ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 160 ทดลอง (2)
บทที่ 160 ทดลอง (2)
“…กระ…กระ…กระดิ่งหงส์ทอง…” สตรีกางร่มกล่าวติดอ่าง หลุบตาไม่กล้ามองลู่เซิ่ง
“มีประโยชน์อะไร”
“เรียก…เรียกบริวารภูตผี…”
“ดี อันนี้เล่า” ลู่เซิ่งหยิบกล่องไม้จันทร์ที่เรียวยาวชิ้นที่สองขึ้นมา
“หญ้า…อนธการ…”
“ประโยชน์ล่ะ”
“แกนกลาง…ค่ายกลของท่านพี่…”
เป็นของใช้ไม่ได้อีกแล้ว ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว วางของลง หยิบชิ้นที่สาม
ครั้งนี้ไม่รอเขาถาม สตรีกางร่มก็ตอบตะกุกตะกัก
“นี่…เป็นลายแทงสมบัติ…ที่ราชาผีไร้เศียร… ทิ้งเอาไว้”
“ราชาผีไร้เศียรหรือ” ลู่เซิ่งไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน คาดว่าคงโด่งดังมากในหมู่ภูตผี แต่คนธรรมดาไม่มีใครเคยได้ยิน
เขาซักไซ้สตรีกางร่ม ผ่านไปนานโขจึงค่อยเข้าใจว่า ราชาผีไร้หัวเป็นสิ่งใด
ว่ากันว่าเมื่อพันปีก่อน แดนเหนือรกร้างมีแต่หิมะ มีแค่ชาวประมงกับนายพรานไม่กี่คนอาศัยอยู่ที่นี่
พวกเขาเจอชนเผ่าดึกดำบรรพ์ที่ลี้ลับพิศวงเผ่าหนึ่ง เผ่านี้หาปลาล่าสัตว์เพื่อดำรงชีวิตเช่นกัน
ในการติดต่อพูดคุยกัน พวกเขาพบว่าคนของเผ่านี้บูชารูปปั้นสีที่แปลกประหลาดซึ่งไม่มีศีรษะ คนของเผ่าเรียกมันว่าตงเหลียน กราบไว้และจุดธูปบูชา
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้ที่ย้ายมาใหม่ก็เริ่มเผยแผ่และนับถือเทพตงเหลียน
จนกระทั่งมีคนของตระกูลขุนนางมาถึง และพบว่าแดนเหนือนับถือเทพตงเหลียน จึงลอบตรวจสอบ ว่ากันว่าเกิดความขัดแย้งใหญ่โต
สุดท้ายทุกอย่างสงบลง สาวกของเทพตงเหลียนถูกฆ่าทิ้งทั้งหมด มีลายแทงสมบัติถูกส่งต่อมายังภายนอก
ไม่มีใครทราบสถานการณ์อย่างแท้จริง
“ฟังดูเหมือนเป็นเทพชั่วร้าย” ลู่เซิ่งวางลายแทงลง สิ่งที่เขาไม่ชอบก็คือของที่มีราคาแต่ใช้ไม่ได้แบบนี้ เก็บไว้ก่อน ภายหลังใครอยากได้ก็ให้คนนั้น
ของทั้งสามอย่างใช้ประโยชน์ไม่ได้ เขาไม่สนใจ ครั้งนี้แค่ปราณหยินที่ดูดมาได้ ก็คืนทุนเขาได้แล้ว
หลังฆ่าวิญญาณอย่างน้อยมากกว่าร้อยตน ปราณหยินของเขาในตอนนี้อย่างน้อยก็มีมากกว่าห้าสิบกว่าหน่วยเหมือนตอนดูดซับก้อนโลหะประหลาดเมื่อครั้งก่อน นี่เป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุด
รองลงมาคือจับตัวทดลองอย่างสตรีกางร่มได้ เขารู้สึกสนใจในตัวภูตผีเหล่านี้พอดี ได้ตัวที่สื่อสารและข่มขู่ได้มาอย่างนี้ สามารถซักถามลักษณะนิสัยของพวกมันอย่างละเอียดได้
ภายใต้การคุกคามหลอกล่อของลู่เซิ่ง สตรีกางร่มสะอึกสะอื้นพลางตอบคำถามทีละข้อๆ อย่างติดๆ ขัดๆ
ใช้เวลาไปสองชั่วยามกว่าๆ ลู่เซิ่งค่อยเข้าใจว่า ภูตผีเกิดขึ้นได้อย่างไร
ความเคียดแค้น
ความเคียดแค้นของมนุษย์คือเมล็ดพันธุ์ที่เกิดเป็นภูตผี
