ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 153 มาถึง (1)
บทที่ 153 มาถึง (1)
ในลานหลัง
ลู่ชิงชิงคลานสี่ขาพร้อมกับร้องโฮ่งโฮ่งเลียนแบบสุนัข กระโปรงสีน้ำเงินอ่อนถูกนางลากดึงจนยับยู่
ลู่อิงอิงนั่งอยู่หน้าประตูบ้านสีม่วงพร้อมท้องที่โต ขอบตาแดง คล้ายกับเพิ่งร้องไห้ แต่ก็ถูกหยอกล้อจนหัวเราะ
“หลังจากรู้ว่าบัณฑิตตระกูลหยางผู้นั้นแต่งภรรยาหลวงแล้ว อิงอิงก็น้ำตาอาบหน้าแบบนี้มาตลอด” ด้านนอกลานบ้านม่วง ลู่อีอีพาลู่เซิ่งมาดูภาพทั้งสองคนเล่นกันอยู่ด้านใน ถอนใจเล็กน้อย
“เป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าอิงอิงจะเสียสติ นางเดิมทีก็ไร้เดียงสา อุตส่าห์เจอคนรู้จักคนหนึ่ง นึกว่าจะพึ่งพิงได้ชั่วชีวิต คิดไม่ถึง…” ลู่อีอีเดิมทีไปเรียนที่เมืองอื่น ครั้งนี้ลาพักกลับบ้าน กลับทราบสภาพของลู่อิงอิงโดยคาดไม่ถึง ปลุกปลอบตัวเองมาปลอบประโลม
ลู่เซิ่งมองท้องของลู่อิงอิงผ่านร่องแยก
“ตั้งท้องนานเท่าไหร่แล้ว”
“หกเดือนกว่าๆ แล้ว” ลู่อิงอิงตอบ
ลู่เซิ่งคำนวณเวลา เขาหมั้นกับเฉินอวิ๋นซี แม้นัดกันที่หนึ่งปี แต่ครึ่งปีก็ทำตามการนัดหมายแล้ว
รวมเวลาทั้งสองฝ่าย เป็นครึ่งปีพอดี
“ข้าจะจัดการเรื่องนี้” ลู่เซิ่งสีหน้าเคร่งขรึมบูดบึ้ง
“พี่เซิ่งคิดจะทำอย่างไร ไปหาคนผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์…” ลู่อีอีกล่าวอย่างจนใจ
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยราบเรียบ ก่อนหมุนตัวจากไป
ตระกูลหยางของบัณฑิตคนที่คบหากับอิงอิง ถูกบริวารพรรควาฬแดงตรวจสอบจนทะลุปรุโปร่ง รายละเอียดข้อมูลอย่างละเอียดยิบวางบนโต๊ะหนังสือของลู่เซิ่งในตอนบ่ายของวันนั้น
เขาอ่านดู ก็แค่ครอบครัวระดับกลางในเมือง สอบได้จวี่เหรินสามรุ่น เป็นเพราะรวบรวมที่นาผืนใหญ่โดยหลีกเลี่ยงภาษี จึงเป็นคหบดีในชนบท บวกกับหยั่งรากในเมืองเลียบคีรีมานาน ร่วมงานกับบัณฑิตมากมาย มีอำนาจไม่เลว ที่น่าสนใจเพียงคนเดียวก็คือตัวบัณฑิตคนนั้น
ทว่าก็เพียงเท่านี้
เนื่องจากครอบครัวแบบนี้ไม่ได้พึ่งพิงระดับสูงมากนัก ดังนั้นจึงไม่ทราบข่าวสารที่ไวต่อความรู้สึกส่วนหนึ่ง เป็นเพราะหลุดจากชนชั้นต่ำ จึงดูถูกครอบครัวระดับต่ำ และไม่เข้าใกล้แวดวงระดับสูง กลายเป็นเทียบกับด้านบนไม่พอ เทียบกับด้านล่างได้สบาย
