ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 133 แลกเปลี่ยน (7)
บทที่ 133 แลกเปลี่ยน (7)
เกวียนเทียมวัวหลายคันค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังความมืดที่อยู่ไกลออกไป เสียงกีบเท้าวัวทุ้มต่ำดังอย่างเชื่องช้าเหมือนเสียงฝนตก
ลู่เซิ่งขี่ม้าเหยาะย่างอยู่หน้าขบวน
ลมแม่น้ำยามดึกพัดผ่าน เย็นเยียบอยู่บ้าง ได้ยินเสียงไอโขลกๆ ที่ดังมาจากพลพรรคในขบวนตลอดเวลา
ขบวนเกวียนออกจากเรือวาฬแดง มีคนห้าสิบกว่าคนคุ้มครองตลอดทาง ขณะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาไร้ลม
ทะลุผืนทรายที่กว้างขวาง จากนั้นเป็นทางเขาในป่ารกชัฏ แม้เกวียนจะมีจำนวนมาก ตลอดทางไม่มีสัตว์ร้ายจู่โจม
ลู่เซิ่งอยู่หน้าสุด สวมเสื้อคลุมผ้าแพรลวดลายสีแดงดำ บุคลิกหนักแน่น มีท่วงท่าของประมุขพรรคใหญ่อยู่หลายส่วน
เดินทางกลางป่ารกชัฏ ลู่เซิ่งให้พลพรรคชูคบเพลิง กระจายไปรอบๆ เพื่อขับไล่สัตว์ร้ายที่อาจโผล่มา
เขากับผู้อาวุโสสามคนคุ้มครองอยู่รอบขบวน ป้องกันภูตผีที่อาจปรากฏขึ้น
เดินทางอยู่ครึ่งชั่วยามกว่าๆ ตรงหน้าในที่สุดก็เห็นแสงไฟจากคบเพลิงที่คล้ายกัน
ลู่เซิ่งเร่งความเร็ว บอกให้ขบวนเกวียนหยุดอยู่ในป่า ตนเองไปด้านหน้าระยะหนึ่ง ครู่เดียวก็ออกจากป่า เห็นพวกหลี่ซุ่นซีที่มาแลกเปลี่ยนบนพื้นทรายซึ่งเป็นเนินกว้าง
ในราตรีมืดมิด ไม่ทันไรหลี่ซุ่นซีก็เห็นลู่เซิ่งที่ขี่ม้ามา ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ประสานมือเอ่ยขึ้น
“พี่ลู่!”
ลู่เซิ่งประสานมือตอบ
“พี่หลี่เอาของที่ข้าต้องการมาหรือไม่”
หลี่ซุ่นซียิ้ม ก่วนเนี่ยนที่อยู่ด้านข้างชูกล่องเหล็กใบหนึ่งในมือขึ้น
ก่วนเนี่ยน จงอวิ๋นซิ่ว รวมถึงจางอู่หยาอาศัยจังหวะนี้สำรวจดูลู่เซิ่งประมุขพรรคที่ปกครองพรรควาฬแดง พรรคอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ
เห็นอีกฝ่ายมีองคาพยพเรียบร้อย ผิวขาวเนียน สวมหมวกสี่เหลี่ยมฝังหยกแดง ใส่เสื้อคลุมผ้าแพรแขนยาว ลู่เซิ่งประมุขพรรคลู่ผู้นี้เหมือนนายน้อยในครอบครัวร่ำรวยมากกว่าประมุขพรรคใหญ่ แม้ว่าจะกำยำเล็กน้อย แต่มีบุคลิกเปิดเผยที่หนักแน่นมั่นคง
ลู่เซิ่งพิจารณาคนที่มากับหลี่ซุ่นซีทีละคนเช่นกัน หลายๆ คนในนี้มอบความรู้สึกคุ้นเคยแก่เขา คล้ายไม่เหมือนคนทั่วไป หากเป็นพิษจากระดับพันธนาการ เดาออกว่าสมควรเป็นยอดฝีมือในขุมกำลังที่หลี่ซุ่นซีเข้าร่วม
“เกวียนเทียมวัวบรรทุกธัญญาหารอยู่ด้านหลัง เกวียนเทียมวัวมอบให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พวกท่านนำคนมาพอกระมัง” ลู่เซิ่งถามเสียงกระจ่าง
“มากพอๆ !” ก่วนเนี่ยนเดินออกมา กระโดดหลายครั้ง ก็ขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ ทอดตามองเกวียนเทียมวัวสิบกว่าคัน ตาเป็นประกาย ครั้งนี้ในหุบเขาขาดอาหาร ใช้คัมภีร์ลับวิทยายุทธ์ที่ไร้ความหมายวิชาเดียว แลกของได้มากมายขนาดนี้ ราคาถูกจริงๆ