ก่อนตายหากมีความเคียดแค้นรุนแรง ก็มีโอกาสมากที่จะกลายเป็นวิญญาณที่อ่อนแอ วิญญาณเติบโตด้วยการดูดซับความหวาดกลัวของคน ยิ่งกลัว พวกมันก็ยิ่งแข็งแกร่ง สุดท้ายเมื่อแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ก็จะกลายเป็นผี
เมื่อกลายเป็นผี ก็จะมีร่างจริง สัมผัสวัตถุได้ เวลานี้สามารถกลืนกินกันเอง และกลืนกินเลือดของมนุษย์ รวมทั้งดูดซับความกลัวที่มากกว่าเดิม ผีจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุขัย สุดท้ายมีโอกาสกลายเป็นความประหลาดลี้ลับ
ทว่านี่เป็นแค่การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของภูตผีที่ตัวสตรีกางร่มเคยเห็น ความจริงยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่กระตุ้นการกลายพันธุ์ของภูตผี ความประหลาดลี้ลับหลายชนิดก็เกิดขึ้นเพราะแบบนี้เช่นกัน
ส่วนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สตรีกางร่มบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร นางเป็นความประหลาดลี้ลับ แต่ไม่เข้าใจว่าตนเองกลายเป็นความประหลาดลี้ลับได้อย่างไร
จากนั้นลู่เซิ่งก็ถามถึงข้อมูลของผู้คุมจัตุรัสพี่สาวของนาง พอพูดถึงผู้คุมจัตุรัส สตรีกางร่มก็ปิดปากสนิท ไม่ยอมพูดสักคำ มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีกว่าก่อนหน้านี้
ลู่เซิ่งก็ไม่บีบบังคับ หลังถามสิ่งที่อยากถามเสร็จ เขาก็ยื่นมือหนึ่งออกมาทาบบนหน้าผากของสตรีกางร่ม
“มีความรู้สึกแบบไหน ให้บอกข้าตามจริง” หลังจากกำชับแล้ว เขาก็ชักนำปราณหยินหยางขวดสมบัติสายหนึ่งอย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ ส่งถ่ายไปให้สตรีกางร่ม
สตรีกางร่มเหมือนไม่รู้สึกถึงสิ่งใด ยังคงลืมตามองเขา เหมือนไม่เข้าใจ
สำนึกของลู่เซิ่งมุดเข้าไปในตัวสตรีกางร่มอย่างรวดเร็วพร้อมกับปราณขวดสมบัติสายนั้น ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นแกนกลางเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ทรวงอกของนาง
“รู้สึก…ดียิ่ง…” สตรีกางร่มตอบติดอ่าง
“รู้สึกดีหรือ” ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าปราณภายในธาตุหยางสายหนึ่งแผ่กระจายออกอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆ กลืนกลายเกาะเกี่ยวสิ่งของที่เย็นเยียบส่วนหนึ่งในตัวสตรีกางร่ม
เหมือนกับเมล็ดที่หยั่งรากสู่ดิน
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น เมล็ดเม็ดนั้นระเบิดออก ปราณขวดสมบัติที่บริสุทธิ์พุ่งออกมาจากทรวงอกของสตรีกางร่ม
เสียงสวบดังขึ้น สตรีกางร่มก้มลงเห็นทรวงอกของตนมีรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นเพิ่มขึ้นมา
กรี๊ด!
