ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 161 ทดลอง (3)
บทที่ 161 ทดลอง (3)
“เทียบเชิญงานเลี้ยงในเมืองหรือ” ลู่เซิ่งดูเทียบเชิญที่อวี้เหลียนจื่อส่งมาให้เอง งุนงงอยู่บ้าง
ตัวเทียบเป็นสีดำปิดด้วยทอง ตัวอักษรด้านบนดั่งมังกรทะยานหงส์ระบำ ปรากฏสีเลือดจางๆ ไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร
“อือ…เป็นขุนนางนอกราชการเซียว ส่งมายังสาขาของพรรคเอง” อวี้เหลียนจื่อเอ่ยเบาๆ “ข้าน้อยเห็นว่าน่าจะเร่งด่วน จึงรีบนำมามาส่ง”
อวี้เหลียนจื่อรู้ว่าเซียวหงเย่ไม่ธรรมดา ดังนั้นเทียบเชิญที่เซียวหงเย่ส่งมาเองย่อมไม่อาจใช้หลักการทั่วไปวัดได้
ลู่เซิ่งนั่งในห้องหนังสือ ยื่นมือไปหยิบเทียบเชิญขึ้นมาเปิดออกอย่างแผ่วเบา
‘ประมุขพรรคลู่เปิดด้วยตัวเอง ไม่เจอกันนาน ผู้อาวุโสที่บ้านมา หวังว่าจะได้พบประมุขพรรค-เซียวหงเย่’
เนื้อหาด้านในเรียบง่ายมาก แต่ความหมายก็ชัดเจนมากเหมือนกัน
ลู่เซิ่งพับเทียบเชิญ
“ท่านไปทำงานเถอะ ข้ารู้เรื่องแล้ว”
“ขอรับ” อวี้เหลียนจื่อค่อยๆ ล่าถอยไป
ก่อนจากไป เขาเงยหน้ามองสตรีอาภรณ์ดำที่ยืนอยู่ด้านหลังลู่เซิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
สตรีผู้นี้คลุมตัวอยู่ด้านในเสื้อคลุมสีดำสนิท ไม่เห็นรูปร่าง ดูจากสองมือที่สวมถุงมืออยู่ด้านนอก รวมถึงเส้นผมที่ปักปิ่นไว้ ค่อยมองออกว่าเป็นสตรี
‘อาจเป็นยอดฝีมือที่ประมุขพรรครับสมัครมาใหม่’ เขาเดาในใจ
รอจนอวี้เหลียนจื่อออกจากห้องหนังสือ ลู่เซิ่งค่อยวางเทียบเชิญลงบนโต๊ะ
‘คนของจวนอู๋โยวมาถึงแล้ว ยังตามเราไปสอบถาม สงสัยเราหรือว่าคิดยืมขุมกำลังของพรรคเราไปช่วยตรวจสอบ’
ผู้ประกอบพิธีสองคนถูกฆ่า จวนอู๋โยวต่อให้จะใหญ่โตปานใดก็ไม่ถึงกับไม่แยแสสนใจ โดยเฉพาะผีดิบขาวเป็นผู้เข้มแข็งขั้นสุดยอดที่กำลังจะถึงระดับสัตตะลักษณ์ คนระดับนี้ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็เป็นบุคคลสำคัญ
ลู่เซิ่งมองสตรีกางร่มที่อยู่ข้างกาย ข่ายกระเรียนหยินหยั่งรากในร่างนาง และดูดซับพลังของนางอย่างต่อเนื่องเหมือนกับแมลงกาฝาก ตอนนี้แข็งแกร่งและเติบโตมากขึ้นแล้ว
ถ้าบอกว่าตอนแรกจำเป็นต้องละทิ้งร่างส่วนหนึ่ง ก็สามารถขับปราณขวดสมบัติออกไปนอกร่างกายได้ อย่างนั้นตอนนี้ต่อให้ร่างกายระเบิดโดยสิ้นเชิง ก็ยากจะหลุดจากการควบคุมของข่ายกระเรียนหยิน
กระบวนการนี้ก็คือกลืนกลาย
“เดี๋ยวตอนเย็นเจ้าไปอยู่ที่บ้าน ห้ามเพ่นพ่าน”
