ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 15 ซุ่มฝึกฝีมือ (5)
ลู่เซิ่งเรียนกับหัวหน้ามือปราบจางสวินได้สามวัน ก็จดจำฝ่ามือทำลายใจได้โดยสมบูรณ์
จากนั้นก็ไปหาอาจารย์คนที่สอง
อาจารย์คนที่สองที่ลุงจ้าวแนะนำแซ่ตู้ชื่อเจิ้น เคยเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดในที่ทำการข้าหลวง เป็นคนรุ่นเดียวกันกับหัวหน้ามือปราบจางสวิน
เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดท่า ดาบนางแอ่นถลาลมเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ
น่าเสียดาย…ภายหลังมือของเขาถูกแทงโดนเส้นเอ็น คนพิการแล้ว ไร้บุตรไร้ธิดาเหมือนกัน แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้แต่งงาน เก็บตัวเงียบขรึม จึงไม่มีทายาท
ลู่เซิ่งเรียนกับคนผู้นี้สี่วัน
เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดท่าดาบนางแอ่นถลาลม ตามความเป็นจริงในสายตาของเขายังอ่อนด้อยกว่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำขั้นหนึ่ง แต่มีทักษะวิชาวรยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งย่อมเป็นเรื่องดี
จากนั้นเขาขอให้ลุงจ้าวพาเขาไปหายอดฝีมือที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ในเมืองเก้าประสาน โดยเฉพาะยอดฝีมือรุ่นอาวุโส
หลังจากได้รับอนุญาตจากลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดา จึงใช้เงินเบิกทางทีละแห่งๆ เขาได้เรียนท่าเท้าแปดสมบัติ กับดาบสองปลายจากยอดฝีมืออีกสองคน
ล้วนเป็นวรยุทธ์ที่ต่ำกว่าวิชาดาบพยัคฆ์ดำขั้นหนึ่ง
เขาเข้าใจแล้วว่า วิชาดาบพยัคฆ์ดำนั้น ลุงจ้าวนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดของเมืองเก้าประสานแล้ว คนอื่นๆ ไหนเลยจะบรรลุระดับเขาได้ง่ายดายขนาดนั้น
ใช้เวลาติดต่อกันสองเดือน ลู่เซิ่งฝึกฝนวรยุทธ์แต่ละชนิดอย่างมุ่งมั่น
ขณะเดียวกันก็บำรุงร่างกายอย่างต่อเนื่อง กินกินกินยาบำรุงหยิน เสริมโลหิตไปมากมาย
ค่าใช้จ่ายในตระกูลที่ใช้จ่ายไปในยาบำรุงก็ หลังจากเขาเริ่มฝึกวรยุทธ์เพิ่มขึ้น เดือนหนึ่งใช้มากกว่าพันตำลึง นี่เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลสำหรับครอบครัวทั่วไป
ยังดีที่ได้รับการยอมรับจากลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดา ไม่อย่างนั้นการใช้เงินแบบเขา ต่อให้เป็นลูกหลานบ้านรวยอย่างไรก็ไม่อาจล้างผลาญได้ขนาดนี้
พริบตาเดียว หน้าร้อนผ่านไป ฤดูสารทเดือนเก้ามาเยือน
ลู่เซิ่งมาถึงโลกนี้ได้เกือบสามเดือนแล้ว
“คุณชายเซิ่งช่วงนี้ขยันจริงๆ”
ลุงจ้าวลูบเคราขณะมองดูลู่เซิ่งที่ตั้งใจฝึกฝนดาบนางแอ่นถลาลมบนลานฝึก
วิชาดาบชุดนี้ลู่เซิ่งไม่ได้ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน ช่วงนี้เขาไม่ได้แตะต้องเครื่องมือปรับเปลี่ยนอีกเลย เพียงลองคลำทางด้วยตัวเอง
ที่ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนครั้งสุดท้ายเป็นวิชากำลังภายใน เขาคิดจะทดลองดูว่า ระหว่างวรยุทธ์ที่ตนตั้งใจฝึกฝนกับวรยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนมามีข้อแตกต่างกันยังไง
พอดีที่วิชาดาบนางแอ่นถลาลมเรียนไม่ยาก กระบวนท่าเรียบง่าย เหมาะให้เขาค่อยๆ ฝึกฝน
ฉัวะ!