เขากลัวว่าลู่เซิ่งจะเปลี่ยนใจ รีบบอกให้นายผู้เฒ่าจางอู่หยาส่งคนเข้าไปรับ
ลู่เซิ่งไม่ถือสา เพียงแต่กลับไปสั่งให้บริวารทิ้งเกวียนเทียมวัว มองดูพวกเขารับธัญญาหารด้วยรอยยิ้ม
คนเบื้องล่างสนทนากัน พวกลู่เซิ่งก็ปลีกตัวออกมา คุยเรื่องอื่นๆ
“ขอบคุณน้ำใจของประมุขพรรค ในเมื่อประมุขพรรคมีคุณธรรมสูงส่ง พวกเรายินดีเพิ่มวรยุทธ์วิชาหนึ่งเป็นค่าตอบแทน เป็นมรรคายุทธ์ระดับสำนึกปลอดโปร่งเช่นกัน” หลังจากเดินมาถึงป่าอีกมุมหนึ่ง จางอู่หยาที่อยู่หลังหลี่ซุ่นซี กลับก้าวออกมาพูดเสียงดัง
“อ้อ?” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย มองนายผู้เฒ่าผู้นี้ “วาจานี้เป็นจริงหรือ”
จางอู่หยาจดจ้องสองตาของลู่เซิ่ง ไม่สนใจการฉุดรั้งของก่วนเนี่ยนและจงอวิ๋นซิ่วที่อยู่ข้างกายแม้แต่น้อย
“ข้าไร้ความสามารถ แต่ว่าสะสมวรยุทธ์สำนึกปลอดโปร่งไว้ นับว่าผู้แซ่จางมอบให้เป็นการส่วนตัว เพียงแต่ผู้แซ่จางคิดถามคำถามประมุขพรรคลู่เอง ไม่ทราบว่าประมุขพรรคตอบได้หรือไม่”
“คำถามหรือ ขอแค่ไม่ใช่คำถามลักษณะพิเศษ ผู้แซ่ลู่ถ้าทราบก็จะตอบ” ลู่เซิ่งยิ้มๆ
จางอู่หยายิ้ม ขณะกำลังจะพูด
ทันใดนั้น ในความมืดไกลออกไปมีเสียงร้องกระสับกระส่ายของวัวหลายตัวกลางเกวียนเทียมวัวดังขึ้นมา พลพรรครีบเข้าไปปลอบ แต่ไม่มีประโยชน์ เสียงร้องของวัวดังขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้น?!” ลู่เซิ่งย่นคิ้ว มองไปที่ต้นเสียง
ตูม! ตูม! ตูม!
มีแสงสีแดงสามจุดพุ่งขึ้นกลางอากาศ แล้วระเบิดออกกลางป่ารอบๆ เหมือนกับดอกไม้ไฟสามกลุ่ม สาดส่องทุกคน
ฉัวะ!
ทันใดนั้น คนคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก่วนเนี่ยนพลันฟันกระบี่ใส่สหายร่วมขบวนคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง คมกระบี่เฉือนศีรษะสหายร่วมขบวนจนตกลงมาจากลำคอ
“จางเผิง เจ้า!?” รอก่วนเนี่ยนค้นพบ คนผู้นั้นก็หัวเราะพร้อมกระโจนตัวขึ้น วิ่งออกไปสิบกว่าหมี่แล้ว
เขาตกใจระคนโมโห คิดจะไล่ตาม กลับค้นพบอย่างงุนงงว่า รอบๆ ป่าปรากฏเงาที่คุ้นเคยสายหนึ่งขึ้นมา
“ไม่เจอกันนาน ก่วนเนี่ยน ครั้งนี้ไม่ให้ท่านหนีอีกแล้ว…” โฉมสะคราญรูปร่างยั่วยวน ใส่เสื้อผ้าเปิดเผย สวมกระโปรงสั้นสีดำ ใช้ปลายนิ้วม้วนผมสีดำ นวยนาดออกมาจากความมืด มองกลุ่มคนในพันธมิตรบู๊
“ไป๋จิ้ง…!” ก่วนเนี่ยนสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที
“จงอวิ๋นซิ่ว ก่วนเนี่ยน วันนี้ข้ากลับกำจัดมุสิกตัวใหญ่สองตัวจากพันธมิตรบู๊ได้ ไม่เลวๆ โชคดียิ่งนัก” อีกด้านหนึ่งของขบวน บัณฑิตหน้าขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากในความมืดอย่างเชื่องช้า
บัณฑิตที่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ถือพัดพับสีชมพูวาดรูปคนงามชมบุปผา ใบหน้าคล้ายเติมผงชาดที่สตรีใช้ มีกลิ่นหอมเข้มข้นโชยมา
