ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1210 พิชิต (2)
เปรี้ยง!
มังกรสุญตาถูกมังกรผลึกรุ้งคว้ากรงเล็บกดเข้าไปในน้ำทะเลทางซ้ายมือ น้ำทะเลนับไม่ถ้วนทะลักเข้าสู่ร่องแยกบนร่างกายของมันอย่างบ้าคลั่ง
ผิวของน้ำทะเลถึงขั้นกลายเป็นวังวนพร่ามัว
“ตายซะ!” มารดาศิลาชี้นิ้วชี้ แสงทองผืนหนึ่งระเบิดขึ้นตรงหน้า
วงล้อสีทองที่เก่าแก่ประณีดวงตวงหนึ่งโผล่ขึ้นกลางแสงทองอย่างช้าๆ กระดิ่งสีขาวจำนวนมากแขวนอยู่บนวงล้อ ตรงกลางมีตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตบางชนิดกำลังถือกำเนิดและพองตัว
“วงล้อสรรค์สร้าง ขอพลังให้ข้าด้วย”
มารดาศิลาจับวงล้อสีทองเขย่าเบาๆ
เส้นสายโปร่งแสงสีรุ้งหลายสายลอยออกมาจากกระดิ่งสีขาวทั้งหมดอย่างฉับพลัน พวกมันพุ่งใส่ซีหนิงอย่างแม่นยำ แล้วแทงเข้าไปด้านในร่างเขาเหมือนมีชีวิต
ซีหนิงร้องโหยหวน คิดจะขัดขืน แต่ถูกมังกรผลึกสายรุ้งกดไว้จนขยับไม่ได้
“สัมผัสได้หรือยัง จักรวาลหลายแห่งที่เชื่อมต่อกับเจ้ากำลังพังทลาย” มารดาศิลาผุดสีหน้าเยาะเย้ย
“ข้ายัง…จะกลับมาอีก!” ซีหนิงดิ้นทุรนทุราย จากนั้นก็ระเบิดเปรี้ยง กลายเป็นฝุ่นผงสีดำเหลือคณานับ
ในเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นี้ เขาถูกเส้นสายนับไม่ถ้วนเปลี่ยนร่างมากกว่าครึ่งเป็นผลึก ถ้าไม่ระเบิดตัวตาย เกรงว่าตอนนี้เขาจะถูกเปลี่ยนเป็นแร่ หยุดนิ่งในสภาพมังกรสุญตา
“ไม่ต้องวันหน้าหรอก กลับมาตอนนี้เลยก็แล้วกัน” มารดาศิลาหัวเราะเย็นชา ม่านตาสีทองเข้มค่อยๆ สว่างขึ้น
ในความว่างเปล่าเหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งตามการเชื่อมต่อของความว่างเปล่าชนิดหนึ่งไปยังที่ไกลแสนไกล
ไม่นานนัก แสงทองในดวงตามารดาศิลาก็ริบหรี่ลง
“ไปเถอะ” นางหันกลับมามองลู่เซิ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้า ถนนทองคำปรากฏขึ้นรองสองเท้าของนางเอาไว้โดยอัตโนมัติ
“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างประหลาดใจ
“ทางนี้ไม่เป็นไรแล้ว ซีหนิงยังมีร่างลูกและร่างสภาพอื่นในสถานที่อื่นอีก ข้าทำสัญลักษณ์ไว้หมดแล้ วเพียงจำเป็นต้องไล่ล่าตามสัญลักษณ์ก็พอ นอกจากนี้ยังมีตี้วานั่นอีก จะปล่ อยไปไม่ได้” มารดาศิลาเอ่ยเสียงเรียบ
ลู่เซิ่งพยักหน้า
ซีหนิงไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับเขาและมารดาศิลาในตอนนี้อีกแล้ว แผนการบางส่วนของเขาอาจสร้างปัญหาได้เล็กน้อย แต่ก็เพียงเท่านั้น
ระดับพลังแตกต่างกันมากเกินไป ทำให้เมื่อซีหนิงในเวลานี้สู้พวกเขาไม่ได้เหมือนเด็กตัวเล็กๆ