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
เสียงกังวานดังติดต่อกันหลายครั้ง ต้นหญ้าตอไม้ที่อยู่รอไปบๆ ลู่เซิ่งถูกฟันทิ้งไป
ลู่เซิ่งมือถือดาบยาวกว่าหนึ่งหมี่ไว้ในมือ ค่อยๆ พลิกตัวดาบแนบกับแผ่นหลัง นับว่าจบกระบวนท่า
“เพราะฝึกยุทธ์ช้าเกินไป ไม่ขยันแล้วจะตามคนอื่นทันได้อย่างไร”
ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ช่วงนี้ต้องขอบคุณลุงจ้าวท่านอย่างยิ่ง”
ลุงจ้าวโบกมือ
“ข้าทราบว่าคุณชายเซิ่งท่านมีความคิดรวบรวมคัมภีร์ลับวรยุทธ์ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตระกูล เพียงแต่ว่าคนที่สามารถมอบวรยุทธ์ให้ได้ในเมืองเก้าประสานนี้มีไม่กี่คน ที่เหลือความเป็นไปได้ต่ำยิ่ง ต่อจากนี้ท่านมีแผนการอะไร”
ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย ปล่อยให้เสี่ยวเฉี่ยวที่วิ่งเหยาะๆ เข้ามา นำผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้ตัวเองเช็ดเหงื่อ
“ในเมื่อในเมืองเก้าประสาน…”
“แย่แล้ว! แย่แล้ว!” ทันใดนั้นคนรับใช้คนหนึ่งพลันวิ่งเข้ามาในลานฝึกอย่างเร่งรีบ สีหน้าซีดขาว ปากร้องตะโกนขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น เอะอะโวยวายอะไรกัน!”
ผู้คุ้มกันในจวนคนหนึ่งเข้าไปตำหนิ ลากคนรับใช้ที่ร้องโวยวายคนนั้นไปอีกทาง สอบถามอย่างละเอียด
รอถามไถ่จนเข้าใจ ผู้คุ้มกันคนนั้นมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเช่นกัน รีบวิ่งมาทางพวกลู่เซิ่ง
“คุณชายใหญ่ คุณหนูสองมีเรื่องกับคนอื่นแล้ว ซ้ำตอนนี้ยังหาคนไม่เจอ!” ผู้คุ้มกันรายนี้รีบกล่าวรายงานเสียงดัง
“อะไรนะ!”
ลู่เซิ่งงุนงง
เขารู้ว่าลู่ชิงชิงกลับมาจะต้องเกิดเรื่อง แต่คิดไม่ถึงว่าจะก่อเรื่องไวขนาดนี้
“นางอยู่ที่ไหน มีเรื่องกับใคร”
ลุงจ้าวถามอย่างรวดเร็วจริงจัง
“ที่ถนนดอกหลิว กับผู้คุ้มกันคณะพ่อค้าที่ผ่านทางมาสองสามคน!”