ในห้องนอนของตนในคฤหาสน์ลู่ ลู่เซิ่งเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับหนึ่งให้อวี้เหลียนจื่อ ให้นกพิราบส่งไป
จะจัดการอย่างไร ด้วยตำแหน่งสถานะในปัจจุบันของเขา ย่อมไม่ต้องลงมือเอง
ไม่ทันไร ถึงเวลาพลบค่ำ ลู่เซิ่งก็รับคำเชิญจากพวกผู้เยาว์ในบ้านออกไปเที่ยวเล่น จดหมายตอบกลับจากพรรคก็มาถึงแล้ว
นายผู้เฒ่าตระกูลหยางโมโหแทบกระอักเลือด ยอมตายไม่ยอมสยบ กล่าวว่าในเมืองเลียบคีรีมีกฎหมายหรือไม่ จึงปล่อยให้เด็กน้อยเหิมเกริม
“ยอมตายไม่ยอมสยบหรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะเย็นชา ขยำม้วนกระดาษในมือ “สมกับที่สอบได้จวี่เหรินสามรุ่น มีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง แต่ว่าถ้าศักดิ์ศรีมีประโยชน์ โลกนี้จะต้องการวิทยายุทธ์ไปทำไม”
“นั่นอย่างไรก็เป็นบ้านสามีของคุณหนูอิงอิง… ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล้าจัดการตามใจ ใต้เท้าอวี้เหลียนจื่อยังรอประมุขพรรคตอบกลับ” พลพรรคซึ่งเป็นองครักษ์ใกล้ชิดที่อยู่ด้านข้างกล่าวเบาๆ
“ตอบกลับอะไร ไม่ยอมสยบก็เล่นงานซะ! เล่นมันจนยอม! ศักดิ์ศรีที่ไร้ความหมายคือความโง่เขลา!” ลู่เซิ่งหัวเราะเย็นเยียบสองคำ “คำพูดของข้าลู่เซิ่งดูเหมือนใช้การในเมืองเลียบคีรีไม่ค่อยได้เท่าไหร่…”
“ประมุขพรรค ถ้าอย่างไรก็ยังไม่ยอมเล่า” องครักษ์ใกล้ชิดผู้นั้นถามอย่างระวัง “ข้าน้อยเคยได้ยินเรื่องตระกูลหยางมาก่อน เป็นคนดื้อรั้นที่ขึ้นชื่อมาก นึกว่าตัวเองซื่อสัตย์สุจริต ไม่ชอบสอพลอ…”
“ฆ่าไปสักสองสามคนเดี๋ยวก็ยอม” ลู่เซิ่งแค่นเสียง “ถ้าใช้ไม่ได้อีก ก็ฆ่าให้หมด ตระกูลเล็กๆ ในเมืองเลียบคีรีมีอยู่ถมไป ตระกูลหยางหายไปแค่ตระกูลเดียว”
องครักษ์ใกล้ชิดสะดุ้ง รีบรับค่ำสั่งไป
…
เปรี้ยง!
ประตูของลานใหญ่ตระกูลหยางถูกถีบเปิดออก ข้ารับใช้ที่คิดขวางทางเห็นเครื่องแบบของผู้มา ก็ขลาดกลัวไปครึ่งหนึ่ง ไม่กล้าเข้าไป
มังกรเขียวทะยานผู้มีร่างสูงใหญ่ เปลือยท่อนบน มัดลูกตุ้มเหล็กสองอันไว้เที่เอว เดินเข้าคฤหาสน์อย่างฮึกเหิม เรื่องนี้เขามีประสบการณ์ ดังนั้นอวี้เหลียนจื่อจึงส่งเขามา
“เจ้าๆๆ!” นายผู้เฒ่าตระกูลหยางอายุแปดสิบสองแล้ว
ในวิถีทางโลกเช่นนี้ อยู่รอดมาถึงขนาดนี้ได้ ถือว่าไม่ง่ายดายจริงๆ ตอนนี้นายผู้เฒ่ามองพลพรรคที่ทยอยเข้ามา โมโหจนพูดอะไรไม่ออก ร่างกายสั่นเทา
