ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 124 คันฉ่อง (2)
บทที่ 124 คันฉ่อง (2)
“เปิดประตูเถอะ” ต่งฉีสงบสติอารมณ์ แสดงท่วงท่าคุณหนูใหญ่พร้อมกล่าวสั่ง
ทั้งสองคนรีบเอากลอนใหญ่บนประตูออก พวกลู่เซิ่งทั้งสามคนทยอยเข้าไป ก่อนปิดประตูอีกรอบ
“ฟู่ว… เฝ้าของเล่นที่ล้ำค่าแบบนี้ ในที่สุดก็เสร็จงานแล้ว” คนหนึ่งในนี้อดถอนใจเบาๆ ไม่ได้
“ช่วงนี้โรงงานชาเลิศน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกๆ ครั้งที่เข้ามารู้สึกอึดอัด” อีกคนหนึ่งบ่น “ครั้งหน้าถ้าเข้ามาทำงานที่นี่อีก ให้ตายก็ไม่มาแล้ว เกิดเจอสิ่งไม่สะอาดอันใด… ”
“เฮ้ยๆๆ! เจ้าพูดน้อยๆ หน่อยได้หรือไม่ คำพูดอัปมงคลเช่นนี้จะดึงดูดของสกปรกมาจริงๆ!”
“ใช่แล้วๆ” อีกคนหนึ่งรีบตบปากตัวเอง
พวกลู่เซิ่งเข้าห้อง เดินไปถึงด้านหลังฐานสำริดของคันฉ่องแก้วอย่างรวดเร็ว
สวีชุยหยิบกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมา ด้านบนเป็นตัวอักษรมาตรฐานของตัวอักษรสามตัวที่พวกเขาเขียนตามตัวอย่าง ลู่เซิ่งนำมาเทียบดู
เขาลูบไล้ร่องรอยด้านหลังคันฉ่องอย่างตั้งใจ พร้อมแยกแยะอย่างละเอียด
ตัวอักษรสามตัวที่เป็นตัวอักษรตามมาตรฐานสมส่วนเรียบร้อย ตัวอักษรสามตัวด้านหลังถึงแม้จะมองออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นตัวอักษรตัวเดียวกัน แต่ว่ากลับเขียนเอียงๆ คล้ายไม่คุ้นชิน เหมือนเป็นลายมือที่เด็กจับพู่กันไม่เป็นเขียนไว้
“นับถึงสิบ… ” ลู่เซิ่งลูบรอยอย่างตั้งใจ รอยมีดลึกยิ่ง ดุร้ายยิ่ง “ถ้าเป็นเด็กกรีดจริงๆ รอยกรีดที่ลึกขนาดนี้…เด็กสักคนต้องอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ถึงจะใช้มีดกรีดเป็นรอยลึกขนาดนี้ได้”
เขาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง คล้ายกับกำลังสอบถามอีกสองคน
สวีชุยลังเล
“สำริดไม่นับว่าแข็งเกินไป ถ้าเด็กใช้มีดคมๆ ต้องดูว่าเป็นเด็กอายุเท่าใด… ”
“ดรุณีเจ็ดแปดขวบเล่า” ต่งฉีพลันถามแทรก
“ถ้าเป็นดรุณีเจ็ดแปดขวบ… เกรงว่าต้องใช้แรงทั้งหมดจึงจะกรีดตัวอักษรแบบนี้ได้… ” สวีชุยส่ายหน้า มองดูต่งฉีอีกครั้ง สตรีนางนี้หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม ใบหน้าเหยเก แสดงว่าตกใจกลัว
ลู่เซิ่งลุกขึ้น รู้สึกว่าวันนี้ไม่เจอเงื่อนงำอะไร มองดูท้องฟ้า ดึกแล้ว จากนั้นมองสภาพต่งฉีที่ดูไม่สบายใจอย่างผิดปกติ ค่อยกล่าวว่า
“วันนี้พอเท่านี้ พักผ่อนแต่หัววัน พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปตรวจสอบกระดูกของประมุขพรรค ดูว่าจะเจอปัญหาใดหรือไม่ นอกจากนี้ถ้าระดับสูงของพรรคชาเหล่านี้ยังมาดูคันฉ่องตอนกลางคืน แม่นางต่งฉีถ้าท่านพบ จะต้องเรียกพวกเรา”
“ทราบแล้ว! ขอบคุณท่านทูตยิ่ง!” ต่งฉีรีบพยักหน้าโดยเร็ว