“เรื่องนี้นายท่านผู้เฒ่าทราบไหม”
“ไม่แน่ใจ แต่ว่าเด็กรับใช้ผู้นั้นเพิ่งได้รับรายงานข่าว เป็นหญิงรับใช้ที่ติดตามคุณหนูสองมาแจ้ง เขาจึงมาหาคุณชายใหญ่ท่านเป็นคนแรก”
ผู้คุ้มกันกล่าวอย่างเร่งรีบ
พวกเขาล้วนเป็นลูกกำพร้าที่ลู่เฉวียนอันรับมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ดูแลจนเติบใหญ่ มีความซื่อสัตย์ต่อตระกูลลู่สูงยิ่ง
“ทำได้ดี เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบรายงานท่านพ่อ ข้าจะไปดูก่อน”
ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม
“คุณหนูสองกำลังตรวจสอบคดีของตระกูลสวี ไฉนจึงไปมีเรื่องกับผู้คุ้มกันของคณะพ่อค้าได้” ลุงจ้าวกล่าวอย่างสงสัย
“ไปดูก็รู้แล้ว”
ลู่เซิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม
เขารวบรวมคนรับใช้ในตระกูลอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ครบสิบคนแล้ว ก็มุ่งหน้าไปถนนกิ่งหลิว
ถนนกิ่งหลิวเป็นย่านหอคณิกาที่ขึ้นชื่อของเมืองเก้าประสาน ไม่ทราบว่าลู่ชิงชิงตรวจสอบมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
เร่งรุดไปถึงโดยที่ไม่หยุดม้าเลย
พอลู่เซิ่งไปถึง บนถนนก็เละเทะระเนะระนาด คนตระกูลลู่ สองคนกับเจ้าของร้านค้าแถวนั้นกำลังนำคนเข้าไปช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่รอบๆ
“ที่ควรชดเชยเงินทองก็ให้ชดเชยเงินทอง ที่ควรขอโทษก็ให้ขอโทษ อย่าให้คนอื่นดูถูกพวกเราตระกูลลู่ได้”
ลู่เซิ่งกำชับ
“ขอรับ!”
กำลังคนทั้งสิบคนที่ออกมาจากตระกูลลู่รีบตอบรับ
ทุกคนกระจายกันออกไปแก้ไขปัญหา
ลู่เซิ่งกับลุงจ้าวมาถึงบนขอบถนน มองสถานที่ที่มีร่องรอยการต่อสู้เหลืออยู่
“เพิ่งไปได้ไม่นาน ชิงชิงมีนิสัยใจร้อนมาแต่ไหนแต่ไร ถูกอันธพาลยั่วยุในที่แบบนี้ จะลงมือก็เป็นเรื่องปกติ” ลู่เซิ่งตรวจสอบคราบเลือดบนพื้นอย่างละเอียด
เลือดมีจำนวนไม่มาก เขาไม่กังวลว่าจะเป็นเลือดของชิงชิง ด้วยความสามารถของนางไม่ต้องพูดถึง รับมือกับผู้คุ้มกันคณะพ่อค้าสองสามคนได้
บนแผ่นหินสีขาวอมเทาเปื้อนรอยเลือดสีแดงคล้ำหย่อมหนึ่ง ค่อนข้างสะดุดตาภายใต้แสงอาทิตย์
ลู่เซิ่งย่อตัวลง ใช้มือแตะรอยเลือดเบาๆ จากนั้นยกขึ้นมาดม หัวคิ้วขมวดขึ้นมา
“เป็นไรแล้ว ค้นพบอันใด” ลุงจ้าวเดินเข้ามาใช้นิ้วแตะรอยเลือดมาดมดูเหมือนเขา