“จริงสิ ร่างมังกรสุญตาของมันอาศัยพลังสายหนึ่งของตราสูญสลายค้ำยัน ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า” มารดาศิลาดีดนิ้ว พลังสีดำอมเทาสายหนึ่งลอยมาหยุดอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยื่นมือไปจับ ควันดำหลอมรวมเข้ากับการป้องกันของเขา กลายเป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่ประหลาดและซับซ้อนโดยอัตโนมัติ
“นี่คืออะไร”
“แกนกลางของมังกรสุญตา หรือจิตสูญสลายที่เจ้ารู้จัก” มารดาศิลากล่าวเสียงเอื่อย
“ให้ข้าแบบนี้เลยหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างฉงน
“สามกลไกใหญ่ดำรงอยู่ ขอแค่เข้าใจวิธี ไม่ว่าใครก็กระตุ้นพลังสูงสุดได้ เจ้าคิดว่าสิ่งนี้หายากหรือ” มารดาศิลาไม่ยี่หร่ะ “สำหรับพวกเขา การกระตุ้นฉุดดึงจิตสายนี้ออกมาอาจยาก กมาก แต่ในสายตาของพวกเรา สิ่งนี้ไม่ได้สุดยอดอะไรเลย”
ลู่เซิ่งสัมผัสจิตสูญสลายในมืออย่างละเอียด อย่างค่อยเป็นค่อยไป เขารู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังไหลเข้าแขนเขา ไหลเข้าทรวงอกเขา และไหลเข้าแกนกลางของพลังอาวรณ์ที่กำลังทะลักออกมา อย่างไม่หยุดยั้ง
“หือ?” ไม่รอให้เขาสัมผัสอย่างละเอียด มารดาศิลาก็กางถนนทองคำ เตรียมผละไปแล้ว
ลู่เซิ่งได้แต่ตามไป
เขาชมดูอยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้นจนจบ ซีหนิงและตี้วาเผชิญกับมารดาศิลา นอกจากกล่าววาจายั่วยุนางได้แล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้อีก
ซีหนิงหนีหลังจากพ่ายแพ้ ร่างบาดเจ็บสาหัส เสียหายอย่างรุนแรง
การต่อสู้ที่เหมือนเรื่องตลกนี้ขจรขจายไปยังอาณาเขตขุมกำลังที่ไปถึงได้เพราะการประกาศของโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์
ต่อจากนี้คือตามหาสหพันธ์การดำรงอยู่
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งนึกไม่ถึงเมื่อกลับโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ผู้ล่าดาวแห่งสหพันธ์การดำรงอยู่มาเยี่ยมเยือนเขาด้วยตัวเอง
…
“พวกเราไม่คิดว่าผู้อาวุโสมารดาศิลาเป็นภัยพิบัติมาตั้งแต่เริ่มต้น ผู้เข้มแข็งมีกฎของผู้เข้มแข็ง สหพันธ์การดำรงอยู่ของพวกเราเข้าใจจุดยืนและความปรารถนาของโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์เป็น นอย่างดี”
ผู้ล่าดาวที่แก่หง่อมและถือไม้เท้าอธิบายอย่างมีเหตุมีผล
“ก่อนหน้านี้เป็นขุมกำลังความว่างเปล่าป่าวประกาศส่งเดช ความจริงสหพันธ์การดำรงอยู่ของเรามีท่าทีต้อนรับโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสมารดาศิลาเสมอมา ผู้อาวุโสมารดาศิลาเป็นรากฐาน ที่ทำให้สมาชิกส่วนใหญ่ของพวกเราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น” ผู้ล่าดาวว่าต่อ
