ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 141 ชุมนุมกลอน (1)
บทที่ 141 ชุมนุมกลอน (1)
“จริงด้วย ครั้งนี้ที่ข้ามา ก็เพื่อถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องราวของจวนอู๋โยวตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ดูจากตอนนี้ ถามหรือไม่ถามก็ไม่จำเป็นแล้ว” ซั่งหยางจิ่วหลี่เอ่ยอย่างไม่นำพา “ยังมี แม้แต่อีกาดำก็มองพิษศพบนตัวเจ้าออก ทางที่ดีเจ้าจัดการให้ดี”
“บังอาจถามใต้เท้า ทำไมเฒ่าเฮยบอกว่าข้าพูดโหกกับเขา” ลู่เซิ่งเงียบขรึม อยู่ๆ ก็ถามขึ้น
“ข้าไม่รู้ เขาอาจสัมผัสกลิ่นอะไรสักอย่างได้จากตัวเจ้า จึงมองช่องโหว่ออก ผู้ใดทราบเล่า สำหรับข้า ใช้แค่หน้าตาของตระกูลซั่งหยาง หน้าตาของตระกูลซั่งหยางยังอยู่ก็พอ” ซั่งหยางจิ่วหลี่บีบกระถางติ่งใบเล็ก พลันถาม “เจ้าวางกับดักผู้ประกอบพิธีหรือไม่”
“ใต้เท้าทำไมกล่าววาจานี้ พลังของข้ากับใต้เท้าผู้ประกอบพิธีห่างกันขนาดนี้ ท่านว่าเป็นไปได้หรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“เจ้าไม่ไหว ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นๆ ไม่ไหว” ซั่งหยางจิ่วหลี่กล่าวอย่างล้ำลึก “เรื่องเก็บศพ ครั้งหน้าทำให้น้อยๆ หน่อย แน่นอนว่าถ้าเหมือนครั้งนี้หมดก็ดี เอาล่ะ ข้าไปแล้ว อย่าลืมบรรณาการประจำปี” นางโบกมือ หมุนตัวไปหิ้วบุรุษวัยกลางคนที่สลบอยู่ข้างกราบเรือ กระโดดลงจากเรือ หมุนตัวกลางอากาศรอบหนึ่งเหมือนนางแอ่นทะเล แล้วหายไปอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ซั่งหยางจิ่วหลี่ยึดถือเขาเป็นคนเก็บศพเสียแล้ว แต่ยังดีที่ครั้งนี้นางมาทันเวลาไม่ถูกเฒ่าเฮยโจมตี ไม่อย่างนั้นสภาพในปัจจุบันของเขา คิดต่อสู้กับเฒ่าเฮย มีความยากอยู่บ้างจริงๆ
ไร้กำลังภายในธาตุหยาง ได้แต่ปะทะตรงๆ ไม่อาจฆ่าอีกาดำ นอกจากหนีแล้ว ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก
‘กระถางติ่งที่ใช้ไม่ได้และความเป็นมาไม่แน่ชัด สะกดจวนอู๋โยวได้ชั่วคราว การค้านี้คุ้มค่านัก’ ลู่เซิ่งมองทิศทางที่ซั่งหยางจิ่วหลี่จากไป จัดคอเสื้อ สาวเท้าเดินไปยังบันไดหอ แล้วลงด้านล่าง
การประลองยังคงดำเนินอยู่ ซูเยว่รออยู่นอกโถงนางแอ่น พอเห็นลู่เซิ่งกลับมา สองตาเป็นประกาย จะรีบเข้าไปคุกเข่า
“ยังไม่ต้องรีบ ข้าต้องดูก่อน ถ้าจิตใจและคุณสมบัติของเจ้าไม่เหมาะจะฝึกฝนวรยุทธ์ของข้า เช่นนั้นข้าก็ตอบรับเจ้าไม่ได้” ลู่เซิ่งรีบหยุดนาง
“ขอบคุณประมุขพรรค จะต้องไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” ซูเยว่เอ๋อร์พลันมีสีหน้าลิงโลด
การประลองที่อีกาดำมาขัดขวางก่อนหน้านี้ ตอนนี้ดำเนินถึงช่วงท้ายแล้ว หลังจากระดับสูงในพรรคถูกทำร้าย แล้วเฉินอิงส่งไปรักษา บรรยากาศของการประลองก็ไม่ได้คึกคักเท่าก่อนหน้า คนจำนวนมากแสดงสีหน้าจนปัญญาและหดหู่