“เป็นเลือดคนทั่วไป ไม่มีความผิดปกติ”
“ที่ข้าสงสัยไม่ใช่เรื่องนี้…”
ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“ที่ข้าสงสัยคือ มีปริมาณเลือดออกมากเกินไป ชิงชิงแม้ว่าจะใจร้อน แต่ลงมือก็รู้จักหนักเบา
“ลงมือมือหนักอย่างนี้ ปกตินางไม่บุ่มบางขนาดนี้”
ตอนนี้ผู้คุ้มกันที่ไปจัดการเรื่องราวรอบๆ กลับมาแล้ว
“คุณชายใหญ่มีข่าวแล้ว มีคนเห็นคุณหนูสองถือกระบี่สู้กับคนสองคน ไล่ตามออกไปนอกเมืองแล้ว! มีคนบอกว่าสองคนที่ถูกไล่ล่านั้นยังเป็นมือสังหารที่ที่ว่าการเมืองประกาศจับ ไม่ใช่ผู้คุ้มกันคณะพ่อค้าอันใด!”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ไป ไปดูที่กำแพงเมือง ประตูเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นประตูตะวันตก พวกเขาสมควรออกไปด้านนั้น”
ขบวนคนมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองตะวันตกพร้อมกับลุงจ้าว
หลังจากนั้นราวๆ สิบกว่านาที ทุกคนก็มาถึงประตูตะวันตก ทหารเฝ้าเมืองเข้ามาทักทายกับผู้คุ้มกันคนหนึ่งในตระกูล เห็นได้ชัดว่ารู้จักกัน
“คุณหนูสองลู่ไล่ตามไป มุ่งหน้าไปยังเขาลมทมิฬแล้ว”
ทหารให้ข้อมูลสำคัญ
ลู่เซิ่งกำลังจะพาคนไปตามหา เพิ่งออกจากประตูเมืองเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นชิงชิงขี่ม้าลากคนสองคนที่ถูกมัดติดกันมายังประตูเมือง
พอเห็นลู่เซิ่ง ใบหน้าลู่ชิงชิงปรากฏความภาคภูมิใจ
“พี่ใหญ่ท่านรีบร้อนมาทำอะไร ก็แค่โจรกระจอกสองคนมิใช่หรือ หรือยังไม่เชื่อมั่นในความสามารถของข้า”
นางเปลี่ยนไปสวมชุดจอมยุทธ์หญิงสีขาว มือถือกระบี่ยาวฝักกระบี่สีเงิน รัดผ้ารัดเอวแถบเงินเส้นหนึ่งไว้บนเอว ผมยาวตั้งสูง ดูองอาจสง่างาม
ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงประตูเมือง รอชิงชิงขี่ม้ามาถึงเบื้องหน้า เห็นนางพลิกตัวลงจากหลังม้า เขาค่อยระบายลมหายใจออกมา
“ภายหลังอย่าได้วู่วามเช่นนี้”
ถึงแม้เขาไม่ใช่ลู่เซิ่งคนเดิมแล้ว แต่การดูแลของมารดารองต่อเขาในช่วงเวลานี้ก็ออกมาจากใจจริง เขามิใช่คนไร้น้ำใจ ย่อมมองออกว่าคนไหนเป็นคนจริงใจซื่อสัตย์ คนไหนเป็นคนหลอกลวงไร้น้ำใจ
เป็นเพราะมารดารอง เขาจึงมีความคิดอยากดูแลลู่ชิงชิงอยู่บ้าง
“วางใจเถอะ โจรกระจอกของเมืองเก้าประสานเหล่านี้ ข้ายังไม่เห็นอยู่ในสายตา!”