สตรีกางร่มห่อตัวอย่างหวาดกลัว รีบพยักหน้า
ลู่เซิ่งส่ายหน้า หลับตาเริ่มเพ่งจิตหล่อเลี้ยงปราณ ก่อนหน้านี้ตอนกลับมาเขาได้ทดลองไปแล้ว ปราณหยินได้แต่เพิ่มระดับวรยุทธ์อย่างอื่น ไม่มีส่วนช่วยต่อความรู้สึกเติบโตเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติต่อการประสานหยินหยาง
ทุกอย่างได้แต่รอ
จัดการภารกิจส่วนหนึ่งในพรรค นั่งหล่อเลี้ยงปราณสักพัก ไม่ทันไรก็ถึงตอนเย็น
ลู่เซิ่งพาพวกสวีชุยและนิ่งซานขึ้นรถม้า ออกจากเรือวาฬแดง โดยสารไปยังเมืองเลียบคีรีอย่างเงียบเชียบ
“ช่วงนี้คุณหนูอวิ๋นซีมักจะไปเที่ยวเล่นชมภาพวาดที่ผนังภาพวาดใกล้แม่น้ำ และสืบข่าวของประมุขพรรคท่านจากเหล่าเฮยที่ผนังภาพวาดตลอด” บนรถม้า สวีชุยรายงานเบาๆ
นิ่งซานขับรถ ทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเฉลียวฉลาด แม้ไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็เชี่ยวชาญเรื่องการวางตัว
“ผนังภาพวาดใกล้แม่น้ำ เหล่าเฮยเป็นใครหรือ” ลู่เซิ่งเอ่ย
สวีชุยมองลู่เซิ่ง คล้ายไม่เห็นว่าหัวหน้าโมโห กล่าวต่อ “เหล่าเฮยเป็นบิดาของผู้จัดการภารกิจภายในที่เสียชีวิตไปแล้วคนหนึ่ง เป็นเพราะเคยทำหน้าที่ในห้องบัญชีของพรรคมาก่อน ดังนั้นหลังออกจากพรรคแล้วจึงมีอิทธิพลส่วนหนึ่ง รู้ความลับมากมาย”
“ในเมื่ออวิ๋นซีอยากสืบ ข้าก็ไม่ได้มีของที่คนเห็นไม่ได้ ให้นางสืบไป” ลู่เซิ่งกล่าว
“เข้าใจแล้ว ข้าจะให้พี่น้องโถงอินทรีเหินคอยระวังความปลอดภัยของคุณหนูอวิ๋นซี” สวีชุยพูดอย่างนอบน้อม
เขายิ่งรู้จักประมุขพรรคผู้นี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความลึกล้ำไม่อาจหยั่งคาดมากเท่านั้น
อย่าว่าแต่ตอนนี้เขาเลื่อนเป็นระดับสำนึกปลอดโปร่งได้ทุกเวลา ต่อให้เป็นระดับผนึกจิตที่อยู่เหนือระดับสำนึกปลอดโปร่ง ก็ไม่ใช่คู่มือของประมุขพรรคมานานแล้ว
คิดถึงตรงนี้ ดวงตาสวีชุยปรากฏความเร่าร้อน ได้ติดตามประมุขพรรคที่แข็งแกร่งแบบนี้ ได้กลายเป็นบริวารของเขา ถือเป็นเรื่องโชคดีจริงๆ
ลู่เซิ่งมองเขา พลันนึกถึงข่ายกระเรียนหยิน ถ้าทดลองประสิทธิภาพของข่ายกระเรียนหยินที่ซ่งเจิ้นกั๋วได้มากพอ อาจจะให้ลูกน้องที่ติดตามข้างกายตัวเองมาตลอดผู้นี้ได้อีกคน
ช่วงเวลานี้ หลายเรื่องราวประดังประเดเข้ามา
หลี่ซุ่นซีจากไป ได้แผนที่ของพันธมิตรบู๊และยาล้ำค่า สังหารผู้ประกอบพิธีคนที่สอง ทำลายหน่วยหลักจัตุรัสแดง เรื่องที่พบเจอยังเยอะกว่าเวลายาวนานที่ผ่านมารวมกันเสียอีก