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร!? จะกบฎหรือ?!” ไม่ทันไรบุรุษวัยกลางคนส่วนหนึ่งในคฤหาสน์ก็พุ่งออกมา ในนี้มีคนหลายคนสวมเครื่องแบบจวี่เหริน สีหน้าซื่อสัตย์หนักแน่น ตำหนิพลพรรคพรรควาฬแดงเสียงดัง
“ส่งหยางอวิ๋นตู้ออกมา อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนพวกเจ้า เรื่องนี้ใครกระทำผู้นั้นต้องรับผิดชอบ” มังกรเขียวทะยานกล่าวอย่างเกียจคร้าน แคะไม้จิ้มฟันอย่างไม่อิหนังขังขอบ
“รายงานทางการ! รีบไปรายงานทางการ! ให้นายกองซิ่งมา อยากเห็นนักว่าผู้ใดกล้าบุกรุกที่อยู่อย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้!” บุรุษวัยกลางคนใบหน้าน่าเกรงขามพาเจ้าหน้าที่สาวเท้าออกมา ตำหนิเสียงแข็ง ไม่กลัวพลพรรควาฬแดงที่พกดาบพกกระบี่แม้แต่น้อย
“รายงานทางการหรือ” มังกรเขียวทะยานหัวเราะเหอะๆ “ในเมืองเลียบคีรีแห่งนี้ ทางการดูแลเรื่องพรรควาฬแดงของเราหรือ เจ้าออกไปสืบดูว่าคนที่หาเรื่องพรรควาฬแดงมีจุดจบเช่นไร”
เขาโบกมืออย่างหงุดหงิด
“เอาล่ะๆ รีบบอกมาว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หยางอวิ๋นตู้ ตระกูลหยางของพวกเจ้าทำให้สตรีบุปผาเหลือง[1]บ้านใต้เท้าท้อง ตอนนี้ยังกล้าแต่งภรรยาหลวงหรือ?!”
“เจ้าขี้ข้า!” นายผู้เฒ่าหยางโมโหตัวสั่น ชี้มังกรเขียวทะยาน “ถ้าไม่ใช่นังแพศยาของพวกเจ้าล่อลวงอวิ๋นตู้บ้านข้า ไหนเลยจะมีเรื่องวันนี้! สตรีนางนั้นทำให้เขาเสียชื่อเสียง ยังกล้าบุกมาแว้งกัดอีกหรือ!?”
“หมายความว่าพวกเจ้าไม่คิดคุยดีๆ ใช่หรือไม่” มังกรเขียวทะยานสีหน้าเปลี่ยนแปลง เคร่งขรึมลงอย่างรวดเร็ว
“คุยดีๆ หรือ ให้คุยอะไร” บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นขวางนายผู้เฒ่าหยาง เดินออกมา สีหน้าเอาจริงเอาจังเช่นกัน เอ่ยเสียงกังวาน
“ให้หยางอวิ๋นตู้ไล่ภรรยาหลวงไป แล้วไปแต่งคุณหนูลู่อิงอิงอย่างผ่าเผย จากนั้นติดประกาศว่าพวกเจ้าตระกูลหยางทำผิด…” มังกรเขียวทะยานหัวเราะเหอะๆ
“เป็นไปไม่ได้! พวกเจ้าข่มเหงกันเกินไป!” บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเดือดดาล
“ดูเหมือนพวกเจ้าคิดต่อต้าน มีความกล้า! ข้าชอบ!” มังกรเขียวทะยานถูมือ สีหน้าเปลี่ยนแปลง ตวาดขึ้น
“ทุบตีซะ! เอาให้หนัก ถ้าตายข้ารับผิดชอบเอง!”