ลู่ชิงชิงเอ่ยอย่างไม่สนใจ
ลู่เซิ่งมองโจรสองคนที่ถูกเชือกมัดบนพื้น ทั้งสองคนมีสีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง คล้ายกับเสียเลือดมากไป ตอนนี้สลบไปยังไม่ฟื้น ไม่ทราบว่าตายแล้วหรืออย่างไร
เพียงแต่สิ่งที่่ทำให้คนประหลาดใจคือ มุมปากของพวกเขาโค้งเล็กน้อย เหมือนกับ…กำลังยิ้ม
ลู่เซิ่งลอบจดจำไว้
เมื่อเห็นลู่ชิงชิงไม่เป็นไร เขาก็ไม่พูดอะไรมาก อาจบางทีเป็นตนเองตื่นตูมไปเอง
หลังจากตำหนิลู่ชิงชิงไปหลายประโยค เขากับลุงจ้าวก็พาคนกลับคฤหาสน์
วันเวลากลับคืนสู่ปกติเหมือนก่อนหน้านี้
ทุกวันเขาจะตื่นแต่เช้าตรู่ ใช้เวลาสามชั่วโมงฝึกวิชาดาบ ตอนบ่ายกินกินอาหาร แล้วเริ่มฝึกวิชาเท้าและฝ่ามือทำลายใจ
ตอนเย็นกลับห้องฝึกฝนวิชากระเรียนหยก
ส่วนวิชาทมิฬพิฆาตนั้น เขาหยุดไว้
วนเวียนอยู่เช่นนี้ ลุงจ้าวเห็นดังนั้น ก็เตือนให้เขามีสมาธิฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน แต่ลู่เซิ่งมีแผนการของตัวเอง
หลังจากบันทึกวรยุทธ์ทั้งหมดไว้เป็นตัวเลือกบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนแล้ว
เขาก็เริ่มยกระดับของวิชากระเรียนหยกอีกครั้ง
กลางดึก
ลู่เซิ่งนอนหงายบนเตียง สองตาค่อยๆ ลืมขึ้น
เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองออกไปนอกหน้าต่างกระดาษ
แสงจันทร์จางๆ สะท้อนเข้ามาจากนอกหน้าต่าง เหลือรอยขาวกระจ่างกลุ่มหนึ่งไว้บนพื้นห้อง
ได้ยินเสียงผู้คุ้มกันที่เฝ้ายามกะกลางคืนอยู่ข้างนอกส่งเสียงกรน
ลมพัดแรง จนต้นไม้ในลานส่งเสียงดังซู่ซ่า
ลู่เซิ่งนั่งทำสมาธิอยู่บนเตียง
‘เวลานี้ใกล้เคียงแล้ว’
เขาฟังการเคลื่อนไหวรอบๆ อย่างละเอียด ไม่พบการรบกวนที่อาจมี
‘ฝึกหล่อเลี้ยงนานขนาดนี้ ร่างกาย ลมปราณ และจิตในร่างต่างถึงจุดสูงสุด เป็นเวลายกระดับวิชากระเรียนหยกขึ้นแล้ว’
หลายวันมานี้ ลู่ชิงชิงกลายเป็นจอมยุทธ์ผดุงคุณธรรมไปทั่ว ถ้าไม่ใช่ไปจับโจรฆ่าคน ก็ไปเล่นงานพวกโจรลักขโมย โจรวิตถาร ก่อการเคลื่อนไหวไปไม่น้อย
เพียงแต่ลู่เซิ่งที่เห็น ในใจมักเกิดความรู้สึกกังวลที่ไม่อาจบรรยาย โดยเฉพาะหลายวันก่อนหน้านี้ เขาได้ทราบจากอาจารย์จางสวินว่า ตอนเขาเป็นมือปราบ ได้เจอคดีประหลาดจำนวนหนึ่ง ภายหลังแม้จะเงียบไปโดยไม่มีคำตอบ แต่ว่าคดีเหล่านี้ต่างทำให้เขาสลักลึกในภาพความทรงจำ
สลัดความคิดอื่นออกไป ลู่เซิ่งนึกเงียบๆ ในใจ
‘ดีปบลู’
อินเตอร์เฟซสีน้ำเงินเข้มโผล่ขึ้นตรงหน้าเขาทันที
เขากดปุ่มปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็เพ่งสมาธิไปที่ตัวเลือกบนวิชากระเรียนหยก
‘เพิ่มหนึ่งระดับ!’
สถานะบนตัวเลือกพลันเด้งขึ้นมา เพิ่มจากระดับหนึ่งไปถึงระดับสองอย่างผ่อนคลาย
ความรู้สึกเบาโหวงชนิดหนึ่งพลันพรั่งพรู เหมือนกับได้ปลดปล่อยความต้องการหลายครั้งในเวลาที่สั้นที่สุด
รู้สึกตาลายหัวหมุนอยู่บ้าง ความรู้สึกร้อนรุ่มก่อนหน้านี้ทะลักออกมาแล้ว
………………………………………….