ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1205 เหตุเปลี่ยนแปลง (1)
สายฟ้าสีดำอมม่วงที่เดือดพล่านวาดผ่านท้องฟ้า เพิ่งพุ่งไปถึงครึ่งทางก็ถูกเปลี่ยนเป็นผลึก กลายเป็นอัญมณีตกลงพื้น โลกวิญญาณภายในมากกว่าครึ่ง ถูกปกคลุมไปด้วยผลึกและเปลี่ยนเป็น ผลึกอัญมณีนับไม่ถ้วนใต้การแปกคลุมของผลึก
มีเพียงตำแหน่งเล็กๆ ตำแหน่งเดียวตรงชายขอบ เหมือนมีบางอย่าง มาขัดขวางไม่ให้การเปลี่ยนเป็นผลึกขยายตัวตลอดเวลา
นั่นคือพลังที่เหมือนหมอกควันสีม่วง
การเปลี่ยนเป็นผลึกในตำแหน่งที่หมอกควันสีม่วงปกคลุมเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายก็หยุดลง
ฟ้าว!
ลำแสงสีทองเส้นทางทองคำปรากฏกลางอากาศอีกครั้ง ก่อนจะแทงทะลุอออกมาจากชั้นเมฆ
มารดาศิลาและลู่เซิ่งเดินแยกเป็นหนึ่งหน้าหนึ่งหลังออกมาช้าๆ แล้วมองลงไปจากที่สูง
“อัสลีกา ยังจะซ่อนตัวอีกหรือ” มารดาศิลาเอ่ยด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“ข้าไม่สนใจเรื่องทางโลกมานานแล้ว เหตุใดเจ้าต้องบังคับข้าด้วย”
ร่างสีม่วงที่อยู่ในเสื้อคลุมดำปรากฏบนผืนดินอย่างช้าๆ
นางยืนอยู่กลางหมอกสีดำอมม่วง ด้านหลังมีแมลงมีพิษรูปร่างเหมือนตะขาบจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวเป็นก้อน ขยับขยุกขยิกอยู่ด้านหลัง
“ตอนนั้นที่เจ้าทรยศข้า เหตุใดไม่พูดแบบนี้เล่า ไม่สนใจเรื่องทางโลก น่าขัน” มารดาศิลากล่าวพลางหัวเราะเย็นชา
“เจ้าเองก็เหมือนเช่นเมื่อก่อน ทำตัวเป็นเผด็จการ ไม่เคยสนใจความเห็นคนอื่น” สตรีเสื้อคลุมดำเอ่ยอย่างสงบ
“ดังนั้นเจ้าเลยทรยศข้าหรือ” มารดาศิลาขมวดคิ้ว เสียงดังขึ้นช้าๆ ถลึงตาจ้องมองอดีตสหายที่สนิทที่สุดของตน
“ข้าไม่เคยทรยศเจ้า แค่เจ้าคิดทำลายข้า ทำลายทุกสิ่ง พังทุกอย่างทิ้ง เจ้าบ้าแล้ว มารดาศิลา” น้ำเสียงของอัสลีกาแฝงความเศร้าจางๆ
“เหลวไหลทั้งเพ!” มารดาศิลาสูดลมหายใจลึก “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากฟังแล้ว แม้ก่อนหน้านี้นึกว่าเจ้าจะมีเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาแก้ตัว แต่เมื่อเจอหน้ากันจริงๆ ข้าค่อยรู้สึกว่าเหลือทนขน นาดไหน”
นางยื่นมือขวาออกมา
“นำพาความดีสุดท้ายของข้า แล้วไปตายเสีย!”
ตูม!
มือยักษ์แร่หินสีรุ้งทะลวงออกมาจากข้างใต้อัสลีกาด้วยความเร็วน่าสะพรึงที่อยู่เหนือจินตนาการ แล้วจับอัสลีกาไว้
“ปกป้องฝ่าบาท!”
