ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1212 บทสรุป (2)
“หือ?”
ลู่เซิ่งพลันลืมตาขึ้นจากการฝึกฝน แล้วมองมารดาศิลาที่หลับตาทำสมาธิอยู่ใกล้ๆ อย่างไม่รู้ตัว
นางเหมือนตื่นตัวเพราะบางสิ่ง ลืมตาขึ้นเช่นกัน
เมื่อมาถึงระดับพวกเขา สัมผัสและการกระตุ้นต่อสามพลังสูงสุดของสูตรวัฏจักรที่ฝึกฝนจะอยู่เหนือการดำรงอยู่ทั่วไป
นี่เป็นที่พึ่งยิ่งใหญ่อันแข็งแกร่งเหนือจินตนาการที่ทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่เหนือกว่าการดำรงอยู่ทั่วไปได้
“มีบางอย่างกำลังเข้าใกล้…เร็วมากด้วย!” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้ม
ทั้งสองจัดการภารกิจอยู่ในวังหลักเหมือนอย่างเคย
วังหลักมีค่ายกลพิเศษนับไม่ถ้วนช่วยขยายการสัมผัส นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่พวกเขาค้นพบความผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
“น่าสนใจ คลื่นที่มีกลิ่นอายระดับนี้…” มารดาศิลาผุดสีหน้าสนอกสนใจ
นางผลักผลไม้ที่ส่งมาจากด้านข้างออก แล้วลุกขึ้นจากบัลลังก์
“เดี๋ยวข้ากลับมา”
พูดจบไม่รอลู่เซิ่งตอบ มารดาศิลาก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ถนนทองคำปรากฏโดยอัตโนมัติ จากนั้นร่างนางก็หายไปในทันที
เดิมทีลู่เซิ่งคิดจะตามไปด้วย แต่นึกดูอีกทีก็ทรุดนั่งลงใหม่
มาถึงตอนนี้ ขอแค่เป็นการปะทะซึ่งหน้า เขาไม่คิดว่ามารดาศิลาจะพ่ายแพ้ให้ใคร
แตกต่างกันตรงที่อีกฝ่ายจะทนได้นานไหมเท่านั้น
เขาก้มหน้าลงมองสูตรวัฏจักรที่อยู่ในขั้นสิบสามกลางกรอบ ก่อนจะฝึกฝนต่อไปอย่างเงียบๆ
ความจริงเป้าหมายสุดท้ายของสูตรวัฏจักรก็คือการควบคุมสามพลังสูงสุด
ยิ่งระดับสูตรวัฏจักรและพลังควบคุมสูงเท่าไหร่ สามพลังใหญ่ที่ใช้ได้ก็ยิ่งมหาศาลเท่านั้น
จนถึงตอนนี้ลู่เซิ่งยังไม่เคยเห็นมารดาศิลาลงมือสุดกำลัง ตามการวินิจฉัยของเขา การฝึกฝนสูตรวัฏจักรของมารดาศิลา แม้คุณสมบัติจะย่ำแย่อย่างไร หลังจากสั่งสมมาหลายปี ก็จะต้องไปถึงระดั บมากกว่าเก้าสิบแล้วแน่นอน!
ปกตินางน่าจะอยู่ในสภาพกดข่มพลังตัวเอง แต่ลู่เซิ่งมีสายตาเฉียบแหลม มองทุกอย่างออกมานานแล้ว
เขาคิดว่าตัวเองอ่อนแอเกินไป จึงศึกษาสูตรวัฏจักรต่อ
ไม่นานนัก เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์สั่นสะเทือนทีหนึ่ง
ด้านนอกเริ่มสู้กันแล้ว
ตูม!