แม้มรรคายุทธ์จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้ แต่เทียบกับบางคนแล้ว ยังอ่อนแอเกินไป เหตุเปลี่ยนแปลงรอบนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงถึงขีดสุด ต่อความพยายามจากการที่คนจำนวนมากลำบากลำบนฝึกฝนมรรคายุทธ์
บรรยากาศในโถงนางแอ่นอึดอัด ลู่เซิ่งพอกลับถึงบัลลังก์ หงหมิงจือก็ให้รางวัลสิบอันดับแรก การประลองนับว่าจบลงแล้ว
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
ลู่เซิ่งสงบใจรักษาอาการบาดเจ็บ ทุกๆ วันกินวัตถุดิบยาและแช่โอสถ กินตัวยาล้ำค่าปริมาณมาก อาการบาดเจ็บดีขึ้นตามลำดับ
เขาอาศัยเวลาว่างที่ฝึกฝนไม่ได้ เริ่มจัดการเรื่องราวที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำมาตลอด
สิ่งที่สำคัญที่สุดในนี้ คือการหมั้นหมายกับเฉินอวิ๋นซี
ลูเซิ่งวางแผนจะไปหานาง ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่ ถ้านางยังรอ เช่นนั้นจะมอบคำว่ากล่าวแก่นาง
…
บ้านตระกูลเฉิน
นับตั้งแต่นายน้อยหวังถูกทำร้ายจนพิการ วันเวลาของเฉินอวิ๋นซีก็เปลี่ยนแปลงไป
ในสวนดอกเหมย เฉินอวิ๋นซีกลัดกลุ้มใจ ถือหยกหรูอี้ที่สลักอย่างประณีตแท่งหนึ่ง นี่เป็นของล้ำค่าที่บิดาซื้อมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะ
ดอกเหมยสีขาวเบ่งบานในสวน นางกลับเหม่อลอย สองตาไร้ประกาย ไม่ทราบคิดอะไร
“คุณหนู คนจากหอดอกเหมยส่งของขวัญมาอีกแล้ว” ที่ประตู เด็กสาวรับใช้ข้างกายคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามา กล่าวกับเฉินอวิ๋นซีเบาๆ
“รอบนี้เป็นอะไร” เฉินอวิ๋นซีถามเบาๆ
“เป็นผงหอม ผงหอมทั้งหมดเก้าสิบเก้าชนิดที่กลิ่นและสีต่างกัน” เด็กสาวรับใช้ตอบเบาๆ ดวงตาปรากฏความอิจฉา
ในระยะนี้ ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง หอดอกเหมยจะส่งของหลากหลายมา ผงหอมแป้งชาด กระโปรงเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือของชิ้นเล็กๆ ที่แปลกใหม่
ระดับความล้ำค่าของวัตถุส่วนหนึ่งในนี้ แม้แต่เฉินเต้าเจ่าบิดาของเฉินอวิ๋นซียังถอนใจชมเชย ชื่นชมลู่เซิ่งที่ไม่เคยเห็นหน้าไม่หยุด
แม้เขาจะเคยตกใจจนสลบไปครั้งหนึ่ง แต่ในฐานะพ่อค้าวาณิช ไหนเลยจะไม่ทราบความนัยเบื้องหลังที่หอดอกเหมยกระทำเช่นนี้
เบื้องหลังหอดอกเหมยลึกล้ำสุดหยั่งคาด แต่เฉินเต้าเจ่าเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่ง สุดท้ายก็มีการข่าวฉับไว ทราบเหตุผลที่ส่งของขวัญเหล่านี้มาคร่าวๆ
แต่เฉินอวิ๋นซีกลับไม่ทราบ
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าว่าพี่เซิ่งเป็นใครกันแน่ ทำไมจึงมีคนจำนวนมากส่งของขวัญมาให้ข้าเพื่อเขาโดยเฉพาะ”
เด็กสาวรับใช้อวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าเล็กน้อย ใบหน้ายังคงอิจฉา
“บ่าวไม่ทราบ แต่สมควรเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยมมากกระมัง”
เฉินอวิ๋นซีงงงัน
