ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 1213 บทสุดท้าย
คำพูดในตอนที่มังกรจักรพรรดิโกลาหลจากไปเหมือนแทงใจดำลู่เซิ่ง เขานึกมาkโดยตลอดว่าตนคือหนึ่งเดียวไม่มีสอง และความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ในมิติมหภาคแห่งนี้มีเพียงเขาเท่านั้น ที่มีความสามารถแข็งแกร่งอย่างดีปบลู
ถูกต้อง เขานึกมาโดยตลอดว่าดีปบลูเป็นความสามารถพิเศษของเขา
เขาเดินมาถึงระดับปัจจุบันได้โดยใช้ความพยายมของตัวเองเป็นหลัก และใช้ดีปบลูเป็นรอง
แต่แหวนที่มังกรจักรพรรดิโกลาหลทิ้งให้เขาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาสัมผัสความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ได้ถูกได้อย่างล้ำลึก
“ข้าคิดจะออกไปดู”
ยืนอยู่เหนือเขาผลึกวนเวียนลูกหนึ่งในโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์ ลู่เซิ่งกล่าวกับหวังจิ้งที่กำลังดื่มชาอยู่ด้านข้างเงียบๆ
หวังจิ้งท้องโตมากแล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าจะคลอด “อยากทำอะไรก็ไปเถอะ ไม่ว่าท่านตัดสินใจอะไร ข้าก็จะรอท่าน”
นางยิ้มพลางวางถ้วยชาในมือลง
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ควรกลับไปรับการฝากฝังของอาจารย์ข้าเช่นกัน นครโอนารอข้ามาโดยตลอด” นางมีกิจการของตัวเองแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างให้เป็นห่วง อาจารย์ทุ่มเทสิ่งต่างๆ เพื่อน นาง ให้นางทอดทิ้งฝั่งนั้นเพื่อครอบครัวของตัวเอง การกะทำแบบนี้ หวังจิ้งทำไม่ได้
“ที่เจ้าพูดก็ถูก” ลู่เซิ่งยิ้มเช่นกัน การดำรงอยู่แข็งแกร่งเช่นพวกเขาจะจำกัดโลกของตัวเองเพราะการแต่งงานได้อย่างไร
การแต่งงานกันไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ด้วยกันเสมอไป
ลู่เซิ่งอ้าปากคิดจะพูดอะไร ทันใดนั้นสตรีงดงามที่สวมกระโปรงสั้นแนบเนื้อคนหนึ่งก็เดินออกมาจากในป่าผลึกสีแดงไกลออกไป
“พวกเจ้าสองคนยังอยู่ที่นี่อีกหรือ เสี่ยวจิ้งงานเลี้ยงขาดเจ้านะ รีบหน่อยๆ!” นางก็คือมารดาศิลาที่ทามาสคารา
หลังจากที่รู้ว่าลู่เซิ่งก้าวข้ามนาง ฝึกฝนถึงสูตรวัฏจักรขั้นสิบเอ็ดที่ไม่เคยมีมาก่อน มารดาศิลาก็ยอมแพ้ทันที บอกว่าต่อจากนี้ตนเองจะหลีกทางให้ นับแต่นี้เป็นต้นไปผู้นำของโลกศ ศิลาศักดิ์สิทธิ์คือเขา
จากนั้นนางก็ไม่รีรอ ทิ้งภาระหน้าที่อย่างเปิดเผย วันๆ เอาแต่ปลอมแปลงสถานะ แทนที่จะบอกว่าปลอมตัวไปเยี่ยมชมชีวิตชาวบ้าน ความจริงแค่ปลอมเป็นคนอื่นเพื่อกลั่นแกล้งเท่านั้น
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ ทุกครั้งหากการกลั่นแกล้งเกิดปัญหา เวลานางมีเรื่องอะไรก็จะลากหวังจิ้งไปเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
เริ่มตั้งแต่ถูกทารุณกรรม สถานะต่ำต้อยไม่สะดุดตา จู่ๆ ก็ทะยานขึ้นเกาะกิ่งไม้กลายเป็นหงส์ เล่นงานคนที่เคยทำไม่ดีกับนางเหล่านั้นอย่างสาหัส!