วังโคลงเคลงอีกรอบ
‘ท่าทางจะครึกโครมมาก แม้แต่ค่ายกลที่เรากางไว้ก็ยังสั่นได้’ ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย สัมผัสอย่างละเอียด ขยายจิตวิญญาณออกไปนอกโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์
กลิ่นอายที่ปันป่วนไม่ชัดเจนสายหนึ่งกำลังสู้กับมารดาศิลาอยู่ด้านนอกอย่างดุเดือด
แต่เห็นได้ชัดว่ามารดาศิลาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
‘นี่เป็นโอกาสได้สังเกตการณ์พลังของมารดาศิลาพอดี’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ หยุดการฝึกฝน แล้วเพิ่มพลังจิตวิญญาณเพื่อสังเกตด้านนอกต่อไป
การเคลื่อนไหวด้านนอกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พลังสูงสุดจำนวนมากถูกมารดาศิลากระตุ้นให้รวมตัว แสดงให้เห็นว่านางใช้สูตรวัฏจักรอย่างแท้จริงแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งประหลาดใจก็คือ สูตรวัฏจักรที่มารดาศิลาใช้มีอานุภาพอยู่แค่ราวขั้นเก้าเท่านั้น
‘ยังจะซ่อนพลังไว้อีก แต่คู่ต่อสู้ฝั่งตรงข้ามไม่ได้จะขับไล่ง่ายๆ นะ’ ลู่เซิ่งยังคงไม่เคลื่อนไหว
เขารู้สึกว่าครั้งนี้น่าจะได้เห็นพลังแท้จริงจรองของมารดาศิลาแล้ว
…
กลางมิติมหภาค
ผลึกสามเหลี่ยมปรากฏด้านหลังมารดาศิลา แสงทองนับไม่ถ้วนสาดไปรอบๆ ส่องสว่างสรรพสิ่ง
ตรงหน้านางคืออมนุษย์เขาแหลมที่ทั้งตัวคือขนปีกสีเทา
อีกฝ่ายไม่มีบุคลิกทรงอำนาจแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกคุกคามที่ส่งออกมาอย่างเลือนรางทำให้มารดาศิลาเกิดความไม่แน่ใจเป็นครั้งแรก
“จะว่าไป ตอนข้าปรากฏตัวในวัฏจักรก่อน เจ้าก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอกัน” อมนุษย์เผยรอยยิ้มประหลาด “ก่อนถูกจองจำ เจ้าปกครองและสะกดทุกสิ่ง หลังทำลายผ ผนึก ทุกอย่างจะเป็นของข้า”
“พล่ามมากเสียจริง จะสู้ก็สู้เสีย” มารดาศิลากล่าวเสียงเข้ม ในการต่อสู้สั้นๆ เมื่อครู่ นางได้แผลสีเทาบนแก้มที่ไม่สามารถสมานตัวได้มา
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักนาง แต่ปัญหาก็คือนางไม่มีภาพความทรงจำต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นางใช้สูตรวัฏจักรขั้นเก้าแล้ว สามพลังสูงสุดที่รวมออกมา ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรืออาณาเขต ล้วนเหนือกว่าก่อนหน้านี้
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ปล่อยให้นางรวมสามพลังใหญ่ตามสบาย
“สามพลังใหญ่ไร้ผลต่อข้า” อมนุษย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลีกไปซะ ชะตาชีวิตของข้าคือการคืนสมดุลให้ทุกอย่าง ไม่คิดจะเป็นศัตรูกับเจ้า”
“ไร้ผลหรือ?” มารดาศิลาผุดสีหน้าเย็นเยียบ “ในเมื่อฉวยโอกาสตอนข้าไม่ทันระวังทำร้ายข้า ตอนนี้กลับบอกว่าไม่อยากเป็นศัตรูกับข้า คิดไล่ข้าไปหรือ”
แสงสีทองด้านหลังนางนิ่งไปเล็กน้อย สามพลังสูงสุดสีขาว สีเทา และสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นวังวนสามสี ยึดครองตำหน่งข้างใต้นางด้วยความเร็วสูง
“จงสำแดง ต้นกำเนิดทุกสิ่ง พลังสูงสุด” นางเหยียบเข้าไปในวังวน
“ยังไม่ตัดใจอีกหรือ” อมนุษย์ลอยเข้าหามารดาศิลาช้าๆ
“โอหัง!” มารดาศิลายื่นสองมือออกมาคว้าด้านหน้า
มิติเวลารอบๆ ถูกตรึง
วังวนสามสีข้างใต้ตัวนางพลันพุ่งออกมา ก่อนกลายเป็นวงล้อวงหนึ่งพุ่งใส่อมนุษย์ด้วยความเร็วสูง
ตูม!