“ไปพักผ่อนเถอะ สีหน้าท่านแย่แล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ “ถ้าตอนกลางคืนพบความผิดปกติ ให้มาหาพวกเราทันที”
“รับทราบ ขอบคุณ ขอบคุณท่านทูต ห้องรับแขกของทั้งสองท่านจัดเตรียมไว้แล้ว ข้าจะให้คนพาท่านไป” ต่งฉีกล่าวอย่างซาบซึ้ง
จากนั้นก็แยกย้ายกลับห้องไปพักผ่อน ลู่เซิ่งกินอาหาร หลังจากฝึกฝนวิชากำลังภายในอยู่ด้านในห้อง ก็รู้สึกง่วงโดยไม่รู้ตัว จึงนอนห่มผ้า ค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
ตอนเขานอนหลับไม่เหมือนคนอื่นๆ ต่อให้หลับอยู่ ขอแค่มีลมพัดหญ้าไหวเล็กน้อย ก็จะสะดุ้งตื่นได้ทันที
เดิมทีเขาไม่คิดจะหลับ ถึงแม้จะมีวิชาแข็งกร้าวติดตัว บวกกับปราณภายในคุ้มครองร่างโดยอัตโนมัติ ไม่มีทางเกิดปัญหาอันใด แต่สุดท้ายก็สูญเสียความระมัดระวังได้ง่าย ดังนั้นพอออกมาจัดการเรื่องราว ส่วนใหญ่เขาจะนั่งสมาธิแทนนอนหลับ
แต่ทว่าครั้งนี้เขากลับง่วง ข่มกลั้นไม่ไหว ล้มตัวลงนอนลงอย่างช้าๆ
…
เวลากลางดึก ลู่เซิ่งสติเลอะเลือน คล้ายได้ยินเสียงบางอย่าง
เขาค่อยๆ ลืมตาบนเตียง ง่วงนอนยิ่ง กลับได้ยินเสียงเบาๆ ดังมาจากหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ แหงนมองหน้าต่าง
บนกรอบหน้าต่าง ผ้าม่านห้อยลง แสงจันทร์สาดเข้ามาจากด้านนอก
ตรงหน้าต่างมีศีรษะเล็กๆ กำลังผลุบๆ โผล่ๆ หมายจะมองเข้ามาจากนอกผ้าม่าน
‘เป็นสิ่งของอันใด’ ลู่เซิ่งลุกขึ้นตั้งใจมองหน้าต่าง
ผ้าม่านสะท้อนเงาดำของดรุณีนางหนึ่งอย่างชัดเจน กระโดดเป็นพักๆ คล้ายยืนอยู่นอกหน้าต่าง คิดจะกระโดดดูของด้านใน
“ผู้ใด” ลู่เซิ่งถาม
ดรุณีนางนั้นหยุดขยับ ยืนอยู่นอกหน้าต่างมองมาทางลู่เซิ่งอย่างสงบ ไม่เคลื่อนไหว
“ถ้าจะเข้ามาเคาะประตูก็ได้” ลู่เซิ่งลงจากเตียง ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
เงาร่างเด็กที่ม่านหน้าต่างยังคงไม่ขยับ
ฟุ่บ!
เขาดึงม่านออก นอกกรอบหน้าต่างไม่มีใคร ในลานด้านนอกก็ไม่มีคนเช่นกัน องครักษ์ที่เฝ้ายามอยู่ก็หายไปด้วย บรรยากาศว่างเปล่าอ้างว้าง
ลู่เซิ่งหยีตา กวาดตามองดู แค่นเสียงคำหนึ่ง แล้วดึงม่านกลับมาใหม่
…
ต่งฉีจำคำกำชับของลู่เซิ่งขึ้นใจ สวมชุดนอนอยู่บนเตียง คิดว่ากลางดึกจะลุกไปดูว่าคนเหล่านั้นมาอีกหรือไม่ กระนั้นนางค่อยๆ หลับอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
กล่าวไปก็ประหลาด นางยังกระปรี้กระเปร่าอยู่ แต่พอแตะเตียง ความง่วงก็ประดังประเดมาเหมือนกับกินยานอนหลับ สักพักหนึ่งก็หลับไหล
“ข้านับถึงสิบนะ”
“หนึ่ง… ”
“สอง… ”
“สาม… ”
“สี่… ”
ขณะสติรางเลือน ต่งฉีคล้ายได้ยินว่ามีคนมาพูดใกล้ๆ
เป็นดรุณีนางหนึ่ง อายุน้อยยิ่ง
นางฝืนลืมตามองข้างเตียง เห็นดรุณีชุดน้ำเงินคนหนึ่งยืนมองตนอยู่
นางหน้าซีดขาวยิ่ง เบ้าตาดำมาก ผมยาวก็ดำมากเช่นกัน
“ห้า… ”
“หก… ”
ควับ!
