ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 125 คันฉ่อง (3)
บทที่ 125 คันฉ่อง (3)
ลู่เซิ่งถือดาบ เร่งฝีเท้าไล่ตามไปตรวจสอบ เห็นตุ๊กตาผ้าขนาดเล็กตัวหนึ่งนอนนิ่งบนพื้น เป็นตัวที่แขวนอยู่บนชายคาเมื่อก่อนหน้า
เขาเอื้อมมือไปเก็บตุ๊กตาผ้า เห็นบนผิวของมันมีรอยมีดลึกเพิ่มมาหนึ่งสาย ยังมีรอยเลือดซึมออกมา
‘นี่เป็นแหล่งที่มาหรือ’ ลู่เซิ่งกวาดตามอง ไม่มีการค้นพบอันใดอีก
เสียงแกร่กดังขึ้น ด้านหลังสวีชุยถือกระบี่ยาวรีบไล่ตามเข้ามา
“ใต้เท้า?” เขาถามเบาๆ
ลู่เซิ่งลุกขึ้น บีบตุ๊กตาผ้าในมือ รู้สึกว่ามีปราณหยินหลายสายกระจายอยู่ด้านบน เขาเดินมาถึงหน้าฐานคันฉ่องที่แตกเป็นเสี่ยงๆ และล้มลงแล้ว เหยียบเศษกระจกที่กระจัดกระจาย ก้มลงมองฐานคันฉ่องที่ทำจากสำริด
เขาหยิบฐานคันฉ่องขึ้นมา สังเกตเห็นว่า สุนัขในรูปสัตว์สามตัวด้านหลังฐานคันฉ่องหายไปแล้ว
‘สัตว์สามชนิด หรือเป็นตัวแทนภูตผีสามชนิด’
“ใต้เท้า แปลกๆ อยู่บ้าง” สวีชุยที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเคร่งขรึม ตรวจสอบรอบๆ อย่างระมัดระวัง
“อึกทึกกันขนาดนี้ โรงงานชาเลิศกลับไม่มีใครรุดมา ตามปกติ สมควรมีคนไม่น้อยลุกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ด้านนอกกลับเงียบกริบ!”
ลู่เซิ่งหยีตา หมุนตัวพุ่งออกจากห้องไป
ฟู่ว…
ลมพัดมาปะทะหน้า
ด้านนอกไม่ใช่ตัวลาน หากเป็นนาข้าวอันกว้างใหญ่
บนนาข้าวมีหญ้าฟางที่เก็บเกี่ยวไว้จนแห้ง ก้านฟางที่มัดไว้อย่างดีหลายช่อวางกองจนเต็ม สถานที่ส่วนหนึ่งมีร่องรอยถูกไฟเผา
แสงจันทร์เย็นเยียบ ไกลออกไปปรากฏภูเขาสูงต่ำเลือนราง
“ที่นี่คือ…” ลู่เซิ่งหันกลับ ห้องหนังสือที่ตนเดินออกมาหายไปแล้ว ไม่เห็นสวีชุยเช่นกัน แสดงว่ามีแค่เขาเข้ามาที่นี่คนเดียว
“นับถึงสิบนะ”
“ห้ามแอบมอง!”
“รีบหนีล่ะ! ฮ่าๆๆ!”