วงล้อระเบิดอย่างฉับพลันกลางทาง แล้วเปลี่ยนเป็นลำเสาแสงสามสีผสมกัน ปะทะร่างอมนุษย์อย่างแรง
ในเวลาเดียวกัน กลางมิติเวลาที่แข็งตัวรอบๆ พากันปรากฎรอยแตกสีดำจำนวนเหลือคณานับ ร่องแยกทั้งหมดเหยียดยื่นไปบนร่างอมนุษย์ มิติเวลากำลังฉีกกระชากอมนุษย์ด้วยการกระตุ้นพลังของ งมารดาศิลา
แต่ภาพประหลาดพลันบังเกิด
ลำเสาแสงที่เดิมควรเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงหายวับไปอย่างฉับพลัน
ส่วนรอยแตกมิติเวลาทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้สุ้มเสียง เหมือนกับไม่มีรอยแตกดำรงอยู่ตั้งแต่ต้น
“ใช้ได้นี่” มารดาศิลาสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น ผลึกสีทองส่งเสียงแตกจากด้านหลัง
นางพลิกมือชักกระบี่งดงามสีทองคำขาวเล่มยาวออกมาจากผลึกสามเหลี่ยม
สามพลังสูงสุดจำนวนมากรวมตัวกันข้างใต้เท้านางด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง สามพลังในครั้งนี้รวมตัวเป็นรูปร่างไข่มุกเม็ดหนึ่ง ก่อนจะลอยขึ้นฝังตัวเข้ากลางกระบี่ยาว
ฟ้าว
ตัวกระบี่ปล่อยสายฟ้าสีเทาหลายสายออกไปรอบๆ โดยมีไข่มุกเป็นศูนย์กลาง
“สายฟ้าความโกลาหล แม้แต่สิ่งนี้ก็เลียนแบบได้หรือ” อมนุษย์เอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เจ้ารู้จักสิ่งนี้ด้วยหรือ” มารดาศิลางุนงงเช่นกัน เวลานี้นางยกระดับอมนุษย์ที่โผล่มาอย่างอธิบายไม่ได้ตนนี้ถึงระดับการคุกคามสูงสุดแล้ว
“แน่นอน...ถ้าทุกครั้งที่เจ้าหลับมีสิ่งนี้คลานไต่อยู่รอบตัว เจ้าก็จะคุ้นเคยเป็นอย่างดีเช่นกัน” อมนุษย์เอ่ยยิ้มๆ
มารดาศิลาได้ยินดังนั้นจิตใจก็เย็นเฉียบ
นางพอจะเดาออกแล้วว่าคนคนนี้คือใคร
เพียงแค่เจ้านี่ไม่น่าจะโผล่มาตอนนี้สิ! ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา!
จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นแน่ ถึงทำให้ทางความโกลาหลเกิดปัญหา
“นึกออกแล้วใช่ไหม” อมนุษย์ถามด้วยรอยิ้ม “สรุปจะสู้อีกหรือไม่”
“ถึงจะเป็นเจ้า…ข้าก็ไม่มีทางยอมแพ้” มารดาศิลากล่าวเสียงขรึม ก่อนจะยกกระบี่ยาวขึ้นช้าๆ
ฟ้าว!
คมกระบี่สีทองคำขาวยื่นขยายไปด้านนอกหนึ่งช่วงใหญ่ มองไกลๆ คมกระบี่ยาวยิ่งกว่าร่างกายนางหลายเท่าตัว
“ขอสาบานด้วยนามแห่งแหล่งกำเนิดของข้า กระบี่ธาตุ…จงมา!”
มารดาศิลาพลันชูตัวกระบี่ขึ้น
ตูม!
