกระจายจากท้องฟ้าลงสู่ผืนดิน
สายฝนนับไม่ถ้วนตกลงบนผืนดิน พื้นที่สายฝนตกใส่พากันกลายเป็นผลึกอัญมณีสีรุ้ง
ทับทิม ไพลิน มรกต ผลึกฟ้า บุษราคัม อัญมณีที่นึกออกได้ปรากฏออกมาทั้งหมด เหมือนกับดำรงอยู่มาชั่วนาตาปี
ผลึกและอัญมณีจำนวนมากเบ่งบานออกมาบนผืนดินเป็นกลุ่มๆ เปลี่ยนทุกสิ่งที่แตะโดนกระทบให้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง
สิ่งมีชีวิตรูปร่างแรดที่ตั้งตัวไม่ทันบางส่วน ร่างกายเริ่มกลายเป็นผลึกท่ามกลางสายฝนอย่างรวดเร็ว
โฮก!
พวกมันดิ้นรน พุ่งตะบึง แต่เพิ่งวิ่งไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ทรุดล้มลงกับพื้นแล้วแตกออกเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่ ก่อนจะผสมเป็นเนื้อเดียวกับอัญมณีอื่นๆ
มองจากมุมของลู่เซิ่ง ผืนดินกำลังกลายเป็นผลึกด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้
‘ตระการตาจริงๆ…’ ลู่เซิ่งตกตะลึง
เขาก็เคยใช้ร่างจริงขนาดหลายหมื่นเมตรแหวกว่ายในปฐมมิติมาก่อน เป็นเพราะมีตัวเปรียบเทียบและมีประสบการณ์ เขาจึงเข้าใจว่าคิดจะทำให้ถึงขั้นนี้มีความยากมากมายขนาดไหน
พึงทราบว่าที่นี่คือปฐมมิติ ไม่ใช่ด้านในจักรวาล
กฎของปฐมมิติถูกเรียกว่ากฎมหภาค เป็นกฎพื้นฐานที่ผูกมัดจักรวาล ถึงขั้นผูกมัดธารมารดาและการทำงานของวัตถุใหญ่โตอื่นๆ
นอกจากสามกลไกใหญ่แล้ว กฎมหภาคคือรากฐานของที่นี่และทุกสิ่งของที่นี่
ลู่เซิ่งสามารถเขมือบจักรวาลและกัดกินธารมารดาในสภาพร่างหลักได้ แต่หากจะไปให้ถึงขั้นส่งผลต่อกฎเกณฑ์ระดับนี้ ก็ยากกว่าการปีนป่ายสวรรค์เสียอีก
นี่เป็นการส่งผลต่อแก่นของกฎมหภาคโดยตรง โดยเปลี่ยนสสาร พลังงาน รวมถึงพลังแห่งความว่างเปล่าให้เป็นผลึกหินที่นางครอบครอง
อัญมณีที่แวววาวนับไม่ถ้วนเหมือนเทจากฟ้าลงสู่ผืนดินสีดำอมม่วง อัญมณีที่ราวมหาสมุทรกระจายตัวปกคลุมอาณาเขตที่อยู่ไกลออกไปอย่างต่อเนื่อง
พลังแห่งความว่างเปล่าถูกเปลี่ยนเป็นผลึกสีดำอมม่วง ก่อนจะผสมกันและตกลงผืนดินเช่นกัน
สิ่งมีชีวิตความว่างเปล่านับไม่ถ้วนร้องโหยหวน หลบหนีไม่ทัน ได้แต่เบิ่งตาดูตัวเองถูกเปลี่ยนเป็นผลึกหินแล้วล้มลงแตกดังเพล้ง
ลู่เซิ่งกะประมาณคร่าวๆ แค่การเคลื่อนไหวครั้งท่าใหญ่ท่านี้ สิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าในมิติผืนนี้ที่ถูกเปลี่ยนไปก็มีจำนวนไม่ต่ำกว่าหลายแสนแล้ว
และดูท่าทางผลึกหินยังกระจายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่มารดาศิลาหยุดปล่อยฝนแล้ว แต่การเปลี่ยนเป็นผลึกบนพื้นก็ยังขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง เหมือนกับเปลวไฟที่แค่แตะโดนกระทบก็ ลุกไหม้ทันที
“ที่นี่เคยเป็นบ้านเกิดของสหายเก่าคนหนึ่งของข้า ตั้งแต่มหาวัฏจักรครั้งก่อน ข้ากับนางมักมาเดินเล่นและพักผ่อนตรงนี้ น่าเสียดายที่สุดท้ายแม้แต่นางก็ทรยศข้า…” มารดาศิลาผุด สีหน้าเปล่าเปลี่ยว ยื่นมือไปจับเส้นผมเส้นหนึ่งตรงหน้าอกเบาๆ