เพื่อไม่ให้ตระกูลขุนนางพบความจริงที่เขาเป็นจอมยุทธ์มนุษย์ จึงจำเป็นต้องทำลายจัตุรัสแดงเพื่อปิดปาก แต่ลู่เซิ่งไม่แน่ใจใจว่าที่เมืองอินทรีคู่ในตอนนั้นมีคนกี่คนเห็นตนฆ่าผู้ประกอบพิธี
แม้จะเป็นเพราะมีตระกูลซั่งหยางคอยข่มขวัญให้ ลู่เซิ่งจึงไม่เกรงกลัวจวนอู๋โยว แต่เขารังเกียจความยุ่งยาก ยิ่งปัญหาน้อยก็ยิ่งดี
“ใต้เท้า ถึงจวนเซียวแล้ว” เสียงของนิ่งซานที่เป็นสารถีดังเข้ามา
ลู่เซิ่งเลิกม่านรถ เดินลงไป สวีชุยลงรถ ติดตามอยู่ด้านหลังเขา สองคนเดินเข้าสู่จวนเซียวท่ามกลางการประจบสอพลอที่ประตู
“ยินดีต้อนรับประมุขพรรค” เซียวหงเย่เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม สองมือเก็บอยู่ในแขนเสื้อ ประสานกันตรงหน้า เสื้อคลุมขุนนางนอกราชการสีแดงทองมองดูภูมิฐาน ไม่มีบุคลิกของตัวแทนทูตเขตแดนของจวนอู๋โยวแม้แต่น้อย
“เหล่าเซียว ไม่พูดไร้สาระแล้ว ผู้อาวุโสบ้านท่านเล่า ข้ามีภารกิจรัดตัว พอได้จดหมายของท่านก็รีบบึ่งมาทันที” ลู่เซิ่งถามอย่างสนิทสนม
“ผู้อาวุโสอยู่ด้านใน พี่ลู่เข้าไปก็จะทราบเอง” เซียวหงเย่ยิ้มกว้าง
ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม พยักหน้า ติดตามเซียวหงเย่เข้าโถงหลัก ทิ้งสวีชุยให้รออยู่ด้านนอก
เวลานี้บุรุษวัยกลางคนที่คล้ายกับเซียวหงเย่คนหนึ่งนั่งอยู่ในโถงหลัก แต่งกายแบบพ่อค้าร่ำรวย ดูค่อนข้างสุภาพ ทว่าแตกต่างจากความสุภาพของเซียวหงเย่ คนผู้นี้ดูล้ำลึกกว่า
แวบแรกที่เห็นเขา ลู่เซิ่งก็ตกตะลึง รู้สึกได้ว่ามีกลิ่นคาววนเวียนอยู่ในโถงหลัก คล้ายเป็นกลิ่นคาวปลา ยังมีความกดดันอยู่รางๆ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของบุรุษผู้นี้เหมือนกับควบคุมสภาพแวดล้อมของโถงหลักไว้
“ข้าเป็นรองประมุขจวนอู๋โยว เย่หลิงม่อ” บุรุษวัยกลางคนมองลู่เซิ่งที่เดินเข้ามาอย่างราบเรียบ
สายตาของคนผู้นี้ยามอยู่บนร่างเหมือนเข็มทิ่มแทง ลู่เซิ่งสีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย รีบปั้นยิ้ม โค้งตัวคำนับเย่หลิงม่อ
“ประมุขพรรควาฬแดงของตระกูลซั่งหยาง ลู่เซิ่ง คำนับประมุขจวนเย่”
“ไม่ต้องมากมารยาท ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะต้องการยืมขุมกำลังของงูเจ้าถิ่นเช่นพรรควาฬแดง เพื่อตรวจสอบเรื่องราวส่วนหนึ่ง” เย่หลิงม่อไม่อ้อมค้อม เล่าเรื่องที่ประมุขพรรคหายตัวไป “ตอนนั้นเจ้าน่าจะเป็นคนในเหตุการณ์กระมัง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ท่านช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อย”