เป็นแค่จวี่เหรินไม่กี่คนกล้างัดข้อกับลูกพี่ตน คงอยากตายจริงๆ
พลพรรคพุ่งเข้าไปดุจหมาป่า พยัคฆ์ร้าย พวกเขาสู้กับภูตผีปีศาจไม่ไหว แต่สู้กับคนทั่วไป ต่อให้เป็นพวกข้ารับใช้ที่สะบัดดาบ ควงหอก ก็ไม่เกินหนึ่งกระบวนท่า
ไม่ทันไรก็ทุบตีคนของตระกูลหยางจนล้มลงกับพื้น แล้วจับมัดทีละคน
คนที่ต่อต้านรุนแรงถูกทุบตีจนโชกเลือด หายใจร่อแร่ ส่วนคนที่รู้จักหน้าที่ไม่ได้บาดเจ็บมาก เพียงถูกมัดสองมือ คุกเข่ากับพื้น
“ถุย!” มังกรเขียวทะยานเดินมาถึงด้านหน้าผู้เฒ่าหยาง ถุยน้ำหลายใส่ด้านหน้าเขา
“ยังไม่ไปสืบดูว่าพรรควาฬแดงของข้าคือสิ่งใด ก็กล้าทำร้ายคุณหนูคฤหาสน์ลู่ คิดว่าตัวเองมีเก้าชีวิตหรือ”
“เจ้าๆๆ!” นายผู้เฒ่าตระกูลหยางชราแล้ว รับการกระตุ้นไม่ไหว ในที่สุดก็ตาเหลือก ล้มลงบนพื้น สิ้นสติสมประดี
“ท่านพ่อ!”
“ท่านตา!”
ลูกหลานตระกูลหยางส่วนหนึ่งกลับกตัญญู ตอนนี้ถูกมัดไว้ก็แสดงความห่วงใย คิดเข้าไปประคองนายผู้เฒ่า
มังกรเขียวทะยานไม่แยแส นำคนไปจับหยางอวิ๋นตู้ สองสามีภรรยาาที่ซ่อนอยู่ที่นี่มานานแล้ว จากด้านในชั้นใต้ดินตระกูลหยาง
พอเห็นหยางอวิ๋นตู้ มังกรเขียวทะยานก็ตะลึงงันเล็กน้อย
“สมกับที่ล่อลวงคุณหนูอิงอิงได้ ที่แท้หน้าตาไม่เลวจริงๆ ขนาดข้ายังหวั่นไหว”
หยางอวิ๋นตู้มีใบหน้าสวยงาม เพริศพริ้งนุ่มนวลดั่งสตรี ต่อให้เป็นตอนจับออกมา ก็ไม่ลนลาน เพียงแค่อับจนปัญญาและหดหู่อยู่บ้าง
“เป็นสหายของอิงอิงหรือ ข้าผิดต่ออิงอิงเอง” เขาประสานมือให้มังกรเขียวทะยาน ถอนใจ “น่าเสียดายคำสั่งบิดายากขัดขืน…”
พลพรรคที่จับเขาได้ ไม่ได้มัดเขาไว้ เพราะอีกฝ่ายมีฐานะพิเศษ อย่างไรก็เป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่ง จะหนีไปไหนได้
“คุณชายหยาง จะเอาอย่างไรท่านบอกมาเถอะ ข้าจะได้กลับไปรายงาน” มังกรเขียวทะยานเกรงอกเกรงใจกับเขา เกิดว่าเขายอมเล่า ภายหลังจะเป็นญาติบ้านประมุขพรรคแล้ว ไม่อาจล่วงเกิน
หยางอวิ๋นตู้เห็นคนในบ้านที่ถูกมัดไว้เต็มลาน ยังมีที่ถูกทุบตีจนหายใจรวยริน หากเวลาผ่านไปคงตายจริงๆ
นึกถึงเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะตัวเอง ก็น้ำตาไหล รู้สึกเศร้าใจ
“พอแล้วๆ อย่าได้เสแสร้งแกล้งดัด หยางอวิ๋นตู้ ก่อนหน้านี้ท่านมีนิสัยอย่างไร เสแสร้งเก่งกว่าผู้ใด อย่านึกว่าเรื่องเลวๆ ของท่านพวกเราจะตรวจสอบไม่ได้” มังกรเขียวทะยานกล่าวอย่างหงุดหงิดรำคาญ “ทำร้ายคนอื่นยังพอทำเนา พวกเราไม่สนใจ แต่ทำร้ายคุณหนูอิงอิงของพวกเรา เหอะๆ ท่านทำตามคำสั่งดีๆ เถอะ อย่าให้พวกเราลงไม้ลงมือ”
“พวกท่านพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ” หยางอวิ๋นตู้ดวงตาปรากฏความมุ่งร้าย
“เสแสร้งเป็นคุณชาย หลอกลวงเด็กสาวไปทั่ว เพื่อเอาเลือดสาวพรหมจารี เหอะๆ หยางอวิ๋นตู้ หมัดพิโรธเก้าลบเรือนของท่านฝึกถึงระดับไหนแล้วเล่า” มังกรเขียวทะยานกล่าวด้วยใบหน้าเยาะเย้ย
“ท่าน!?” พอเขากล่าวคำพูดนี้ สีหน้าหยางอวิ๋นตู้พลันเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นี่เป็นความลับใหญ่สุดที่เขาซ่อนไว้ในใจ คนตรงหน้านี้ทราบได้อย่างไร?!