นางกรีดร้อง ลุกพรวดขึ้น ก่อนจะหนีไปยังนอกถ้ำ
ลู่เซิ่งไม่ทันส่งเสียง ก็คว้ามือจับโดยสัญชาตญาณ วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานขนาดมหึมาโคจรด้วยตัวเอง
สตรีกางร่มหนีออกไปได้ไม่กี่หมี่ ก็ถูกตาข่ายโลหิตขวางไว้ จากนั้นถูกลู่เซิ่งคว้ามือจับไว้ได้ ร่างกายบิดอย่างรุนแรง
นางคล้ายเจ็บปวดยิ่ง วิญญาณได้รับความเสียหายสาหัส สองตาเบิกโพลง ทั่วร่างกระตุกอย่างแรง ต่อให้ร่างกายโดนตาข่ายโลหิตขัดขวางเผาไหม้กลายเป็นรอยแผลลักษณะตาข่าย ก็ยังคิดจะหนีออกนอกถ้ำเพื่อออกห่างจากลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง
‘ปราณภายในธาตุหยินน่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้วิญญาณไม่ใช่หรือไง’ ลู่เซิ่งสงสัยอยู่บ้าง นึกทบทวนการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้าอย่างละเอียด
ตอนแรกเริ่ม ปราณขวดสมบัติของเขาเข้าไปในร่างสตรีกางร่ม คล้ายคลื่นลมสงบ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แสดงให้เห็นชัดว่าความแตกต่างจากการกดข่มกันเองของปราณภายในธาตุหยางและปราณภายในธาตุหยินอยู่ร่วมกับวิญญาณได้
เพียงแต่หลังจากเริ่มหยั่งรากเกาะเกี่ยว ทุกอย่างก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงในพริบตา
ลู่เซิ่งชักมือกลับ จับสตรีกางร่มไว้พร้อมเขย่า
สตรีกางร่มหายใจรวยริน ร่างวิญญาณบางเกือบเป็นกึ่งโปร่งใส ใกล้จะไม่ไหวแล้ว
‘หรือจะเป็นปฏิกิริยาต่อต้านอย่างหนึ่ง’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงปฏิกิริยาต่อต้านที่คล้ายกับการปลูกถ่ายอวัยวะ
‘ถ้าวิญญาณเกิดจากความเคียดแค้นและความหวาดกลัวอย่างเดียวจริงๆ อย่างนั้นปราณภายในของเราก็มีความทรงจำของมนุษย์ที่รุนแรงสุดๆ ในฐานะปราณภายในที่ได้มาจากการตรึกตรองและย่อยอาหาร ย่อมซ่อนจิตสำนึกของตัวเราไว้ จิตสำนึกสองชนิดอาจเกิดความขัดแย้งกัน…’
เขาใคร่ครวญ ตบแก้มสตรีกางร่ม
เพียะๆ
“ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
สตรีกางร่มศีรษะเอียงไปมา ถูกตบจนฟื้นขึ้นมา พอเห็นลู่เซิ่งพลันร้องไห้ฮือๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้ นางหนีไปขดตัวโอบกอดร่มด้วยร่างสั่นระริกอยู่ที่มุมหนึ่งของถ้ำ
ลู่เซิ่งจับนางลากกลับมา
“มาๆๆ พวกเรามาลองแบบนี้อีกรอบ”
“ไม่!…ไม่เอา!”
“อย่าขยับ!”