“ก้อนหิน แร่ธาตุ และอัญมณีทั้งหมดบนโลกใบนี้ ต่างก็แยกตัวและถือกำเนิดจากผู้อาวุโสมารดาศิลา กล่าวได้ว่า รากฐานของสหพันธ์การดำรงอยู่คือส่วนหนึ่งที่แยกตัวและถือกำเนิดจากผู้อา าวุโสมารดาศิลา สมาชิกของพวกเราทุกคนต่างก็ได้รับบุญคุณจากผู้อาวุโส ทุกคนล้วนซาบซึ้งใจอย่างมาก”
ลู่เซิ่งพบผู้ล่าดาวในวังแยกจิตของโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์
ในวังที่ใหญ่โตกว้างขวางมีเพียงเสียงแหบพร่าที่ฉะฉานทรงพลังของชายชราดังสะท้อนไปมาอยู่ชั่วขณะ
“สรุปคือ พวกเจ้ามาสวามิภักดิ์ใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างเอือมระอา
“ถูกต้อง ใต้เท้ามารดาศิลาสูงส่งมิอาจเอื้อมถึง พวกเราต่างได้รับบุญคุณ ไม่อยากจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับท่าน” ผู้ล่าดาวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เทียบกับตอนรับมือขุมกำลังความว่างเปล่าและมารโกลาหล ท่าทีของเขาในตอนนี้ดีขึ้นเยอะ
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ถือว่าสมเหตุสมผล
สำหรับสหพันธ์การดำรงอยู่ ร่างจริงของมารดาศิลาให้กำเนิดอัญมณี ผลึก ก้อนหิน และแร่ธาตุนับไม่ถ้วน
สำหรับพวกเขา มารดาศิลาเป็นผู้อาวุโสที่ถูกจองจำมานานก็เท่านั้น
ใครจะมาปกครองก็ไม่มีข้อแตกต่างใดสำหรับสหพันธ์การดำรงอยู่
ในเมื่อสู้ไม่ได้ อย่างนั้นก็ยอมแพ้ให้สิ้นเรื่อง
“นี่คือความคิดที่แท้จริงของพวกเรา” ผู้ล่าดาวผงกศีรษะ
“ข้าจะบอกต่อมารดาศิลาให้ จากนั้นเล่า” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายอีกรอบ “เกี่ยวกับความเข้าใจผิดของพวกเราที่เคยเกิดขึ้น เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”
“นั่นล้วนเป็นความผิดของซีหนิง ตอนนั้นพวกเราเชื่อซีหนิงเลยตัดสินใจผิดพลาด แต่ยังดีที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด” ผู้ล่าดาวว่าต่อ “เพื่อชดเชยการทำร้ายจิตใจของท่าน พวกเราขอส่งของขวัญชิ้นหนึ่งให้เป็นการเฉพาะ”
ลู่เซิ่งหมดคำพูดจะโต้ตอบ ถึงขนาดติดสินบนกันแล้วหรือ…
เขาเห็นผู้ล่าดาวขยิบตาให้ ใคร่ครวญดู เขากับสหพันธ์การดำรงอยู่เหมือนจะไม่ได้มีความขัดแย้งที่ใหญ่โตเป็นพิเศษจริงๆ
“ก็ได้ ข้าจะบอกความตั้งใจของพวกเจ้าต่อมารดาศิลาตามจริง” ลู่เซิ่งเข้าใจความต้องการของสหพันธ์การดำรงอยู่ พวกเขาคิดว่า มารดาศิลาเป็นประเภทที่ถือกำเนิดจากสสารและพลังงานตั้งแต่ก ก่อนกำเนิดจักรวาล
พูดอีกอย่างก็คือ โดยแก่นแท้แล้ว นางเป็นเทพเจ้าก่อนกำเนิดฝั่งกองทัพอนุภาคนิรันดร์
ไม่ใช่ประเภทอื่นๆ
ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับได้มากกว่าขุมกำลังความว่างเปล่า
นี่เหมือนกับที่ช่วงนี้มีผู้ครอบครองพลังวารีเทาจำนวนไม่น้อยมาสวามิภักดิ์
ลู่เซิ่งเองก็เข้าใจดี นี่ก็เพราะพวกเขายอมรับตนเป็นพวกเดียวกัน นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง
การปรากฏตัวของมารดาศิลาคือมหันตภัยของขุมกำลังความว่างเปล่าและปฏิสุญญตา แต่เป็นที่พึ่งพิงสำหรับสหพันธ์การดำรงอยู่
รับผลึกเก็บของที่ผู้ล่าดาวยัดมาให้โดยไม่แสดงสีหน้า ลู่เซิ่งรับปากอีกรอบว่าจะพูดแก้หน้าให้แก่มารดาศิสิลา
ผู้ล่าดาวค่อยจากไปด้วยความพึงอกพึงใจ
พวกเขาได้ยินมาแต่แรกแล้วว่า มารดารศิลาเอาแต่เก็บตัว มอบอำนาจทั้งหมดให้แก่ลู่เซิ่ง
และลู่เซิ่งก็อยากจะเร้นกายตลอดเวลา
รอจนกลายเป็นพวกเดียวกัน เมื่อมารดาศิลาเก็บตัว ลู่เซิ่งเร้นกาย อำนาจจะต้องมีผู้ใช้งาน ถึงเวลานั้นใครเหมาะสมสุด ย่อมเป็นขุนนางเก่าที่มาสวามิภักดิ์ทันทีอย่างพวกเขาไม่ใช่หรือ
‘เจ้าคิดเจ้าแผนการจริงๆ’ ลู่เซิ่งส่งผู้ล่าดาวไปเสร็จก็หัวเราะอย่างเหน็บแนม
เขาออกจากวังใหญ่ ร่างกายกะพริบแล้วไปโผล่หน้าประตูวังหลักที่มารดาศิลาอยู่
ประตูวังหลักอ้าอยู่ สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่เขาอยู่บ้างก็คือ มารดาศิลากำลังคุยกับคนที่เขารู้จักดีอยู่บนโถง
“สามีข้าพี่ท่าน...” หวังจิ้งเห็นลู่เซิ่งมาก็รีบลุกขึ้น เผยรอยยิ้มออกมา
“เจ้ามาได้อย่างไร” ลู่เซิ่งถาม ก่อนถลึงตามองมารดาศิลา นางจะต้องเป็นคนพาหวังจิ้งมาขู่เขาแน่
“เหตุใดข้ามาไม่ได้เล่า” หวังจิ้งสวมกระโปรงดำถุงน่องขาว รูปร่างหุ่นสูงชะลูดและบอบบางชดช้อย แต่งตัวตรงกันข้ามกับตอนที่ลู่เซิ่งเจอเป็นครั้งแรก
“ข้าเห็นเจ้ายุ่งมาก ตัวเองอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเรียกภรรยาเจ้ามากินอาหารคุยกัน ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าอยู่ด้วย ใครหน้าไหนก็ทำร้ายนางไม่ได้!”
มารดาศิลาตบไหล่ลู่เซิ่งด้วยท่าทางใจกว้าง
“อือ ท่านพี่ศิลาสอนหลายสิ่งหลายอย่างให้ข้า สิ่งที่ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เข้าใจ ตอนนี้กลับกระจ่างทุกอย่างนอกจากนั้น ท่านพี่ยังรับลูกสาวเราเป็นลูกบุญธรรมแล้วด้วย!” ตอนนี้หวังจิ งไม่ติดอ่างแล้ว นิสัยยังคงเย็นชา แต่ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
“…” นางเคลื่อนไหวเร็วทีเดียว ลู่เซิ่งหมดคำพูด
“เจ้ายังคิดจะเร้นกายอยู่อีกหรือ ข้าขอบอกเจ้าเลยนะ ขุนนางใหญ่ซ่อนตัวหลังบัลลังก์ เจ้าเป็นผู้ช่วยข้า มีอำนาจมหาศาล สะกดทุกสิ่งอย่าง นี่ยังไม่ใช่การเร้นกายอย่างหนึ่งหรือ เจ้ าคิดดูดีๆ ถึงเวลาใครจะทราบว่าเจ้ากำลังเร้นกาย มีใครนึกได้บ้างว่าผู้ช่วยที่รับใช้อยู่ใต้บัลลังก์ทุกวัน ทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งและอำนาจล้นฟ้ากำลังเร้นกายอยู่ บอกไปจะมีใครเช ชื่อ”
มารดาศิลากล่าวอย่างมีเหตุมีผลมาก
แต่ลู่เซิ่งไม่ใช่คนโง่ ไม่ได้มองว่าง่ายขนาดนั้น