เขาไม่สนใจสีหน้าเหลือเชื่อของคนในบ้าน ก้าวไปกดดันหนึ่งก้าว เอ่ยเสียงเฉียบขาด
“ท่านรู้ได้อย่างไร!?”
“ถึงได้บอกว่า ไม่ว่าก่อนหน้านี้ท่านเป็นโจรเด็ดบุปผาหรือไม่ เมื่อตกอยู่ในมือข้า มังกรเขียวทะยานแห่งพรรควาฬแดง ท่านจะงดงามอย่างไร ก็ต้องไปปลูกดอกไม้ที่คฤหาสน์ลู่อย่างเชื่อฟัง!”
“ฝันไปเถอะ” หยางอวิ๋นตู้เห็นว่าเรื่องราวถูกเปิดเผย ก็กระโจนร่างขึ้นจากพื้นด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง แล้ววิ่งปราดไปยังนอกกำแพงใหญ่
“อยู่!”
มังกรเขียวทะยานหัวเราะร่า กระโดดขึ้นเช่นกัน ไล่ตามอยู่ด้านหลังเขาด้วยความเร็วที่มากกว่าขั้นหนึ่ง แล้วกระแทกฝ่ามือใส่
แทบเป็นในเวลาเดียวกัน ด้านนอกกำแพงมีเงาคนสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา เป็นชายชราร่างเตี้ยผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน
สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังตบฝ่ามือใส่ตำแหน่งหน้าหลังของหยางอวิ๋นตู้พร้อมกัน
เปรี้ยง!
หยางอวิ๋นตู้พลิกตัว สองฝ่ามือหนึ่งหน้าหนึ่งหลังตั้งรับการขนาบโจมตีของคนทั้งสองได้พอดี จากนั้นก็พลิกตัวเหมือนว่าว จะลอยตัวหนีไปด้านนอก
ฟึ่บ!
ในตอนนั้นเอง ตาข่ายขนาดใหญ่หลายปากลอยขึ้นฟ้า ด้านนอกมีมือเกาทัณฑ์หลายสิบคนเล็งเขาอยู่ ลูกศรหน้าไม้ปกคลุมเขาไว้อย่างมืดฟ้ามัวดิน
ครั้งนี้หยางอวิ๋นตู้ไม่กล้าขยับแล้ว
เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับสำนึกปลอดโปร่ง ไม่อยากใช้พลังฝึกปรือที่แอบฝึกฝนมาหลายปีจนหมดในครั้งเดียว
“เกือบไปแล้ว ยังดีที่ข้าเตรียมการรอบคอบ!” มังกรเขียวทะยาน หลังจากทิ้งตัวลงพื้นก็สบถด่า รุดมา “เด็กน้อยนี่เกือบหนีไปได้แล้ว”
หยางอวิ๋นตู้ตกลงพื้น สีหน้าท้อแท้ ถูกจับไว้ในตาข่ายยักษ์ ขยับเขยื้อนไม่ได้ หมดเรี่ยวหมดแรง
มังกรเขียวทะยานเดินเข้าไป อดถีบใส่ทีหนึ่งไม่ได้ “ตาข่ายนี้ทำจากเชือกชุบน้ำมันพันเส้น แม้แต่ปลาฉลามก็จับได้ ยังกลัวเจ้าดิ้นหลุดหรือ พาไป!”
คนที่อยู่รอบๆ ไม่ทราบจะตอบสนองอย่างไร มัดหยางอวิ๋นตู้ไว้หลายชั้น แล้วพาไปตระกูลลู่
……………………………………….
[1] สตรีบุปผาเหลือง หมายถึง สตรีที่ยังไม่แต่งงาน