ต่งฉีลุกพรวดขึ้นจากเตียง หอบหายใจเฮือกใหญ่ เหงื่อกาฬไหลหลั่ง
นางมองไปที่ข้างเตียง ไม่มีใครและไม่มีอะไรเลย
‘ข้า…ข้า…!’ นางจิตใจเต้นรัวเหมือนกับกลอง สีหน้าก็ซีดขาวยิ่ง
ตุบ
ทันใดนั้นมีเสียงดังเข้ามาจากหน้าต่าง
ต่งฉีรีบมองดู รู้สึกตกใจ
‘ก่อนหลับปิดหน้าต่างไว้แล้วแท้ๆ เหตุใดจึง… ’
หน้าต่างไม่ทราบถูกเปิดตอนไหน แสงจันทร์จางๆ สาดเข้ามาจากนอกผ้าม่านด้านหน้าหน้าต่าง เย็นเยือกอ้างว้าง
ตุบ
เสียงดังมาอีก
ต่งฉีงงงัน ตั้งใจมองที่หน้าต่าง
กลับคล้ายเห็นดรุณีผมยาวตัวเตี้ยคนหนึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่าง เงาร่างของดรุณีนางนั้นถูกแสงจันทร์ส่องลงบนผ้าม่าน
นางยืนอยู่นอกหน้าต่าง กระโดดไปกระโดดมา เหมือนอยากกระโดดดูสิ่งของในห้องนอน
“ผู้ใด…?!” ต่งฉีรู้สึกตนเองเสียงสั่น
ตุบ
เงาร่างดรุณีนางนั้นกระโดดอีกครั้ง คล้ายกับไม่ได้ยินเสียงของนาง
ต่งฉีกขนลุกชูชัน เริ่มสั่นเทิ้ม หดตัวในผ้าห่มไม่ขยับ เงาเด็กนอกหน้าต่างกระโดดอย่างต่อเนื่อง
ตุบ
ตุบ
ตุบ
พร้อมกับการกระโดดแต่ละครั้ง ดรุณีคล้ายยิ่งกระโดดยิ่งสูง ตอนแรกเห็นศีรษะเพียงครึ่งเดียว จากนั้นค่อยๆ กระโดดขึ้นจนเห็นศีรษะมากกว่าครึ่ง จากนั้นศีรษะก็โผล่มา สะท้อนบนผ้าม่าน
ต่งฉีใช้ผ้าห่มอุดปาก ขดตัวที่ปลายเตียง หน้าซีดขาว ร่างกายสั่นไหว ไม่กล้าไปดูการเคลื่อนไหวที่หน้าต่าง
ตุบ
ตุบ
ตุบ
ตุบ…
ทันใดนั้นเสียงก็หยุดลง
ต่งฉีหลับตา กลัวจนขนลุกขนพอง อยู่ๆ เสียงก็หายไป รีบเอียงหูฟัง กลับไม่ได้ยินสิ่งใด
นางลืมตาเงียบๆ ก่อนมองไปที่หน้าต่าง
การมองครั้งนี้ทำให้นางขวัญกระเจิง ผ้าม่านถูกดึงออก ตรงนั้นว่างเปล่า หน้าต่างเองก็ถูกเปิด คล้ายกับมีสิ่งใดเข้ามา
เข้ามาแล้ว! สิ่งนั้น…เข้ามาแล้ว!
ต่งฉีหน้าพลันไร้สีเลือด หัวใจเหมือนกับมีก้อนหินกดทับ หายใจไม่ออกอยู่บ้าง พยายามหายใจ คิดกรีดร้อง คอกลับเหมือนถูกบีบ ส่งเสียงไม่ออก
ทันใดนั้นนางเห็นชายเสื้อสีน้ำเงินโผล่ออกมาตรงมุ้งข้างเตียง
“ช่วย…ช่วยด้วย…!” นางดิ้นรนส่งเสียงได้เล็กน้อย
“ไสหัวออกมา!”
เสียงตวาดดังขึ้น
ตูม!”
ประตูห้องระเบิดกลายเป็นเศษไม้นับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย เงาคนสีแดงจางๆ ถลันเข้ามา กลับเป็นลู่เซิ่ง
เขาถือดาบ ปราณภายในร้อนลวกกระจายทั่วตัว ก้าวใหญ่ๆ พุ่งเข้าห้องมา
ฟันดาบใส่ปลายเตียง
ฟุ่บ!