ลู่เซิ่งได้ยินเสียงพูดคุยของเด็ก มองไปยังต้นเสียง เห็นเงาดำหลายสายกำลังวิ่งเหยาะไปยังที่ไกล
“เด็กโง่นั่นเชื่อจริงๆ ว่าพวกเราจะเล่นกับนาง”
“ได้ยินว่ามารดานางขายตัวอยู่บนเรือ น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ”
“ใช่แล้วๆ ใครอยากจะเล่นกับเด็กพรรค์นั้น เล่าออกไปจะถูกคนดูถูกเอา”
“แต่พวกเราทิ้งนางไว้ที่นี่คนเดียว แบบนี้ไม่ดีอยู่บ้างนะ”
“มารดานางจะมาหานางเอง กังวลไปใย”
“ก็ใช่อยู่”
ลู่เซิ่งมองเงาดำเหล่านั้นค่อยๆ หายไปในความมืดอย่างไร้ร่องรอย ในใจเกิดการคาดเดา
เขาหันไปมองกองฟางหลายกองอีกรอบ
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
เสียงดังแว่วมาเบาๆ สะท้อนในผืนนา
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก พลิกมือชักดาบอีกเล่มหนึ่งบนหลังลงมาถือ ก้าวใหญ่ๆ ไปยังต้นเสียง
ดินโคลนและรวงข้าวที่แห้งกรังกระจายไปทั่วผืนนา พอเหยียบลงไปให้ความรู้สึกเหมือนพุ่มหญ้าหนา
ลู่เซิ่งข้ามกองาฟางไปหลายกอง ไม่ทันไรก็มาถึงหน้ากองฟางที่ใหญ่ที่สุด
ดรุณีเสื้อน้ำเงินคนหนึ่งหันหลังให้เขา ฟุบนิ่งกับกองฟางพร้อมนับเลข
“สี่”
“ห้า”
“หก”
ดรุณีเปียผมหยาบๆ สองเปีย สองมือปิดหน้า คล้ายกำลังเล่นกับคนอื่น
ลู่เซิ่งถือดาบ หยุดห่างจากนางหลายหมี่
“เจ็ด”
“แปด”
“เก้า”
“สิบ”
นับถึงสิบแล้ว
ลู่เซิ่งเกร็งกล้ามเนื้อเล็กน้อย เตรียมพร้อมส่งแรงตลอดเวลา
“ข้าจะหาแล้วนะ ท่านเตรียมตัวแล้วหรือไม่”
ในตอนนี้เอง ดรุณีนางนั้นพลันกล่าววาจา
เสียงนางทอดไกลและสงบนิ่งยิ่ง ยังแฝงความน่ากลัวและความแปลกประหลาดอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งไม่ตอบ ทั้งๆ ที่ดรุณีนางนี้สมควรพูดกับเด็กคนอื่นๆ แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายกำลังพูดกับตน
“ที่นี่คือที่ไหน” ลู่เซิ่งถามเบาๆ
ดรุณีหันหลังให้เขา ไม่ตอบ เพียงยืนอยู่เช่นนั้น
“หรือเจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได?” ลู่เซิ่งโบกดาบใหญ่สองเล่มไปมา เขากำลังหยั่งเชิง หยั่งเชิงดูว่าอีกฝ่ายเป็นภูตผีประเภทไหน
“ข้าจะเริ่มหาแล้วนะ” ทันใดนั้นดรุณีนางนั้นเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“เริ่มหรือ” ลู่เซิ่งกวาดมองกองฟางรอบๆ พลันยิ้มขึ้น
ผัวะ!
เขาถีบแกนกองฟางกองหนึ่งที่อยู่ด้านข้างจนล้มลง
“มาเลย จะสังหารข้า หรือถูกข้าสังหาร!” เขาหงุดหงิดบ้างแล้ว ซ้อนดาบคู่ไว้ด้านหน้าดังเช้ง โคจรวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานทั่วร่าง ตาข่ายโลหิตคุ้มครองกายกระจายออก ถ้าสามารถมองเห็นปราณภายในที่โปร่งใสไร้รูปร่างได้ เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็เหมือนกับเตาไฟในร่างคน ลุกไหม้อย่างรุนแรง
ดรุณีนางนั้นค่อยๆ หมุนตัวมา สองมือปิดหน้า ยังไม่เห็นเครื่องหน้า เพียงเห็นผิวหนังสีน้ำเงินแกมเขียว แข็งทื่อและซีดเซียว
ฟุ่บ!
พริบตานั้น นางหายไปจากที่เดิม
ลู่เซิ่งยกสองดาบขึ้น ฟันไปด้านหน้า
เคร้ง!
ท่ามกลางเสียงปะทะที่สะเทือนแก้วหู เงาร่างเล็กสายหนึ่งถูกกระแทกออกไปอย่างรุนแรง แล้วหายไปกลางอากาศอีกครั้ง
ตอนที่ปรากฏตัวอีกรอบ นางก็อยู่ด้านหลังของลู่เซิ่ง กรีดฝ่ามือสีน้ำเงินข้างหนึ่งใส่ตัวเขา
เคร้ง!