ผู้เข้มแข็งที่เป็นมนุษย์หน้าสัตว์ซึ่งมีร่างหลากหลายแบบพุ่งออกมาจากหมอกสีเทารอบๆ พวกมันคำรามพลางควงอาวุธแข็งแกร่งที่รวมตัวจากพลังความว่างเปล่า คุณสมบัติถึงขั้นเหนือเนหือก กว่าอาวุธใดๆ ที่ลู่เซิ่งเคยเห็นมา
พลังแห่งความว่างเปล่าสีม่วงรวมเป็นอาวุธและโล่สีดำอมม่วง มนุษย์หน้าสัตว์หลายตนพุ่งไปคว้าใส่มือยักษ์ที่จับอัสลีกาโดยไม่สนใจตัวเอง
เปรี้ยง!
มนุษย์หน้าสัตว์ความว่างเปล่าตนหนึ่งระเบิดตัวตาย ตามด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม…
การระเบิดอันรุนแรงกระจายอย่างช้าๆ บนมือยักษ์ผลึกแร่ เหมือนกับวงแหวนที่กะพริบแสงสีเงินหลายวง
“จงถูกฝังไปพร้อมอดีตของข้าเถอะ…” มารดาศิลากำหมัดช้าๆ
มือยักษ์ที่จับอัสลีกาไว้ก็เริ่มบีบแน่นตาม
ทว่าสตรีที่มีบุคลิกลี้ลับผู้นี้ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย นางมองมารดาศิลาที่อยู่สูงกว่าด้วยความโศกเศร้าและจนใจอย่างสงบเท่านั้น
โผละ
มือยักษ์บีบอย่างแรง หมอกควันสีดำอมม่วงระเบิดออกมาจากตรงกลาง
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหลังมารดาศิลา มองดูจุดจบของอัสลีกาที่ดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายอยู่ห่างๆ
สตรีสวมเสื้อคลุมดำคนนี้ระเบิดแหลกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นหมอกควันสีดำอมม่วงนับไม่ถ้วนด้วยการบีบอัดที่ไม่สนใจทุกสิ่งของมือยักษ์
หรือพูดให้ละเอียดขึ้นก็คือ มันกลายเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ที่มีหัวเป็นมนุษย์ตัวเป็นงู ร่างงูของสัตว์ประหลาดความจริงรวมตัวขึ้นจากควันดำนับไม่ถ้วน
“ไปตายซะ!”
มารดาศิลากดฝ่ามือลงด้านล่าง
มือยักษ์ด้านล่างเคลื่อนไหวแบบเดียวกัน
เปรี้ยง!
ฝ่ามือยักษ์ฟาดลงใส่พื้น บีบควันดำที่หลงเหลืออยู่ใจกลางฝ่ามือจนแหลกเป็นชิ้นๆ
สิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าจำนวนมากที่ไม่สนใจตัวเองบนผืนดินเมื่อก่อนหน้านี้เหมือนตื่นขึ้นจากฝัน หมอกควันสีดำอมม่วงหลายสายลอยออกมาจากปากและจมูกของพวกมัน
ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหลังมารดาศิลา มองดูนางระบายอารมณ์ใส่สิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณธรรมดาเหล่านี้ด้วยความโกรธเกรี้ยว นางปลดปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่ออกมาเพื่อเสกพวกมันให้กลายเป็นผลึกคร รั้งแล้วครั้งเล่า
ผืนดินของโลกวิญญาณโคลงเคลงอย่างแรง ควันเมฆพลิกตัวเหนือท้องฟ้า แบ่งแยกไม่ออกว่าตรงไหนคือฟ้า ตรงไหนคือดิน ทุกหนแห่งมีแต่ความโกลาหลเป็นแผ่นผืน
สิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณนับไม่ถ้วนถูกฆ่าทิ้งด้วยโทสะ เปลี่ยนเป็นเป็นสัตว์ประหลาดแร่ผลึกจำนวนมหาศาล จากนั้นก็ถูกบดขยี้เป็นผุยผง กลายเป็นสัตว์ประหลาดแร่อย่างรวดวเร็ว แล้วโดนฉีกท ทึ้งกลางการต่อสู้อีกครั้ง
สติปัญญาของสรรพสิ่งค่อยๆ ถูกลบทิ้ง ทำให้จางหาย และทำให้สลายไปท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
สัตว์ประหลาดแร่ทำลายตัวเองเป็นชิ้นๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยจิตของมารดาศิลา และนางก็ชำระล้างสติปัญญาที่เหลืออยู่ของสิ่งมีชีวิตเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน
ลู่เซิ่งแอบถอยห่างออกมาไปพลาง ทุ่มพลังอาวรณ์เข้าไปในกรอบของดีปบลูไปพลาง
สภาพของมารดาศิลาดูเหมือนผิดปกติและบ้าคลั่งเกินไปเล็กน้อย อัสลีกานั่นเหมือนจะมีสถานะอย่างอื่น อย่างเช่นตัวละครลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก
‘คนรักหรือ? คู่รักใช่มั้ย’ ลู่เซิ่งเดาขณะมองดูภายในโลกวิญญาณภายในที่โกลาหลมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้นตรงหน้า
เวลานี้โลกวิญญาณที่เดิมแบ่งแยกท้องฟ้าและผืนดินชัดเจนใบนั้น ได้เปลี่ยนเป็นเหมือนเครื่องซักผ้า ชิ้นส่วนและหมอกควันนับไม่ถ้วนด้านในผสมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสับสน แยกแยะสิ่งใดไม ม่ออกอีก
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่
ในที่สุด มารดาศิลาก็คล้ายระบายอารมณ์เสร็จสิ้น หมุนตัวกลับมายังด้านหน้าลู่เซิ่งพร้อมใบหน้าอิดโรย
“เจ้าว่า…ข้าบ้าไปแล้วจริงๆ หรือ”
ร่างนางสั่นเทาเล็กน้อย มองออกว่าอัสลีกามีตำแหน่งที่สำคัญอย่างยิ่งในใจนาง
“ข้าว่า…ท่านอาจจะ…”
“ข้าย่อมรู้ว่าตัวเองปกติดี” มารดาศิลาก้มหน้าตัดบทลู่เซิ่ง
“นางทรยศข้า ทรยศแนวคิดร่วมกันของเรา…” ตัวนางเริ่มสั่นเบาลง
“…” ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองปกติดีแล้วจะมาถามข้าเพื่ออะไร
ลู่เซิ่งหมดคำพูด คร้านจะกล่าวไร้สาระ
“ไปเถอะ…พวกเราไปยังส่วนกลางความว่างเปล่ากัน…ตรงนั้นมีสิ่งที่เจ้าต้องการ และมีคนรู้จักที่ข้าต้องตามหา”
มารดาศิลาเงยหน้าขึ้น สีหน้ากลับมามีแววมองจากที่สูงเหมือนเดิม
“ตามใจท่าน”
ทั้งสองแยกกันเป็นหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ก่อนหายไปในส่วนลึกของความมืดมิดว่างเปล่าอย่างช้าๆ อีกครั้ง
…
กลางเทือกเขาความว่างเปล่าที่ไพศาลและมืดมิด