ประกายดาบสีเงินกลับโดนความว่างเปล่า เกิดเสียงแหวกอากาศที่คมกริบ
ลู่เซิ่งสองตาดุร้าย หยุดกระบวนท่าดาบไว้ เปลือยท่อนบน ลวดลายลักษณะตาข่ายสีแดงจางๆ กับสีดำกระจายเต็มกล้ามเนื้อที่บิดขดอย่างน่าสะพรึงกลัว เหมือนกับสักลาย
หลังจากดรุณีนางนั้นออกจากห้องเขา เขาก็ไล่ตาม คาดไม่ถึงว่าจะมาถึงห้องต่งฉี
พอเห็นดรุณีกระโดดเข้าห้อง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟันดาบใส่ประตูทันที
ภูตผีในคราวนี้กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ จับตัวยาก ถ้าไม่รีบไล่ตาม เกรงว่าอีกฝ่ายจะหนีพ้น
“เจ้าไม่ใช่อยากเล่นการละเล่นหรือ มา ให้พี่ชายเล่นกับเจ้า” ลู่เซิ่งพยายามเค้นรอยยิ้มเป็นมิตร แต่ยังคงดุร้ายเป็นพิเศษ
พอเข้ามาดู เขาก็มองรอบๆ คิดจะหาเงาร่างของดรุณีคนก่อนหน้านี้
หน้าเตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาคน ลู่เซิ่งไม่ประหลาดใจ ไม่เหลือบแลต่งฉีที่หอบหายใจหลังได้รับการช่วยเหลือ กวาดตามองห้องรอบหนึ่ง แล้วหมุนตัววิ่งไปทางห้องหนังสือที่คันฉ่องแก้วตั้งอยู่
เขาถีบประตูห้องหนังสือดังโครม
ในห้องมืดมิด เงาคนสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งยืนอยู่ด้านในคันฉ่องแก้วสูงเท่าขนาดหนึ่งคนครึ่ง
ลู่เซิ่งเดินเข้าห้อง สาวเท้าโถมไปยังคันฉ่องแก้ว
ฟุ่บ
ฟุ่บ
ฟุ่บ
เขาก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าคันฉ่อง
“รับดาบข้าได้ ข้าจะเล่นการละเล่นน่าที่น่าเบื่อกับเจ้า!”
เหอะ!
เขาตวาด สองมือกำดาบ พริบตานั้นประกายดาบสีเงินสายหนึ่งสว่างขึ้นในความมืด คล้ายกับสายลม คล้ายกับแสงจันทร์ และกลับยังคล้ายดาวตก
ดาบที่ใหญ่ราวบานประตูทำให้เกิดลมขึ้นในห้องหนังสือ
เปรี้ยง!
ผิวกระจกมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาป้องกันดาบขนาดใหญ่ที่ฟันออกไป
ลู่เซิ่งเบิกตากว้าง เส้นเลือดสายหนึ่งยื่นจากท้องน้อยไปถึงคิ้ว กล้ามเนื้อทั่วตัวเขาพลันขยายใหญ่ เหมือนกับเป่าลม กล้ามเนื้อก้อนใหญ่มากมายราวตุ่มสิว พองขึ้นขยายเบียดเสียดกันออกมา กลายเป็นยักษ์สูงสองหมี่กว่าๆ
ลู่เซิ่งสองมือกำดาบ กดดันใส่คันฉ่องอย่างรุนแรง ดาบใหญ่ในมือเขา ณ เวลานี้ไม่ต่างจากดาบทั่วไปนัก หากแต่ระดับความหนักอึ้งเมื่อง้างขึ้นเหมือนกับง้างลูกตุ้มใหญ่
ความดันของแรงลมกับพละกำลังมหาศาลพัดกระดาษหนังสือในห้องหนังสือจนปลิวว่อน
“เจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า พิฆาตวิญญาณ!”
ตูม!
คมดาบกระแทกใส่มือข้างนั้นในกระจกอีกครั้ง ส่งเสียงดังกึกก้อง แขนหักดังกร๊อบ ผิวกระจกแตกทะลุ ฐานคันฉ่องมากกว่าร้อยชั่งกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศ กระแทกใส่กำแพงด้านหลัง
ปราณภายในอันร้อนลวกจำนวนมากส่งเข้าสู่ฐานคันฉ่อง เงาสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งถูกกระแทกลอยออกมาในทันที ส่งเสียงโหยหวนกลางอากาศ คิดหนีออกไปด้านนอก
แต่ก็ถูกลู่เซิ่งฟันดาบใส่ทันที
ตูม!
เงาระเบิดออกโดยสมบูรณ์ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
……………………………………….