เหมือนกับกรีดใส่เหล็กกล้า สะเก็ดไฟสีเหลืองกระเด็นจากคอของลู่เซิ่ง
เขาตวาด พุ่งไปด้านหลัง ปราณภายในทั่วร่างดันตาข่ายโลหิตให้เกี่ยวไปด้านหลัง มือพลิกดาบคู่ ฟันขวางใส่ด้านหลังติดต่อกัน
ตูมๆ! เสียงทึบดังติดกันสองครั้ง
คมดาบฟันใส่แกนกองฟางที่อยู่ด้านข้าง ไม่โดนสิ่งใด
เคร้งๆๆๆ!
ในผืนนา พริบตานั้น บนตัวลู่เซิ่งมีสะเก็ดไฟสีเหลืองหลายกลุ่มระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง เงาคนสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่งโผล่ขึ้นมาข้างตัวลู่เซิ่งด้วยความเร็วสูง กรงเล็บที่มีพิษรุนแรงกรดข่วนเขาอย่างบ้าคลั่ง
ลู่เซิ่งเมื่อฟันดาบออกไปแล้วสองครั้ง ก็ยังไล่ไม่ทัน ก็คร้านจะขยับ หลับตายืดตัวให้นางกรีดข่วน
สะเก็ดไฟจำนวนมากกระเซ็นจากร่างเขาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นคนธรรมดาคงถูกกรีกเป็นเนื้อสับไปนานแล้ว สำหรับตัวเขา กลับไม่ต่างจากการนวด
ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่หลายอึดใจ บางครั้งจึงค่อยป้องหูบังตา ปล่อยให้สะเก็ดไฟจำนวนมากกระเด็นออกจากร่าง
ทันใดนั้น เขาลืมตาขึ้น พุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
เงาคนสีน้ำเงินสายหนึ่งกำลังคว้าใส่หน้าผากเขา พลันถูกเขาชนใส่ศีรษะ กระเด็นหวือออกไป ยังไม่ทันลอยห่าง ก็ถูกลู่เซิ่งใช้วงแขนชักกลับมา ก่อนชนศีรษะใส่อย่างแรงอีกครั้ง
ตูม!
ดรุณีถูกกระแทกจนมึนงง ลู่เซิ่งรัดนางไว้ในอก เล่นงานศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า
ตูมๆๆๆๆ!
ลู่เซิ่งใช้ศีรษะของเขากระแทกใส่ศีรษะของดรุณีนางนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านไปแค่ไม่กี่ครั้ง ศีรษะของนางก็ถูกกระแทกแหลก เลือดหลายกลุ่มผสมกับของสกปรกมากมาย แม้แต่กะโหลกและเยื่อคอก็ตกลงมาจากคอนาง เหลือแค่ศพไร้หัวถูกลู่เซิ่งจับไว้ในมือ ชูขึ้นสูง
ดาบขนาดใหญ่พลันพุ่งใส่ศพนั้น
ผัวะ!
ลู่เซิ่งกลับคาดไม่ถึง สองเท้าของศพจะถีบใส่ทรวงอกเขา แล้วกระโดดออกจากสองมือเขาไป
เขาเดิมจับส่วนเอวของดรุณีไว้ ตอนนี้บนมือเหลือแค่เลือดเนื้อ เนื้อก้อนใหญ่หายไปจากด้านข้างเอวของอีกฝ่าย คือส่วนที่เขายังบีบไว้ในมือ
“อ้อ?” ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง มองศพไร้หัวโซซัดโซเซหนีไปยังที่ไกล
ฟุ่บ!
เขาซัดดาบออกไปดุจสายฟ้าแลบ
ดาบใหญ่ลอยออกไปตัดสองขาของศพ บนคมดาบมีปราณภายในร้อนแรง พลันทำให้ศพเจ็บปวดจนกลิ้งไปมากับพื้น
“นี่คือจบแล้วหรือ” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่ายอย่างเบื่อหน่าย “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่สมควรเป็นตัวแทนจิ้งจอกกระมัง”
ศพไร้หัวนั้นดิ้นรนสักพักหนึ่ง ไม่ทันไรก็จางหายไปอย่างช้าๆ
ในนาข้าวสงบลงตามเดิม
“เช่นนั้นยังคงเหลือหงส์เป็นตัวสุดท้าย สัตว์สามชนิดทั้งหมดคือเจ้า” ลู่เซิ่งมองรอบทิศ เดินไปยังจุดที่ศพหายไปอย่างเชื่องช้า
ชายเสื้อขาดสีน้ำเงินตกอยู่บนพื้น เขาหยิบขึ้นมา รู้สึกถึงปราณหยิน จึงยัดใส่กระเป๋ากางเกง
ทันใดนั้นเขารู้สึกชาที่กลางหลัง คล้ายกับมีเข็มแทงใส่
“ผู้ใด!”