“นางเองก็เป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนสิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าเหมือนกันหรือ” ลู่เซิ่งถาม พอดีอยู่ว่างไม่มีเรื่องราว เขาจึงถือโอกาสเรียกดีปบลูออกมาในใจ แล้วเริ่มทุ่มพลังอาวรณ์ไปยัง งสูตรวัฏจักร อย่างไรตอนนี้เขาก็มีพลังอาวรณ์ให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น เอามาใช้เรียนรู้ได้โดยไม่มีปัญหา
“ถูกต้อง…สิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าเช่นพวกมันเกิดจากพลังแห่งความว่างเปล่า นึกว่าตัวเองเป็นอมตะไม่มีวันตาย แต่น่าเสียดายที่มาเจอข้า” มารดาศิลากล่าวด้วยรอยยิ้ม “การเปลี่ยนเป็น นผลึกของข้าสามารถเปลี่ยนพวกมันเป็นผลึกและอัญมณี เป็นการเปลี่ยนเป็นสภาพอีกอย่าง ไม่ใช่การลบทิ้ง ไม่ใช่การทำลาย…หากเป็น การเปลี่ยนแปลง”
แกร๊กๆๆ…
เสียงเพิ่งขาดลง
พื้นดินด้านล่างที่ตาเนื้อเห็นได้ก็ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นผลึกและอัญมณีหมดสิ้น
ผืนดินที่ปกคลุมด้วยผลึกและอัญมณีนับไม่ถ้วนเริ่มแยกออกและเคลื่อนไหว
สิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นจากผลึกเหมือนกับไดโนเสาร์ยักษ์หลายตัว ผุดขึ้นจากพื้น แล้วคำรามใส่ท้องฟ้าอย่างไร้เสียง
“การเป็นอมตะไม่มีวันตายที่ว่า…ก็เป็นเพียงเรื่องขำขันเท่านั้น…” มารดาศิลายิ้มๆ ก่อนจะคลายเส้นผมในมือทิ้งเบาๆ
ลู่เซิ่งนิ่งไปเล็กน้อย ถ้าการโจมตีเมื่อครู่ พลังทั้งหมดของเขาก็ทำได้เช่นกัน อย่างนั้นระดับในตอนนี้ก็ไม่ใช่ระดับที่เขาเอื้อมถึงได้…
แม้แต่พลังแห่งความว่างเปล่าและพลังสูงสุดก็สามารถแปลงมาเป็นบริวารของตัวเองได้
เขามองดูพร้อมกับยื่นสัมผัสจิตไปยังที่ไกลแสนไกล การแปลงเป็นผลึกยังคงกระจายอยู่บนผืนดินไกลออกไป
การแปลงเป็นผลึกเหล่านี้เหมือนกับไฟ ทำลายอาณาเขตผืนนี้โดยสิ้นเชิงโดยไม่ดับมอด
“เจ้าคิดถูกแล้ว ถ้านางไม่ออกมา ไม่นานที่นี่จะถูกเปลี่ยนเป็นผลึก กลายเป็นฐานหินส่วนหนื่งของโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์ของข้าโดยสมบูรณ์” มารดาศิลาหุบยิ้ม ก่อนกล่าวอย่างสงบ
ลู่เซิ่งไร้คำพูดโต้ตอบ นี่ไม่ใช่การมาเยี่ยมเพื่อนสนิท แต่เป็นการแก้แค้นอย่างเปิดเผย
เขามองออกแล้วว่า คนคนนี้เพิ่งออกมาจากนรก อารมณ์พลุ่งพล่าน ไม่ได้ลงมือเหี้ยมเกรียมแบบธรรมดา
สิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าในอาณาเขตผืนนี้มีไม่ต่ำกว่าหมื่นๆ ล้าน นางกลับทำลายทิ้งเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือ
เขาครุ่นคุร่นคิด ก่อนจะยื่นมือออกมาปล่อยกระบวนท่าอย่างแผ่วเบา
ผลึกสีแดงก้อนหนึ่งบนพื้นลอยสู่มือเขาด้วยความเร็วสูง
เพิ่งจะจะจับผลึก ลู่เซิ่งก็รู้สึกเจ็บปวดแสบร้อน พิจารณาดู มือของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นผลึกอย่างรวดเร็ว
‘ร้ายกาจ!’ เขาเปลี่ยนฝ่ามือกลายเป็นโครงสร้างพลังงานและสสารนับไม่ถ้วน แต่ขัดขวางการเปลี่ยนเป็นผลึกไม่ให้กระจายไปทั่วร่างไม่ได้ แม้แต่พลังแห่งวารีเทาก็ไร้ความหมาย
ฉับ!