ก้อนหินนับไม่ถ้วนพลิกม้วนปรากฏด้านหลังคมกระบี่ กระแสเสาควันสีขาวอมเทาสี่สายต้นระเบิดจากปลายกระบี่ไปยังรอบๆ
กระแสเสาควันพุ่งไปที่ไกลโพ้นซึ่งมองไม่เห็นปลายทาง เส้นสายหลากสีสันอันมหาศาลลอยออกมาจากกลางอวกาศในมิติมหภาคเหมือนกับโดนแม่เหล็กดูด
เส้นสายพวกนี้คือแร่ธาตุนับไม่ถ้วนที่ถูกบีบอัดรวมตัวในระดับสูง
เส้นสายแร่ธาตุรวมตัวกันในกระแสเสาควันสี่สายต้น ย้อมเสาแต่ละสายต้นเป็นสีทอง ขาว แดง และดำ
“กระบี่ต้นกำเนิดฟ้าดิน!”
แสงสีทองรอบตัวมารดาศิลากลายเป็นแร่แล้วส่งเสียงแตกหัก ราวกับแบกรับภาระไม่ไหว
นางผุดสีหน้าเคร่งขรึม ใส่พลังและจิตวิญญาณทั้งหมดไปในการโจมตีนี้ ขณะเดียวกันสูตรวัฏจักรขั้นเก้าก็กระตุ้นสามพลังใหญ่ให้หลอมรวมเข้ากระบี่อย่างต่อเนื่อง ย้อมกระบี่เป็นสีดำอม เทา
“ไม่มีประโยชน์หรอก...เจ้าควรจะเข้าใจความหมายในการดำรงอยู่ข้างข้า” อมนุษย์เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นี่คือความภาคภูมิใจทั้งหมดของข้า” มารดาศิลาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ถ้ารับได้ เจ้าก็เอาทุกอย่างไปเลย!”
เวลานี้คมกระบี่ขนาดมหึมารวมตัวกันจนถึงระดับที่สว่างเจิดจ้าไม่อาจมองตรงๆ ได้
ด้ามกระบี่ที่นางจับแน่นด้วยสองมือเริ่มเกิดรอยแตก อาวุธไร้คู่ต่อกรที่นางใช้ความอุตสาหะนับไม่ถ้วนหลอมสร้างขึ้นเล่มนี้ใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว
“สังหาร!”
ทันใดนั้นนางก็ฟันลงสุดกำลัง
มิติเวลารอบๆ เหมือนถูกฉุดรั้งจนบิดกลายเป็นก้อน พร้อมพุ่งใส่อมนุษย์อย่างรุนแรง
ทุกสิ่งรอบจักรวาลมหภาคต่างแหลกสลายบิดเบี้ยว ทั้งหมดเหมือนถูกจับใส่ในเครื่องปั่น
คมกระบี่เจิดจรัสพร้อมกับแก่นสารสายแร่ที่รวมตัวจากจักรวาลนับไม่ถ้วนฟันใส่ทรวงอกอมนุษย์
เคร้ง!
คมกระบี่ถูกนิ้วหนึ่งป้องกันไว้
สองตาที่ฉายแววบางคลั่งของมารดาศิลาลืมขึ้นช้าๆ จากนั้นก็เหมือนสูญเสียประกายไป นางไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าพลังทั้งหมดของตนจะได้รับผลลัพธ์แบบนี้
“ถึงได้บอกไงว่าไม่มีประโยชน์” อมนุษย์ตั้งนิ้วขึ้นแตะคมกระบี่เบาๆ
เปรี้ยง!
การสั่นสะเทือนไร้รูปร่างที่ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งกระแทกกระบี่อย่างหนักหน่วง
มารดาศิลาปลิวกระเด็นออกไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ กระบี่ในมือกลายเป็นฝุ่นโปร่งแสงอย่างไร้สุ้มเสียง
อมนุษย์ฉีกยิ้ม ก่อนเดินไปทางอนุภาคนิรันดร์ต่อ
ที่นั่นต้องผ่านโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์
ข่ายอาคมป้องกันจำนวนนับไม่ถ้วนที่โลกศิลาศักดิ์สิทธิ์ตั้งไว้พังทลายอย่างเงียบเชียบเมื่อเขาเดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นข่ายอาคมประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีสะท้อนกลับใดๆ ล้วนเข้าใกล ล้อาณาเขตหนึ่งเมตรรอบตัวเขาไม่ได้
มารดาศิลาปลิวออกไป หัวสมองขาวโพลน เลือดสีทองคำขาวกลุ่มใหญ่ทะลักออกมาจากปาก
กระบี่นั่น นางได้ฟันจุดสูงสุดของตัวเองออกมาแล้ว น่าเสียดายที่ยังพ่ายแพ้…สิ่งที่นางรับไม่ได้คือ ถึงกับแพ้อนาถขนาดนี้
“มังกรจักรพรรดิโกลาหล…ราชาสมดุล...ดีสเฟยการ์…ขอบคุณเจ้า ที่ทำให้ข้าได้ลิ้มลองรสชาติความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก...”