“อย่าเข้ามา!”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งฟาดฝ่ามือใส่ศีรษะสตรีกางร่ม จากนั้นเห็นนางตาเหลือก สลบไปแล้ว
‘ความประหลาดลี้ลับก็สลบเป็นเหรอเนี่ย’
เขามองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ไม่สนใจอะไรอีก ถึงอย่างไรความประหลาดลี้ลับก็ไม่ได้ตายง่ายๆ การทดลองก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ยืนยัน เขาจะต้องลองดูอีกหลายรอบ
ปราณขวดสมบัติสายที่สองซึมเข้าไปในร่างสตรีกางร่มอย่างแผ่วเบาผ่านฝ่ามือของเขา ปริมาณปราณขวดสมบัติในครั้งนี้มากกว่าก่อนหน้านี้อย่างน้อยสองเท่า
การเพิ่มปริมาณทำให้ลู่เซิ่งสัมผัสได้ชัดว่า ปราณขวดสมบัติกำลังเกาะเกี่ยวกลืนกินพลังอันเย็นเยียบบางชนิดในร่างสตรีกางร่ม กลืนกลายซึ่งกันและกันอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
การกลืนกลายครั้งนี้ เป็นเพราะมีจำนวนปราณขวดสมบัติมากพอ ไม่ทันไรก็จับกลุ่มเป็นทรงกลมแข็งในร่างกายอีกฝ่าย
ทรงกลมนี้ยื่นรยางค์หนาแน่นไปยังทั่วทุกส่วนของร่างสตรีกางร่ม พลังงานเย็นเยียบที่ต่อต้านก่อนหน้านี้ ขณะที่ปะทะกันหลายครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าอ่อนแอลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็มลายหายไป
‘ความรู้สึกนี้…เหมือนข่ายกระเรียนหยินเลย!?’ ทันใดนั้นลู่เซิ่งฉุกใจนึกได้ ทุกสิ่งกระจ่างแล้ว
เขารีบเปรียบเทียบเครือข่ายปราณขวดสมบัติในร่างนางและสัมผัสเครือข่ายในร่างของตนเองอย่างละเอียด
เหมือนกันอย่างที่คิดไว้!
นอกจากนี้…
เขาใช้จิตใจบังคับข่ายกระเรียนหยินที่แขน
แขนของสตรีกางร่มขยับเหมือนกัน ทั้งๆ ที่นางสิ้นสติไปแล้ว แต่แขนก็ขยับตาม
‘ประโยชน์ที่แท้จริงของข่ายกระเรียนหยินอยู่ตรงนี้นี่เอง!’ นี่เป็นหุ่นเชิดฉบับใช้ได้จริง
ลู่เซิ่งจิตใจลิงโลด
การระเบิดก่อนหน้านี้ สมควรเป็นการต่อต้านขัดขืนโดยสัญชาตญาณของสตรีกางร่ม แต่ครั้งที่สองเป็นเพราะร่างวิญญาณอ่อนแอลงมาก ไม่มีพลังดิ้นรน ได้แต่ถูกบังคับให้ตอบรับ
ลู่เซิ่งปล่อยนาง ต่อให้อยู่ห่างจากเขาหลายหมี่ ก็ยังรู้สึกถึงข่ายกระเรียนหยินในตัวนางได้ โดยพื้นฐานแล้วสามารถบังคับระยะไกลได้
สักพักหนึ่ง สตรีกางร่มก็ฟื้นตื่นขึ้นมา จ้องมองเขาอย่างหวาดผวา
“มานี่” ลู่เซิ่งสั่ง
สตรีกางร่มส่ายศีรษะ น้ำหูน้ำตาไหลพรากขณะคลานไปด้านหลัง คิดจะไปจากที่นี่
แต่เพิ่งคลานไปได้ไม่ไกล ความเจ็บปวดรวดร้าวก็ขยายออกมาจากในตัวนาง นางสัมผัสร่างกายของตัวเองอย่างหวาดกลัว ยืนขึ้นโดยควบคุมไม่ได้ แล้วกลับมายังข้างกายลู่เซิ่งอีกครั้ง