เขาสะบั้นข้อมือทิ้งไปก่อน
ฝ่ามือที่ถูกตัดทิ้งกลายเป็นผลึกกลางอากาศด้านหน้าเขา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นผลึกสีแดงแข็งตันแวววาวพร้อมกับตกลงไป
ฝ่ามือข้างใหม่งอกออกมาตรงส่วนที่ขาด
แต่ลู่เซิ่งยังคงตื่นตระหนกกับสถานการณ์เมื่อครู่
ด้วยขอบเขตของเขากลับได้แต่ใช้วิธีตัดอวัยวะทิ้งเพื่อให้งอกใหม่เหมือนของจิ้งจกเพื่อหลบหนีการแปลี่ยนเป็นผลึก ยิ่งอย่าว่าแต่สิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าที่อ่อนแอกว่าเขาหลายเท่า
เขาสัมผัสได้ว่านี่เป็นความต่างด้านคุณสมบัติของพลัง และเป็นความต่างขนาดมโหฬาร
ถ้ามารดาศิลาลงมือกับเขา นอกจากหนีแล้ว เขาก็ไม่มีวิธีอื่นอีก
ลู่เซิ่งสายตาเคร่งเครียดเล็กน้อย ก่อนย้ายความสนใจไปยังกรอบอินเตอร์เฟซข้างล่างสายตาอีกครั้ง
พลังอาวรณ์จำนวนมากยังทะลักสู่กรอบของสูตรวัฏจักรอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
กรอบพร่ามัว อยู่ในสภาพเรียนรู้ตลอดเวลา
แต่เขาสังหรณ์ว่าอีกไม่นานการเรียนรู้จะจบลง
“เห็นพลังความโกลาหลของเจ้าหรือยัง มันใกล้ถูกปรับตัวให้เป็นกลางแล้ว” ทันใดนั้นมารดาศิลาก็ส่งเสียง
ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็ยกมือขึ้นดู
เส้นรุ้งความโกลาหลที่อยู่ใจกลางฝ่ามือ เวลานี้กำลังจางหายไปด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้
“หลังจากมีพื้นฐานของสูตรวัฏจักรแล้ว เจ้าจะกระตุ้นสามพลังสูงสุดเพื่อปรับสมดุลเองได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ครอบครองสูตรวัฏจักร เมื่อแปดเปื้อนพลังสามชนิด จุดจบที่เหลือคือการระเ เบิดในพริบตา สูญสลายไปตลอดกาลโดยไม่เหลือแม้แต่รอยตรา กลายเป็นสารอาหารในมิติมหภาค” มารดาศิลาอธิบาย
นางถูกใจนิสัยของลู่เซิ่ง เพิ่งจะกลับมาไม่ได้ นางจึงต้องการผู้ช่วยที่แข็งแกร่งและมีความสำคัญมากพอเพื่อจัดการธุระ อย่างไรตนเองก็ลงมือจัดการเรื่องราวทุกอย่างเองไม่ได้ได้ในเวล ลาปกติ
เรื่องราวที่ปกติไม่สำคัญสามารถโยนให้ผู้ช่วยจัดการได้ แบบนี้ถือว่าเหมาะสม
“รอเจ้าเชี่ยวชาญรากฐานของสูตรวัฏจักร ก็จะสามารถสร้างจุลวัฏจักรในร่างตัวเองด้วยสามพลังสูงสุดได้ นี่ก็คือเมล็ดพันธุ์ของวัฏจักร ในเวลาปกติ มันสามารถจ่ายพลังบ้าคลั่งที่ไร้ส สิ่งใดเทียบเคียงให้เจ้าได้ นั่นเป็นพลังพิเศษที่มีรอยตราของเจ้าเพียงคนเดียว และในตอนที่เจ้าต้องการ มันจะระเบิดและให้กำเนิดพลังทำลายล้างน่ากลัวไร้เทียมทานในพริบตา นั่นก็คือพล ลังวัฏจักร เป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงและทำลายทุกอย่างได้” มารดาศิลาเอ่ยเสียงเรียบ
“นี่เป็นสาเหตุที่พวกมันเกรงกลัวข้าและหวาดกลัวข้า”
นางมองลู่เซิ่ง พอใจความตื่นตะลึงและยำเกรงจากนัยน์ตาของอีกฝ่าย
หากคิดจะทำให้ผู้เข้มแข็งระดับสุดยอดแบบนี้ยอมรับ อาศัยแค่การแสดงพลังคงไม่พอ
นางคิดจะรอถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยบอกลู่เซิ่งว่า สูตรวัฏจักรมีทั้งหมดเก้าขั้น ขอแค่เขายอมสวามิภักดิ์ต่อนาง สูตรวัฏจักรต่อจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าถ่ายทอดให้เขาไม่ได้
อย่างการการยกระดับและการพัฒนาทุกขั้น ต่อให้เป็นนาง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลามากกว่าสิบล้านปี มิหนำซ้ำขั้นที่เก้าซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายอยู่ในกำมือนาง เขาย่อมทำอะไรไม่ได้
ลู่เซิ่งนิ่งเงียบ สายตาจับอยู่ที่กรอบดีปบลูในสายตา
เมื่อครู่นี้เอง ขั้นแรกของสูตรวัฏจักรถูกเรียนรู้จบอย่างเป็นทางการ
ครั้งนี้เป็นครั้งที่เขาพัฒนาวิชานานที่สุด ใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมง!
เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าสูตรวัฏจักรในภายหลังต้องการเวลาขนาดไหน