มารดาศิลาเล่นละครแบบนี้อย่างเพลิดเพลินทุกครั้ง
“ไปเถอะ ข้าจะไปเยี่ยมเหล่าสหายเสียหน่อย มาถึงระดับข้า ต่อให้คิดฆ่าตัวตายก็ไม่มีปัญญา” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หวังจิ้งหัวเราะพลางพยักหน้า แล้วลุกขึ้นติดตามมารดาศิลา กลายเป็นแสงรุ้งเหาะผละไปในพริบตา
เหลือลู่เซิ่งนั่งอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว
เขาหยิบถ้วยชาที่หวังจิ้งชงให้เขาขึ้นจิบเบาๆ
ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป
“นี่มัน…ยาพิษ!? ยาพิษที่สกัดกจากแกนจักรวาลเน่า…ทั้งยังผสมพิษที่ใกล้สูญหายอีก อย่างน้อยหลายแสนชนิด…”
เขาสีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุด
“เสี่ยวจิ้ง…ทำไมกัน…” ลู่เซิ่งหลับตา วางถ้วยชาลง
“ทำไมกัน…”
“ข้าบอกให้เพิ่มปริมาณเป็นสิบเท่าไม่ใช่หรือ ทำไมรสชาติถึงได้จางขนาดนี้! นอกจากนี้ข้าบอกแล้วว่าให้ใช้พิษความบริสุทธ์สูง! คิดใช้พิษผสมหลอกข้าหรือ”
เขาใช้เงินมหาศาลว่าจ้างผู้เข้มแข็งให้รวบรวมพิษระดับสุดยอดจำนวนมาก เพราะร่างกายร่างนี้แข็งแกร่งเกินไป ความเผ็ดธรรมดาไม่มีความหมายสำหรับเขา ตอนนี้กินอะไรก็ไม่รู้รสชาติแล้ว
ในสายตาเขา การกระตุ้นจากพิษไม่แตกต่างอะไรจากพริกเม็ดเล็กๆ ทั้งยังเป็นพลิกเม็ดเล็กที่รสชาติอ่อนมาก
น่าเสียดายที่ค่าใช้จ่ายซึ่งเขาใช้ในเรื่องนี้มักถูกหวังจิ้งระงับไว้
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่านี่ต้องเป็นฝีมือของมารดาศิลาแน่
คนอย่างหวังจิ้งไม่มีทางตระหนี่ในเรื่องพวกนี้เด็ดขาด
ลู่เซิ่งวางถ้วยชาลงพื้น
เขาหมดคำพูดอยู่ชั่วขณะ รู้สึกว่าหลังจากหวังจิ้งอยู่กับมารดาศิลา คุณภาพชีวิตของตนก็ตกลงฮวบฮาบ
“ช่างเถอะ” เขาไม่คิดถึงเรื่องน่ารำคาญเหล่านี้อีก
ลู่เซิ่งหยิบแหวนฝังอัญมณีวงนั้นขึ้นมาดูอีกรอบ
ตอนนี้ขุมกำลังความว่างเปล่าและสหพันธ์การดำรงอยู่สงบศึกกันแล้ว ทางฝั่งเผ่าพันธุ์โกลาหลเหมือนได้ยินว่าถูกมังกรจักรพรรดิโกลาหลเขมือบในทีเดียว
เหลือเพียงผู้ดูแลไม่กี่คนที่ยังหลบหนีอยู่ในปฏิสุญญตา
ไม่มีคู่ต่อสู้เหลืออยู่ในธารมารดาอุดรอีก
ลู่เซิ่งถือโอกาสดึงสำนักมารกำเนิดมาเชื่อมเข้ากับโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์
พูดถึงที่สุดแล้วโลกศิลาศักดิ์สิทธิ์ก็คือองค์กรที่รวบรวมผู้กล้าพเนจรกลุ่มหนึ่งไว้ด้วยกัน ประสิทธิผลของการทำงานในแต่ละด้านจึงต่ำมาก
แต่สำนักมารกำเนิดแตกต่างออกไป อย่างไรลู่เซิ่งก็มีลูกน้องผู้ภักดี เพราะบริหารมาหลายร้อยปี มีพื้นฐานอยู่
ทั้งสองสถานที่เริ่มหลอมรวมกันโดยให้สำนักมารกำเนิดเป็นหลัก และให้โลกศิลาศักดิ์สิทธิ์เป็นรอบนอก
นี่เป็นความคิดในอนาคตของลู่เซิ่ง
เขาก้มหน้าลงมองแหวนที่อยู่ระหว่างนิ้วอีกครั้ง
‘ไปดูหน่อยก็แล้วกัน…การดำรงอยู่ที่มีความสามารถระดับดีปบลูจะต้องมีจำนวนในปฐมมิติมหภาคไม่น้อยแน่นอน แต่ผู้ที่เติบโต้ขึ้นมาอย่างแท้จริง มีแค่เราคนเดียว จะเห็นได้ว่าสิ่งที่โ โดดเด่นของเราไม่ใช่ดีปบลู แต่เป็นตัวเราเอง นอกจากนี้ยังมีโลกไร้ขอบเขตอีก เราไม่มีทางสัมผัสอะไรไม่ได้หลังเข้าไปเหมือนมารดาศิลา ต้องได้อะไรกลับมาแน่’
ลู่เซิงลุกขึ้นแล้วทอดตามองไกล
ยอดเขาผลึกสีแดงที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกคลื่นโปร่งใสแวววาว ดูงดงามแดงฉานภายใต้ดวงอาทิตย์อัสดง
เขาพลันเกิดลางสังหรณ์ว่า การไปในครั้งนี้ของตนอาจมีการพบพานที่คาดไม่ถึง