“เฉวียนฮวน!” ก่วนเนี่ยนสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกแล้ว
ถ้ามีแต่ไป๋จิ้งคนเดียว เขาร่วมมือกับจงอวิ๋นซิ่วลอบโจมตีพร้อมกัน อาจมีโอกาสเอาชนะ แต่เมื่อมีเฉวียนฮวนโผล่มา คนผู้นี้ไม่ใช่มือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับตรีลักษณ์เช่นไป๋จิ้ง ชื่อเสียงของเฉวียนฮวนล่ำลือกันในหมู่ลูกหลานตระกุลขุนนางแห่งจงหยวนจำนวนไม่น้อยมายี่สิบกว่าปีแล้ว เป็นเพราะเขาไม่เพียงมีพลังไม่เลว ยังมีมันสมองใช้ได้ ถูกยอดฝีมือที่แกร่งกว่าล้อมอยู่หลายครั้ง กลับเปลี่ยนจากร้ายจนกลายเป็นดีได้
“ครั้งนี้ยุ่งยากแล้ว…” ก่วนเนี่ยนเกร็งร่าง แลกสายตากับจงอวิ๋นซิ่ว พร้อมหนีทุกเวลา ขอแค่พวกเขาหนีออกไปก่อน ล่อพวกไป๋จิ้งที่แข็งแกร่งที่สุดไปได้ อย่างนั้นพวกคนธรรมดาเช่นนายผู้เฒ่าจางอู่หยาก็มีความหวังรอดชีวิต
แต่ติดๆ กันถัดจากนั้น เงาสองสายซึ่งเยื้องกรายมาจากอีกสองทิศทางทำให้หัวใจของพวกก่วนเนี่ยนตกลงตาตุ่ม
พวกเขาจิตใจเย็นเยียบ ในขบวนด้านหลังมีคนแสดงสีหน้าสิ้นหวังบ้างแล้ว
สู้รบกับจวนอู๋โยวมาหลายปี พวกเขาส่วนใหญ่รู้จักทูตแห่งจวนอู๋โยว ทูตเหล่านี้ต่างก็เหมือนเซียวหงเย่ เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งสุดขีดซึ่งปกครองดินแดนแห่งหนึ่ง กลับนึกไม่ถึงว่าจะเจอที่นี่ถึงสี่คน!?
ลู่เซิ่งขี่ม้ามองขบวนหลี่ซุ่นซีแต่ไกล ใบหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้างเช่นกัน
“พี่หลี่ ดูเหมือนพวกท่านจะทำข่าวรั่วแล้ว”
หลี่ซุ่นซีหน้าซีดขาว ทราบว่าคงไม่รอดภัยพิบัตินี้แล้ว เอ่ยกับลู่เซิ่งด้วยรอยยิ้มขื่นขม “พี่ลู่…” เขาไม่ทราบว่าควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
ลู่เซิ่งกวาดตามองพวกไป๋จิ้งที่อยู่รอบๆ ดวงตาเย็นชา
“การแลกเปลี่ยนของพวกเราไม่อาจรั่วไหล ดูเหมือนปล่อยคนพวกนี้ไว้ไม่ได้แล้ว”
“?”
พวกไป๋จิ้งงงงัน ชายฉกรรจ์ผิวทองแดงที่อยู่ใกล้ลู่เซิ่งที่สุดใช้สายตามองลู่เซิ่งดั่งมองคนโง่งม
“เด็กน้อยเจ้าเป็น…” ทันใดนั้นเขาสายตาเปลี่ยนแปลง สองตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะมองลู่เซิ่ง ปากค่อยๆ อ้าออก
“เจ้า… เจ้าๆๆ…!?”
“อย่าโทษข้า ต้องโทษที่พวกเจ้ารู้มากเกินไป!” ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักดาบคู่จากกลางหลัง กล้ามเนื้อบิดเบี้ยวขดตัวเหมือนกับเป่าลม ใช้เวลาหลายอึดใจ คนธรรมดาสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ ก็ขยายใหญ่กลายเป็นกล้ามเนื้อยักษ์สูงเกือบสามหมี่!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ กระแสปราณโปร่งสายหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวและร้อนแรงวนเวียนอยู่รอบตัวเขา ความรู้สึกจากลมปราณนั้นทำให้ชายฉกรรจ์ผิวทองแดงที่อยู่ห่างไปสิบกว่าหมี่ทั่วร่างร้อนลวก ผิวหนังปวดแสบปวดร้อน
“เก้าพิฆาตแดงฉาน… อานุภาพเกรียงไกร!”
ตูม!
ฮี้!