ลู่เซิ่งรีบเล่าเรื่องที่ตัวเองทราบ แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริง แต่ว่าเป็นถ้อยคำกึ่งจริงกึ่งเท็จที่แต่งไว้แล้ว
“หมายความว่าเจ้าไม่เห็นตอนต่อสู้ เพียงได้ยินเสียงอยู่ห่างๆ ใช่หรือไม่ ขณะเดียวกันก็บาดเจ็บเพราะลูกหลงด้วยหรือ” เย่หลิงม่อไม่ได้ถามว่ายอดฝีมือระดับตรีลักษณ์รับบาดเจ็บเพราะลูกหลงได้อย่างไร เขารู้จักพลังของผีดิบขาวดี เป็นผู้เข้มแข็งขั้นสุดยอดที่พร้อมจะเลื่อนสู่ระดับสัตตะลักษณ์ยได้ทุกเวลา แค่ฝ่ามือวายุที่ใช้ออกมา ก็สร้างพลังทำลายล้างและพิษที่รุนแรงอันน่าสะพรึงได้แล้ว ระดับตรีลักษณ์สักคนถูกเล่นงานจนบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องหายาก
“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งก้มศีรษะขานรับ
“ภายหลังเจ้าได้ส่งคนไปตรวจสอบหรือไม่” ถึงแม้เย่หลิงม่อจะไม่ได้คาดหวังต่อการสอบถาม แต่ก็ยังคงถามอยู่ดี
“ตรวจสอบแล้ว คุณหนูจิ่วหลี่กำชับให้ตรวจสอบเป็นการเฉพาะ นอกจากร่องรอยหลังศึกใหญ่ ก็หาอะไรไม่เจออีก ไม่รู้ตัวคนร้าย และไม่ทราบสาเหตุ” ลู่เซิ่งตอบอย่างเคารพ
เย่หลิงม่อเพ่งมองเขา พลันขมวดคิ้ว
“กลิ่นอายของเจ้าทำไมอ่อนแอลง…” นี่ไม่ใช่กลิ่นอายของระดับตรีลักษณ์ ถึงขั้นไม่แน่ว่าจะนับเป็นระดับเอกะลักษณ์ทั่วไปได้ด้วยซ้ำ กลิ่นอายบนตัวอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไป คล้ายกับไม่ต่างจากยอดฝีมือในยุทธภพธรรมดาๆ
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้น พลันแสดงสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “อาการบาดเจ็บก่อนหน้ายังไม่หายดี…” เขากลับคิดไม่ถึงว่าผลของข่ายกระเรียนหยินจะแข็งแกร่งแบบนี้ ซ่อนลมปราณจนยอดฝีมือเช่นคนตรงหน้ายังมองไม่ออก
“เยื่อดำเสียหายหรือ เข้าใจแล้ว ลำบากเจ้าแล้ว ทักทายคุณหนูจิ่วหลี่แทนข้าด้วย” เย่หลิงม่อไม่บีบคั้นลู่เซิ่งเกินไป กล่าวให้ชัดคือ ประมุขพรรควาฬแดงเป็นคนของตระกูลซั่งหยาง ทั้งยังเป็นยอดฝีมือระดับตรีลักษณ์ อยู่ๆ ถูกผู้ประกอบพิธีของตนเล่นงาน จนถึงตอนนี้ยังไม่หายดี อย่างไรก็เป็นความผิดพลาดของจวนอู๋โยว
เห็นแก่ที่ผู้ประกอบพิธีหายตัวไป ตระกูลซั่งหยางไม่เอาความก็นับว่าดีมากแล้ว
“ข้าจะนำคำพูดของรองประมุขจวนไปบอกเอง อย่างนั้นข้าน้อยขอลาก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเคารพ
“อือ ไปเถอะ” เย่หลิงม่อตอนแรกไม่คาดหวัง ที่ตามลู่เซิ่งมาก็แค่เป็นเป้าหมายที่ต้องถามเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาถามคนที่อยู่ในแดนเหนือไม่น้อย ต่อจากลู่เซิ่งยังมีคนรออยู่อีกมาก
ลู่เซิ่งถอยออกจากห้องหลักเหมือนเป็นปกติ
เย่หลิงม่อนั่งประจำตำแหน่ง รอจนคนไปแล้ว เขาค่อยมองฝั่งขวาของตนเอง
“คนต่อไปเป็นใคร”
เซียวหงเย่เดินออกมากล่าวเบาๆ “คนของโถงเมฆางาม มาจากเมืองอื่น”
“อือ” เย่หลิงม่อยกน้ำชาขึ้นจิบ เขาไม่ชอบหน้าที่เช่นนี้ แต่ก็จำเป็นต้องไต่ส่วนคนเอง
นี่ไม่เพียงแค่เพราะเขาเป็นรองประมุขจวน ยังเป็นเพราะเขามีความสามารถในการมองทะลุพลังฝึกปรือของคนอื่นๆ ด้วย
เหมือนกับลู่เซิ่งที่เพิ่งออกไป ถึงแม้จะเป็นประมุขพรรควาฬแดง ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือระดับตรีลักษณ์ที่เทียบเคียงได้กับสตรีกางร่ม ทว่าเมื่อครู่เพิ่งมองดู กลิ่นอายทั่วร่างคลุมเครือ ไม่เห็นเยื่อดำ ไม่ต่างจากคนของตระกูลขุนนางที่ได้รับบาดเจ็บหนัก
เย่หลิงม่อย่อมมองออกว่าพลังในตอนแรกของคนผู้นี้คล้ายไม่เลว สมควรอยู่ในระดับสูงสุดของตรีลักษณ์
“ให้คนต่อไปเข้ามาเถอะ ดูคร่าวๆ ก่อนค่อยว่ากัน” เขาประคองจอกน้ำชา พร้อมตะโกนขึ้น
…
ลู่เซิ่งถอยออกจากโถงหลัก ดวงตาบนใบหน้าที่ก้มอยู่เป็นประกายเล็กน้อย
‘จวนอู๋โยวส่งรองประมุขจวนคนหนึ่งมาเลยหรือนี่!’
เขาไม่แสดงสีหน้า แต่ในใจมีความรู้สึกถึงวิกฤติการณ์
เย่หลิงม่อผู้นี้ดูเหมือนอ่อนโยน ไม่คุกคามบีบคั้นคน แต่นี่คงเป็นเพราะเขาคือคนของตระกูลซั่งหยาง
ถ้าไม่มีซั่งหยางจิ่วหลี่ยืนอยู่เบื้องหลัง ลู่เซิ่งไม่คิดว่าเขาจะพูดกับตนอย่างเกรงใจเช่นนี้
‘ไม่รู้ว่าเราในตอนนี้สู้กับคนคนนี้ไหวไหม’ เพราะไม่ได้ต่อสู้จริงๆ เขาจึงไม่มีความมั่นใจ แต่แค่ความรู้สึกจากความแข็งแกร่งของกลิ่นอาย คนคนนี้จะต้องร้ายกาจกว่าผีดิบขาวแน่นอน หนำซ้ำยังร้ายกาจกว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า
‘ถ้าเราในตอนนี้เจอผีดิบขาวอีก…’ ลู่เซิ่งเปรียบเทียบดู ดวงตาหยีลง ‘อย่างมากก็แข็งแกร่งกว่านิดหน่อย’ เขาเกิดความกดดัน เร่งฝีเท้าเดินไปยังประตูใหญ่ของจวนเซียว พอดีสวนกับบุรุษวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดาหลายคน
ผู้นำของคนเหล่านี้พอเห็นเขา ก็รีบประสานมือ
“ข้าน้อยหวงชิวหยวน คำนับประมุขพรรคลู่”
……………………………………….