นางหลับตา หัวสมองเดือดพล่านพลิกตัว ความคิดนับไม่ถ้วนไหลผ่านด้วยความเร็วสูง คิดหาวิธีเอาชนะอีกฝ่าย
แต่ไม่ว่านางจะไตร่ตรองอย่างไร ก็ไม่มีความเป็นไปได้ใดที่เอาชนะอีกฝ่ายได้
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนชนใส่อ้อมอกที่อ่อนโยน
“เจ้า…!” มารดาศิลาลืมตา เห็นใบหน้าของลู่เซิ่งที่อยู่ใกล้แค่คืบ
“เหตุใดไม่ใช้สูตรวัฏจักรขขั้นเก้าสิบของท่านเล่า” ลู่เซิ่งถามเสียงเข้ม
มารดาศิลาแน่นอก เกือบหายใจไม่ออก
นางพัฒนาสูตรวัฏจักรได้ทั้งหมดเก้าขั้น เอาขั้นเก้าสิบมาจากไหน เจ้านี่เกรงว่าจะเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่
“มีทั้งหมดเก้าขั้นเท่านั้น! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เอาขั้นเก้าสิบมาจากไหน!
“ทั้งหมดมีเก้าขั้นหรือ” ลู่เซิ่งพลันงุนงง
“ไร้สาระ! ไม่อย่างนั้นทำไมข้าถึงไม่…” ทันใดนั้นมารดาศิลาก็หยุดชะงัก แล้วก้มลงมองตัวเอง
แม้นางจะอยู่ในอ้อมอกลู่เซิ่ง แต่ระหว่างทั้งสองมีระยะห่างโปร่งแสงและไร้รูปร่างกั้นไว้อย่างแน่นหนา
นางยื่นมืออกมาคิดจะลูบมือของลู่เซิ่ง แต่มือก็ถูกพลังไร้รูปร่างกั้นไว้เช่นกัน
“นี่มัน…โลกไร้ขอบเขตหรือ?” ความรู้สึกนี้เหมือนกับระยะห่างสัมบูรณ์รอบตัวมังกรจักรพรรดิโกลาหลเมื่อครู่ไม่มีผิด
“ชื่อนี้หรอกหรือ นี่เป็นสิ่งที่ปรากฏมาตอนข้าทะลวงสู่ขั้นสิบเอ็ดของสูตรวัฏจักรโกลาหลสำเร็จ ไม่รู้ว่าระดับความแข็งแกร่งเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงสัย
“ขะ…ขั้นที่สิบเอ็ด…!
มารดาศิลาเหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองสลาย
นางพยายามมาหลายสิบล้านปีถึงจะฝึกสูตรวัฏจักรสำเร็จ…แต่ลู่เซิ่งกลับ…
“ไปเถอะ เจ้านั่นใกล้จะเข้าไปในโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์แล้ว” ลู่เซิ่งวางมารดาศิลาลง มองทิศทางของมังกรจักรพรรดิโกลาหลอยู่ไกลๆ
ในตอนที่เห็นคนคนนั้น เขาเกิดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เหมือนมีโอกาสเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงบางอย่าง
เวลานี้มารดาศิลายังตกตะลึง ไม่รู้ควรจะตอบสนองอย่างไรดี
ลู่เซิ่งถือโอกาสจับแขนนางแล้วก้าวไปด้านหน้า ภาพด้านหน้าทั้งงสองเปลี่ยนแปลง ถึงกับเคลื่อนย้ายในพริบตามาถึงด้านในโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์ ขวางทางมังกรจักรพรรดิโกลาหลไว้พอดิบพอดี
ข่ายอาคมและค่ายกลนับไม่ถ้วนกำลังแหลกสลายไปรอบตัวดีสเฟย์การ์อย่างต่อเนื่อง เขายังคงเดินหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทันใดนั้นก็มีคนสองคนโผล่มาด้านหน้า คนหนึ่งคือมารดาศิลาที่เขาเพิ่งพบเจอ ส่วนอีกคน…
“หือ?” ดีสเฟย์การ์พลันลืมตากว้าง มองดูลู่เซิ่งด้วยท่าทางที่ทำให้คนคิดลึก
“นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอผู้เข้มแข็งที่บรรลุโลกไร้ขอบเขตที่นี่”
เขาพิจารณาลู่เซิ่ง จากนั้นก็มองไปยังทางอนุภาคนิรันดร์ เกิดความกระจ่างอย่างฉับพลัน
“ถึงว่าทำไมทางนั้นจึงเสียสมดุลรุนแรงขนาดนี้ ที่แท้เจ้าก็ปกครองที่นี่”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เขากลับไม่คิดลงมือก่อน ถ้าพูดให้ถูกต้องคือ อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือมาตั้งแต่ต้น
อาการบาดเจ็บของมารดาศิลาส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะใช้พลังมากไปจนทำร้ายตัวเอง
“หรือเจ้าจะไม่รู้ว่าการดำรงอยู่ไร้ขอบเขตจะสร้างแรงกดดันมหาศาลให้แก่มิติเวลารอบๆ ตัว พวกเราก้าวข้ามขอบเขตที่สถานที่นี่รองรับได้ไปแล้ว ดังนั้นความโกลาหลและความว่างเปล่าถึงได้ รวมพลังกันอัญเชิญข้ามา เพื่อเข้าสู่มหาวัฏจักรถัดไป”
มังกรจักรพรรดิโกลาหลอธิบาย
“พูดอีกอย่างก็คือล้างไพ่จบเรื่องราว”
“อีกอย่าง บนตัวเจ้ายังมีความรู้สึกที่ข้าคุ้นเคย…ก่อนหน้านี้ไม่นานข้ายังเคยเจอกลิ่นอายคล้ายๆ กันจากตัวคนที่ชื่อแองเจล...” เขาแสดงสีหน้าย้อนรำลึก “เขาอยู่ด้านนอกไม่ไกล”
“ความรู้สึกคุ้นเคยหรือ?” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
“หรือเจ้าไม่อยากจะหาสาเหตุที่เจ้ามาที่นี่หรือ หรือควรพูดว่า เจ้าไม่คิดตรวจสอบแหล่งกำเนิดของความสามารถนั้นให้เข้าใจหรือ” จู่ๆ มังกรจักรพรรดิโกลาหลก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เขา
“…” ลู่เซิ่งตกใจ ถูกต้อง สาเหตุของการกำเนิดดีปบลูเป็นส่วนที่เขาให้ความสำคัญที่สุดเสมอมา เพียงแต่อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ามานี่ อย่างนั้นข้าไปก่อน จำไว้ว่าถ้าคิดจะหาต้นกำเนิดให้เจอ”
เขาดีดนิ้ว แหวนฝังอัญมณีสีฟ้าที่เล็กกระทัดรัดและหยาบกระด้างวงหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง
“นี่เป็นเครื่องมือติดต่อกับเจ้านั่น ดูเหมือนเจ้าจะต้องติดต่อกับเขาสักหน่อย”
มังกรจักรพรรดิโกลาหลไม่พูดมากอีก หมุนตัวบินไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็หายไปในม่านความมืด
ลู่เซิ่งหยิบแหวนมาตรวจสอบอย่างละเอียด
เห็นบนแหวนสลักตัวอักษรแถวหนึ่งไว้อย่างชัดเจน
‘มอบให้สหายข้า แองเจล ลีโอ – ทำมือโดยแกลเลียน’
ลู่เซิ่งกำแหวนไว้แน่น หยีตามองทิศทางที่จักรพรรดิมังกรโกลาหลจากไป เขารู้แล้วว่าตนเองอาจต้องมุ่งหน้าต่อจริงๆ…