“บุคคลที่ยิ่งใหญ่… ยอดเยี่ยม….” นางลูบไล้นิ้วบนหยกหรูอี้อย่างไม่รู้ตัว ไม่ทราบคิดอะไรอยู่
อวี้เอ๋อร์ยืนอยู่ด้านข้างนาง ก้มหน้าด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ขณะมองร่างกายสูงชะลูดของเฉินอวิ๋นซี โดยเฉพาะขายาวๆ ทั้งสองข้าง แทบกินสัดส่วนสองในสามของร่างกาย ก็ริษยาอยู่บ้าง
รูปร่างเช่นนี้ขี้เหร่จริงๆ ตอนนี้ทุกคนต่างชอบคนที่ตัวเล็ก เหมือนเช่นนาง
นางเคยคิดว่า สตรีรูปร่างดั่งเฉินอวิ๋นซีถึงกับหาที่พักพิงที่ดีเช่นนี้เจอ ช่างน่าเหลือเชื่อแท้ๆ
อวี้เอ๋อร์ก้มหน้าต่ำกว่าเดิม อาศัยอะไร ข้าตัวเล็กกว่านาง น่ารักกว่านาง ยังไม่เจอบุรุษสักคน
เฉินอวิ๋นซีทราบว่าคนหลายคนเดาว่า นางในเมื่อเงื่อนไขแย่ สภาพร่างกายใช้ไม่ได้ ที่บุคคลยิ่งใหญ่ผู้เป็นปริศนานั่นชมชอบนาง จะต้องเป็นเพราะทรัพย์สมบัติของตระกูลนางแน่ แต่นางทราบว่าไม่ใช่
ลู่เซิ่งที่แล้วมาไม่ใช่คนเช่นนั้น
เฉินอวิ๋นซีเด็ดดอกเหมยดอกหนึ่งมาคีบระหว่างนิ้ว มองดอกเหมยขาว ค่อยๆ นึกย้อน อวี้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างสวมเสื้อตัวใหญ่ให้นางเบาๆ
“คุณหนูๆ !” ทันใดนั้นเด็กสาวรับใช้คนหนึ่งพลันถลันเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น! ตื่นตูมอันใด คุณหนูตกใจไปด้วยจะทำอย่างไร รู้จักกฎหรือไม่” อวี้เอ๋อร์รีบสั่งสอน
“ไม่ใช่… เป็นคุณชายลู่ คุณชายลู่มาแล้ว!” เด็กสาวรับใช้คนนั้นเอ่ยเสียงดังกระท่อนกระแท่น
แกร๊ง
หยกหรูอี้ของเฉินอวิ๋นซีร่วงตกพื้น นางก้าวหลายก้าวเป็นก้าวเดียวเข้าไปกดไหล่เด็กสาวรับใช้ไว้
“เจ้าพูดจริงหรือ?!”
“จริงๆ เจ้าค่ะ ข้าเคยเห็นคุณชายลู่ ตอนนี้รถม้าของเขาจอดอยู่ข้างประตูบ้านไม่ได้จากไป!” เด็กสาวรับใช้รีบตอบ
“ข้ารีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า!” เฉินอวิ๋นซีหมุนตัววิ่งไปยังห้องนอนอย่างแน่วแน่
อวี้เอ๋อร์ร้องเรียกด้านหลังพลางติดตามไป
…
ลู่เซิ่งนั่งที่โถงหลัก เฉินเต้าเจ่านั่งเป็นเพื่อนเขา มีโฉมสะคราญทยอยเข้ามา นักดนตรีเข้ามาบรรเลงบทเพลง สุราเลิศรสอาหารโอชะถูกนำเข้ามา
“ผู้เฒ่าเฉินรสนิยมดีจริงๆ” ลู่เซิ่งใบหน้าประดับรอยยิ้ม ยกสุราขึ้นจิบ
“ถ้าหลานชอบ ก็สามารถเลือกได้ตามใจ” เฉินเต้าเจ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแต่พวกเราเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มีคุณสมบัติฝึกวรยุทธ์ ถือว่าโยนไหแตกซ้ำ[1]”
“ผู้เฒ่าเฉินถ่อมตัวแล้ว ความตั้งใจของท่านอยู่ที่กิจการ เพียงแค่ความปรารถนาแตกต่างกันเท่านั้น” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“ไม่ทราบที่หลานมาครั้งนี้มีเรื่องใดหรือ อวิ๋นซีช่วงนี้กลัดกลุ้มใจ ไม่อยากอาหาร ถ้าหลานไม่มีธุระ ก็ลองมาเยี่ยมนางดูได้นะ” เฉินเต้าเจ่ารุกอย่างระริกระรี้
ลู่เซิ่งรู้ว่าเขาสืบข้อมูลบางอย่างของตนมา ไม่ได้ถือสา สถานะประมุขพรรควาฬแดงไม่อาจซ่อนไว้ได้ตลอด จะต้องมีเวลาที่กระดาษห่อไฟไม่ได้