ม้าข้างใต้ลู่เซิ่งร้องโหยหวน ขาหักทรุดลงกับพื้น
ลู่เซิ่งกระทืบเท้าข้างหนึ่งใส่ด้านหลังของมันเพื่อยืมแรงกระโดดขึ้น ร่างกายหนักอึ้งพุ่งไปอย่างรุนแรงดุจหินก้อนใหญ่
ตำแหน่งที่พุ่งไปเป็นชายฉกรรจ์ร่างผิวทองแดงซึ่งเป็นหนึ่งในสี่คนนั้น
ชายฉกรรจ์ม่านตาหดตัว กันสองแขนไว้ด้านหน้า เท้ายันพื้น เยื่อดำทั่วร่างไหลเวียนปกคลุมผิวร่าง
ย๊าก!
เขาตะโกนขึ้น สองตาปรากฏแสงสีแดง กระตุ้นวิชาลับ เกล็ดงูหลามสีขาวโผล่ขึ้นทั่วร่างอย่างรางเลือน
ตูม!
ดาบคู่ปะทะเข้ากับแขนทั้งสองข้างของชายร่างกำยำ เหมือนกับก้อนหินยักษ์สองก้อนกระแทกใส่กันโดยตรง
หยุดนิ่งเพียงชั่วพริบตา ทุกคนได้ยินเสียงกระจ่าง แขนของชายร่างกำยำหักลง ไม่ทันได้โต้ตอบ ทรวงอกก็ถูกดาบฟันใส่
เสียงฉับดังขึ้น เมื่อศีรษะ ท่อนบน จนถึงส่วนเอวของชายร่างกำยำถูกดาบฟันเป็นสองส่วนในอึดใจเดียว
“เจ้า…!” ชายร่างกำยำดิ้นรนบนพื้น สุดท้ายพูดได้คำเดียว
ตูม!
เขายังกล่าวไม่ทันจบ ศีรษะของเขาก็ถูกลู่เซิ่งกระทืบจนระเบิดออก
ปราณภายในร้อนแรงบนคมดาบ พริบตาเดียวก็เผาชายร่างกำยำเป็นฝุ่นดำกลุ่มหนึ่ง
ลู่เซิ่งถือสองดาบในมือ มองไปที่พวกไป๋จิ้ง
“ยังมีอีกสามคน” เขาแสยะยิ้ม
ป่าทั้งป่าเงียบสงัด
“ปีศาจ…มารปีศาจ…!” ปลายจมูกและหน้าผากของก่วนเนี่ยนมีเหงื่อผุดซึม ร่างกายสั่นระริก ขณะจ้องมองลู่เซิ่งหลังจากเขาเปลี่ยนร่าง
ร่างกายสีเทาดำขนาดเกือบสามหมี่นั้นไม่ว่ามองอย่างไร ก็ไม่เหมือนคน คล้ายมารปีศาจแปลงกายจากจวนอู๋โยวมากกว่า
เพียงแต่มารปีศาจระดับนี้… สามารถฟันทูตเขตแดนจนตายในครั้งเดียวได้ เหมือนเยื่อดำไม่มีอยู่
พลังแบบนี้…!
ถ้าเจอมารปีศาจจริงๆ พวกเขาต้องตายทุกคนที่นี่
“ไม่… ไม่ใช่มารปีศาจ…” จางอู่หยาแตกต่างกับเขา สีหน้าตื่นเต้นและลุ่มหลงขณะจ้องมองลู่เซิ่งในเวลานี้
“วิชาแข็งกร้าว… นี่เป็นวิชาแข็งกร้าว! วิชากำลังภายนอกที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งเดียว! พวกเราเคยประชุมกัน และเรียนรู้ร่วมกันว่า สภาพวิชาแข็งกร้าวที่แข็งแกร่งที่สุดตามทฤษฎีคือเช่นนี้… น่าเหลือเชื่อ! น่าเหลือเชื่อ! มีคนแบบนี้อยู่จริงๆ! น่าเหลือเชื่อ!” เขาพึมพำ จ้องการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่ของมนุษย์ทุกส่วนบนร่างลู่เซิ่งอย่างตั้งใจ
“ท่านหมายความว่า คนผู้นี้ใช้วิทยายุทธ์?! ใช้วิทยายุทธ์ฆ่าทูตเขตแดนคนหนึ่งหรือ?! จงอวิ๋นซิ่วที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ
“คนผู้นี้เป็นอัจฉริยะ! อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีคนก้าวข้ามได้! บนโลกใบนี้มีคนที่เรียนรู้วิชาแข็งกร้าวจำนวนมากจนสำเร็จได้จริงๆ หรือนี่!? ฮ่าๆๆ! มรรคายุทธ์มีความหวัง! มรรคายุทธ์มีความหวัง!” จางอู่หยาแทบกระโดดโลดเต้น ตื่นเต้นลิงโลด
……………………………………….