“เชื่อฟังจริงๆ” ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบศีรษะนาง
สตรีกางร่มข่มกลั้นไม่ไหว ร้องไห้อีกรอบ
“พวกเราออกไปทดลองกับภูตผีตัวอื่นสักหน่อย”
ลู่เซิ่งยินดี จับนางเดินไปนอกถ้ำ
เมื่อมีสตรีกางร่มเป็นเครื่องมือสัมผัสวิญญาณ ไม่ทันไรเขาก็ลากผีน้ำเย็นเยือกที่ทั่วตัวเป็นตะไคร่น้ำตัวหนึ่งออกมาจากในธารน้ำแข็งใกล้ๆ
ผีน้ำตนนี้คล้ายๆ กับสาหร่ายกองใหญ่ คืบคลานไปทั่วพื้นถ้ำ
ลู่เซิ่งใช้วิธีการเหมือนสตรีกางร่ม ยื่นฝ่ามือตัวเองเข้าไปทาบกับกลางตัวผีน้ำ แล้วถ่ายปราณขวดสมบัติให้สายหนึ่ง
ข่ายกระเรียนหยินขนาดเล็กก่อตัวอย่างรวดเร็ว แล้วหยั่งรากลึกในตัวผีน้ำ
“ไปเถอะ อยากหนีก็หนี” ลู่เซิ่งมองผีน้ำพลางยิ้มกว้าง
ผีน้ำสีเขียวขี้ม้าคลานหนีไปยังนอกถ้ำอย่างรวดเร็ว ยังหนีไปได้ไม่ไกล ลู่เซิ่งสั่งความคิด
เปรี้ยง!
เสียงทึบดังขึ้น ร่างผีน้ำระเบิดเหมือนลูกระเบิด กลายเป็นของเหลวโปร่งใสสีเขียวขี้ม้ากลุ่มใหญ่ ระเหยหายไปในแสงอาทิตย์อย่างไร้ร่องรอย
ตายไปเช่นนี้
สตรีกางร่มชมดูอยู่ด้านข้าง สีหน้าหวาดหวั่น ดวงตาที่มองลู่เซิ่งเหมือนกำลังมองราชามารล้างโลก
‘ข่ายกระเรียนหยินควบคุมความเป็นความตายของภูตผีได้ด้วยความคิด แต่ไม่รู้ว่ามีผลกับความประหลาดลี้ลับไหม ความสามารถทั่วไปฆ่าความประหลาดลี้ลับไม่ตาย’ สายตาลู่เซิ่งอยู่บนตัวสตรีกางร่ม
‘ช่างเถอะ เก็บนางไว้ก่อน เกิดฆ่าไปแล้วคืนชีพไม่ได้ ก็ไม่มีตัวทดลองแล้ว จะหาความประหลาดลี้ลับที่เชื่อฟังสักตัวไม่ใช่เรื่องง่าย’
หยุดสนใจความสามารถของข่ายกระเรียนหยินก่อน ในเมื่อควบคุมร่างกายสตรีกางร่มได้ตามใจ เขาก็ไม่กลัวว่านางจะหนี บวกกับมีตาข่ายโลหิตผนึกปากถ้ำ ทุกอย่างมั่นคงดุจเขาไท่ซาน
ลู่เซิ่งฟาดมือใส่สตรีกางร่มจนสลบ แล้วเก็บกวาดสิ่งของ เตรียมกลับพรรค ครั้งนี้ได้ของมามากพอ กลับไปยกระดับพลังได้พอดี
มาถึงขั้นนี้ เขารู้สึกได้รางๆ ว่า หยินหยางของปราณสอดประสานกัน กายเนื้อกำลังถูกเปลี่ยนแปลงพัฒนาอย่างเชื่องช้า ถ้าเปลี่ยนแปลงเสร็จ จะต้องยกระดับพลังโดยรวมขึ้นขั้นหนึ่งแน่
เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงนี้ช้าเกินไป ก่อนหน้านี้พลังทั้งหมดของเขายังคงไม่ต่างจากก่อนหน้ามาก หลังจากยกระดับวิถีหยางโชติช่วงแล้ว วิชาแข็งกร้าวแข็งแกร่งกว่าเดิม ร่างกายรองรับได้ดีกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะนานขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรก็มีปราณหยินมากพอ ทดลองดูว่าจะใช้ปราณหยินเร่งการพัฒนาได้หรือไม่ได้
……………………………………….