มารดาศิลาทอดตามองกลุ่มสิ่งก่อสร้างสีดำที่เก่าแก่และมีความขมุกขมัวแทรกอยู่ในความศักดิ์สิทธิ์อย่างเงียบๆ
ระหว่างสิ่งก่อสร้างตรงนั้นมีสิ่งมีชีวิตความว่างเปล่าขนาดมหึมาที่ร่างยาวหลายร้อยเมตร
สิ่งมีชีวิตพวกนี้ถูกเรียกว่าสุญตาเถื่อน พวกมันไม่มีสติปัญญา ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไร
ในอาณาเขตใจกลางที่อยู่ใกล้ความว่างเปล่าที่สุดผืนนี้ พลังของสุญตาเถื่อนขนาดมหึมาพวกนี้ก็แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน
มองสิ่งก่อสร้างสีดำไกลๆ เหมือนกับรังมารร้ายที่สับสนและชั่วร้ายแห่งหนึ่ง ปั่นป่วนยิ่งกว่าความโกลาหลเสียอีก
“ที่นี่เคยเป็นเผ่าพันธุ์ยิ่งใหญ่เผ่าหนึ่ง” มารดาศิลามองกลุ่มสิ่งก่อสร้างและกล่าวด้วยสายตาซับซ้อน
“เป็นเผ่าพันธุ์ในวัฏจักรก่อนหรือ” ลู่เซิ่งถาม
“ถูกต้อง” มารดาศิลายิ้ม “นั่นคือบ้านเกิดของคนที่ข้าเรียกว่าท่านพี่ น่าเสียดายที่…”
“น่าเสียดายที่เขาก็ทรยศท่านด้วยหรือ?” ลู่เซิ่งถาม
“ถูกต้อง…ไม่ใช่แค่ทรยศเท่านั้น…” มารดาศิลายิ้มอ่อน
“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอะไร รอให้เขาออกมาอยู่ตรงนี้เฉยๆ หรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“แน่นอนว่าไม่ใช่” มารดาศิลายิ้ม อ้าปากเล็ก แล้วเป่าลมใส่กลุ่มสิ่งก่อสร้างอย่างแผ่วเบา
พลังสีดำกระเพื่อมออกมาจากปากนาง กลายเป็นเมฆสีรุ้งลอยไปไกลขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รอตอนไปถึงกลุ่มสิ่งก่อสร้าง พลังก็กลายเป็นเมฆหนาที่ปกคลุมพื้นที่ผืนนั้นเอาไว้
แกร๊กๆ…
ลู่เซิ่งได้ยินเสียงแผ่ขยายของการเปลี่ยนเป็นผลึกหินอย่างแผ่วเบา
เสียงนี้เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดูจากตอนนี้ เผ่าพันธุ์อะไรนั่นน่าจะหนีไม่รอดเงื้อมมือมารของมารดาศิลาแล้ว
ลู่เซิ่งส่ายหน้า ก้มหน้าเรียนรู้สูตรวัฏจักรอย่างหมดคำพูดต่อไป
‘ถึงว่าไง เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทำคนเจ็บปวดชอกช้ำกันทั้งนั้น มีความหมายตรงไหนกัน ถ้ามีว่างแบบนี้เอาเวลาไปเรียนรู้สูตรวัฏจักรเยอะๆ ดีกว่า’
แต่ถึงลู่เซิ่งไม่สนใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทางมารดาศิลาจะหยุดลง
หลังจากเมฆรุ้งปกคลุมกลุ่มสิ่งก่อสร้าง ก็มีเสียงทอดถอนใจอย่างจนปัญญาดังออกมาจากกลางอากาศทางซ้ายมือ
“หลิงหลิง…เจ้าไม่ใช่อยากให้ข้าปรากฏตัวหรือ ตอนนี้ข้าออกมาแล้ว พอ่ได้แล้วกระมัง”
เจ้าของเสียงเป็นมนุษย์ร่างสูงใหญ่สีดำสนิทที่เหมือนหุ่นยนต์
หมวกเกราะและเกราะหน้าปกคลุมแก้ม แต่ตัดสินจากเสียง สามารถสัมผัสได้ว่าคนคนนี้เคยได้รับความนิยมจากอิจสตรีนับไม่ถ้วน