ลู่เซิ่งหมุนตัว
ด้านหลังไกลออกไป สตรีที่มีผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวมอมแมม ยืนมองเขานิ่งๆ อยู่ในผืนนา
สตรีนางนี้สวมใส่เสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ เหมือนกับสวมเสื้อผ้าหลายตัวจากหลายๆ ฤดู ตรงอกกับท่อนร่างถูกรั้งจนกว้าง เผยให้เห็นขาอ่อนขาว ระหว่างขาอ่อนยังมีเลือดเกรอะกรังอยู่
“มารดานางเป็นคนบ้า!”
“คนบ้า! หญิงวิกลจริต!”
“นังบ้าผู้นี้เหตุใดจึงรอดมาได้ นางไม่กินอาหาร ทั้งยังมีลูก ที่ไม่ทราบเป็นเมล็ดพันธุ์ของใคร”
“ใช้ชีวิตอย่างไรได้ ไม่ใช่บุรุษในหมู่บ้านช่วยเหลือ ทุกๆ วันเข้าแถวไป…”
“ฉู่ว…เบาเสียงหน่อย”
“ครั้งกระโน้นผู้ใหญ่บ้านเก็บนางกลับมา ไม่ใช่หมายตาสิ่งนี้หรอกหรือ มีอันใดต้องปิดบัง””
“ทุบนางให้ตาย! ทุบนังวิกลจริตนี่ให้ตาย!”
“ยัดนางใส่กรงหมู! กล้าล่อลวงบุรุษของข้า!”
เสียงพูดจา เสียงตะโกน และเสียงด่าโหวกเหวกโวยวาย ดังขึ้นข้างหูลู่เซิ่งไม่หยุด
“เด็กคนนั้นน่าจะไม่ทราบว่ามารดาตนตายแล้วกระมัง ทุกๆ วันที่กลับไปยังได้ยินนางร้องเรียกหามารดา น่าเวทนานัก”
“แต่ละวันบ้าบอเสียสติ สันดานเหมือนมารดานาง เมื่อคืนได้ยินว่ามีคนเห็นบุรุษตระกูลเฉินไปห้องนั้นอีกแล้ว…”
“ยังเด็กแต่ก็รู้จักล่อลวงบุรุษแล้ว น่ารังเกียจ!”
“โตมาได้ขนาดนี้ ไม่แน่ว่าเป็นบุรุษในหมู่บ้านสงเคราะห์”
ลู่เซิ่งฟังไปฟังมา มองดูสตรีบ้าคลั่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตน หรี่ตาอีกครั้ง
“เจ้าเคียดแค้นหรือ”
เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู
“มารดาเจ้าตายไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว แต่แม้นางจะวิปลาสกลับยังคงทิ้งเจ้าไม่ได้ คอยดูแลเจ้าทุกวัน”
“ใครทำร้ายเจ้าจนเป็นแบบนี้”
“เป็นใครทำร้ายมารดาเจ้าจนตาย”
“เป็นใครละทิ้งเจ้าในทุ่งนาอันหนาวเหน็บ”
เสียงทุ้มต่ำนั้นถามหลายครั้ง
“ข้า…ข้าแค่อยากมีคนเล่นด้วย…” เสียงดรุณีที่เหนียมอาย น่าเวทนาค่อยๆ ดังขึ้น
“เข้าไปเถอะ… เข้าไปในคันฉ่องบานนี้ ก็จะมีคนเล่นกับเจ้าตลอดกาล” เสียงนั้นทุ้มต่ำและมีความยั่วยวน
ตูม!
พริบตานั้นประกายสีแดงกลุ่มใหญ่ระเบิดออก ในรัศมีสิบกว่าหมี่รอบตัวลู่เซิ่งกลายเป็นทะเลเพลิงโดยสมบูรณ์ กองฟางจำนวนมากถูกเผา เปลวไฟส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ควันหนาตลบอบอวล เถ้าธุลีปลิวว่อน
……………………………………….