“คนอื่นๆ จะเร้นกายต้องออกท่องเที่ยว พักผ่อนทั้งวัน ท่านว่าถ้าข้าทำอย่างที่ท่านบอก นับเป็นการเร้นกายหรือ”
“อยากใช้ชีวิตแบบไหนก็ใช้ตามใจตัวเองเถอะ ให้ใจเจ้าตัดสินว่าเจ้ากำลังจะใช้ชีวิตแบบไหน” มารดาศิลามอบคำพูดปลุกใจให้แก่ลู่เซิ่ง
หวังจิ้งที่อยู่ด้านข้างป้องปาก อดหัวเราะไม่ได้
“เอาล่ะ ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อจะบอกท่านว่า สหพันธ์การดำรงอยู่คิดสวามิภักดิ์ พวกมันมองว่าท่านเป็นผู้อาวุโสสายเดียวกัน ดังนั้นจึงมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันและความรู้สึกมีเกีย ยรติรุนแรงมาก เลยมาขอสวามิภักดิ์กับท่านเอง ท่านอยากจะทำอย่างไร” ลู่เซิ่งกล่าวตรงๆ
“เจ้าตัดสินใจเลย! ข้ารับไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องมาถาม! ปวดหัว!” มารดาศิลาพลันกุมหน้าผาก “ตอนนี้ข้าฟังเรื่องพวกนี้แล้วเหนื่อยใจ ต่อจากนี้เรื่องเล็กๆ แบบนี้เจ้าจัดการเองได้เลย อย่ามา ากวนข้า!”
จากนั้นนางยังเสริมอีกประโยค “ข้าแค่อยากกเที่ยว!”
“…” ลู่เซิ่งเอือมระอา คำพูดแบบนี้ฟังแล้วอยากกระทืบคน!
ถึงแม้การมอบอำนาจให้จะทำให้เขามีอิสระ แต่ปัญหาคือท่าทีแบบนี้ทำให้คนเกิดโทสะโดยไม่รู้ตัว
“ท่านไม่ใช่อยากปกครองสามขุมกำลังใหญ่หรอกหรือ”
“ไม่อยากแล้ว ใครอยากก็ไปทำเอง!”
“ความทะเยอทะยานของท่านในตอนแรกเล่า”
“ตอนนี้ข้าหมดอารมณ์ ไม่อยากทำแล้ว เจ้ารับช่วงต่อข้าที ไม่อย่างนั้นพวกเราเร้นกายด้วยกันให้สิ้นเรื่องสิ้นราว” มารดาศิลาคิดถอยก็ถอยทันที
“ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยสั่งสอนลูกสาวให้เจ้า ฉวยโอกาสตอนลูกสาวเจ้ายังไม่เกิด ข้าจะช่วยเจ้าปั้นใบหน้าให้เอง” หลังนางนึกถึงส่วนสนุกแล้ว สองตาก็เป็นประกาย “อยากจะปั้นแบบไหนก็ป ปั้นได้ทั้งนั้น ฮ่า น่าสนุกจริง!”
“…” ลู่เซิ่งไม่ทราบว่าเอือมระอาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว
มารดาศิลาที่เจอเป็นครั้งแรกยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งมาก รังสีแสงทองที่แกร่งที่สุดตั้งแต่กำเนิดโชติช่วงชัชวาล
จากนั้นเขาก็เริ่มพบว่านางขี้เกียจมาก ชอบเก็บตัวอยู่เฉยๆ
จากนั้น หลังจากคุ้นเคยกัน เขาก็รู้ว่านางนี่มันตัวตลกชัดๆ
“ไม่อย่างนั้น พวกเราอยู่ช่วยท่านพี่ศิลาเถอะ นางน่าสงสารออก...” หวังจิ้งกระซิบด้วยรอยยิ้ม
เอาแล้ว…นี่ที่เขาเรียกว่าเข้าทางเมียใช่ไหม
“…” ลู่เซิ่งไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
เขามองมารดาศิลาที่ทำหน้าซื่อบื้อ จากนั้นก็มองดูสูตรวัฏจักรในกรอบดีปบลูที่ยกระดับถึงขั้นหกแล้ว
เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองพัฒนาพลังมาแทบตายเพื่ออะไรกันแน่
……………………………………….