พอมารดาศิลาเห็นผู้มาพลันร่างสั่น ตัวเกร็งขึ้นอย่างมิอาจควบคุม
ลู่เซิ่งถอยห่างออกมาไกลหน่อยอย่างรู้ตัวเองดี มอบเวลาและพื้นที่ให้พวกเขาสองคนอยู่ในโลกส่วนตัว แม้พวกเขาจะไม่ใช่คนก็ตาม
เขาถอยไปตามพื้นสีดำทะมึน ก่อนจะเจอเนินที่เกิดขึ้นจากพลังแห่งความว่างเปล่าในสภาพของแข็ง จึงถือโอกาสพิงหินยักษ์สีดำ รอคอยให้ทางมารดาศิลาจัดการเรื่องราวให้จบ
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ มารดาศิลาก็กลับมาถึงด้านหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไปเถอะ” นางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ลู่เซิ่งผงกศีรษะ ก่อนหมุนตัวไปสัมผัสกลุ่มสิ่งก่อสร้าง
“อือ”
กลุ่มสิ่งก่อสร้างในตอนแรกได้กลายเป็นซากปรักหักพังอย่างสมบูรณ์ บุรุษปริศนาที่มีเสียงไพเราะเมื่อครู่เหลือแค่กลิ่นอายหลงเหลือลอยพัดอยู่เหนือซากสิ่งก่อสร้าง ในกลิ่นอายเต็มไปด้วย ความตกใจ ไม่เข้าใจ หวาดกลัว และสิ้นหวัง…
“สหายเก่าของท่านเล่า” ลู่เซิ่งอดถามไม่ได้
“ตายแล้ว” มารดาศิลามองเขาอย่างเฉยชา “ไปเถอะ สถานที่ต่อไป”
“พลังความโกลาหลของข้าเล่าจะทำอย่างไร” เขารีบถาม เขาเดินทางมาไกลขนาดนี้เพื่อจัดการเรื่องนี้ หากมาเสียเที่ยวก็อยุติธรรมเกินไปแล้ว
“ที่นี่คือส่วนกลางความว่างเปล่า เจ้ามาอยู่ถึงนี่ก็แปดเปื้อนพลังตลอดเวลา ตอนนี้ลองดูมือของเจ้าอีกครั้งสิ” มารดาศิลาอธิบาย
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็ยกมือมองไปอย่างแน่วแน่
เห็นเพียงเส้นสีรุ้งความโกลาหลหลายสายกลางฝ่ามือเมื่อก่อนหน้านี้ เวลานี้จางลงจนเหลือเพียงตราสีรุ้งที่มองไม่ออกจำนวนหนึ่ง
“ยินดีด้วย ปัญหาบนตัวเจ้าถูกจัดการแล้ว” มารดาศิลามองลู่เซิ่ง “ข้ามีบุญคุณความแค้นบางส่วน ต้องการคุยกับราชาโลกวิญญาณที่รับตำแหน่งในตอนนี้ จะไปด้วยกันหรือไม่”
“ราชาโลกวิญญาณหรือ” ปฏิกิริยาแรกของลู่เซิ่งคือ เจ้าซีหนิงซวยแล้ว
“พอดีเลย ข้ากับมันมีบุญคุณความแค้นส่วนหนึ่งเช่นกัน ไปด้วยกันเถอะ”
อย่างไรไม่ว่าซีหนิงหรือสหพันธ์การดำรงต่างก็สู้เขาไม่ได้ มารดาศิลาจะจัดการใครก็ได้ทั้งนั้น
มองดูสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นที่กลายเป็นความโกลาหลไปเล็กน้อย
จากนั้นลู่เซิ่งก็ติดตามมารดาศิลาต่อ
แต่สิ่งที่สร้างความผิดหวังให้เขาก็คือ
เมื่อมีมารดาศิลานำกลุ่ม พวกเขาก็พุ่งเข้าไปในวังราชาโลกวิญญาณสำเร็จโดยไม่ต้องเปลืองแรง
น่าเสียดายที่ซีหนิงดูเหมือนจะทราบข่าวล่วงหน้า หลบหนีไปแล้ว ทั้งคู่จึงพลาดหวัง