“ครั้งนี้ข้ามา เพราะอยากนัดอวิ๋นซีไปวัดประกายทองเพื่อเดินเล่นด้วยกัน พอดีที่นั่นจัดชุมุนุมกลอนประกายทอง จะไปร่วมสนุกดู เพียงแต่ไม่ทราบว่าอวิ๋นซีอยากไปหรือไม่…”
“อยากไปๆ ! ต้องอยากไปแน่!” เฉินเต้าเจ่าไม่รอเขาพูดจบก็รีบตอบรับ “อวิ๋นซีรอออกไปเที่ยวกับหลานมานานแล้ว” พูดจบ เฉินเต้าเจ่าก็รู้สึกว่าออกอาการไปเล็กน้อย จึงกล่าวเสริมว่า
“ถึงอย่างไรหญิงสาวอยู่แต่ในบ้านก็อึดอัด ข้าเดิมคิดจะส่งนางออกไปสูดอากาศ หลานมาพอดี เป็นโอกาสเหมาะทีเดียว! ฮ่าๆๆๆๆ!” เขาหัวเราะแห้ง
“นี่กลับบังเอิญ” ลู่เซิ่งย่อมทราบว่าเฉินเต้าเจ่าไฉนเป็นเช่นนี้ ด้านหนึ่งเพราะเขามีอำนาจเกินไป แรงกดดันและความรู้สึกกดขี่ที่เขานำมารุนแรงเกินไป ทำให้อีกฝ่ายไม่รู้จักบันยะบันยัง อีกด้านหนึ่ง สิ่งสำคัญคือตระกูลเฉินล่วงเกินรองผู้บัญชาการ ตอนนี้อาศัยอำนาจของลู่เซิ่ง จึงไม่ถูกแก้แค้น
เหตุผลสองสามข้อนี้รวมกัน เฉินเต้าเจ่ามีท่าทีเช่นนี้ก็สมเหุตสมผล
“บังเอิญๆ จริงๆ ” เฉินเต้าเจ่ายิ้ม“วันนี้ฟ้ามืดอยู่บ้าง หลานคิดจะไปเข้าร่วมชุมนุมกลอนตอนดึกหรือ”
“อือ เป็นเช่นนี้จริงๆ ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ก็ดีๆ อีกเดี๋ยวอาจฝนตก อย่าลืมนำร่มไปด้วย ถ้าดึกเกินไป ข้าจดจำได้ว่าวัดประกายทองค้างคืนได้ หลานไปค้างคืนที่นั่นก็ได้ ไม่ต้องพาเฉินอวิ๋นซีกลับมา จะได้ปลอดภัย” เฉินเต้าเจ่าเสนอพร้อมกับยิ้มแย้ม
ลู่เซิ่งพลันหมดคำพูด
ให้เขาค้างคืนที่วัดประกายทอง ยังพาเฉินอวิ๋นซีไปด้วย นี่ไม่ได้บอกใบ้ให้เขาจัดการเฉินอวิ๋นซีที่ด้านนอกดอกหรือ
ไหนเลยมีบิดาเช่นนี้ ก่อนหน้านี้จะส่งบุตรีให้เป็นอนุคนอื่น ตอนนี้ยังมีท่าทางแทบอดรนทนไม่ไหวที่จะให้บุตรีเสียตัว
นี่ทำให้ลู่เซิ่งไม่มีคำพูดจะตอบจริงๆ
เฉินเต้าเจ่ารู้สึกว่าคำพูดนี้เปิดเผยเกินไป หน้าแหยอยู่บ้าง คิดพูดอะไรแก้เก้อ
“ท่านพ่อ!” ทันใดนั้นเฉินอวิ๋นซีเร่งฝีเท้าเข้ามาจากประตูใหญ่ ใบหน้าแดงก่ำ อายจนเงยหน้าไม่ขึ้น
“ท่านพูดอะไรของท่านกัน”
“มาแล้วๆ ! พวกเจ้าคุยกันเถอะ ข้ามีสหายเก่ามาเล่นหมากล้อมพอดี ไปก่อนก้าวหนึ่ง” เฉินเต้าเจ่าพอเห็นบุตรีมา ก็รีบลุกขึ้น ไม่รอลู่เซิ่งตอบ เขาจากไปอย่างรวดเร็วเหมือนหลบหนี
เหลือทั้งสองคนมองหน้ากันไปกันมา ไม่ทราบควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
เฉินอวิ๋นซีคล้ายแต่งตัวอย่างตั้งใจ กระโปรงยาวถึงเข่าสีเขียวมรกต ชายกระโปรงสองข้างมีร่องเล็กๆ เห็นขายาวที่เนียนนุ่มดั่งงาช้าง เหมือนกับเสื้อสองผืนแขวนอยู่บนร่าง หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง เพียงปกปิดส่วนสำคัญที่สุด
ด้านบนผมยาวสีดำคลุมไหล่ ปิ่นผมหยกแดง ตุ้มหูไข่มุกสีขาวนวลสั่นไหว ขับความงามหมดจดของนางมากกว่าเดิม
……………………………………….
[1] โยนไหแตกซ้ำ หมายถึง ทำเรื่องที่เลวร้ายให้เลวร้ายลง เหมือนโยนไหที่แตกอยู่แล้วลงพื้นซ้ำสอง