ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 171 ครึ่งเดือน (1)
บทที่ 171 ครึ่งเดือน (1)
ครืน…ครืน…ครืน…
เสียงกึกก้องดังมาจากในร่างลู่เซิ่งไม่ขาดสาย
ท้องเขาเหมือนหลุมไร้ก้น ผักและเนื้อตุ๋นจำนวนมากถูกเขายัดเข้าปากพร้อมกับข้าว เคี้ยวสองสามคำก็กลืน
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในโถงอาหารตามลำพัง บริวารหลายคนเฝ้าอยู่รอบๆ แต่ตอนเห็นท่าทางกินข้าวของเขา ทุกคนกลืนน้ำลายไม่หยุด แค่ดูเขากินก็รู้สึกท้องตื้อแล้ว
“รายงาน! เจ้าสำนักแปรผันมาถึงแล้ว!” องครักษ์ที่อยู่นอกประตูรายงานเข้ามา
ลู่เซิ่งวางชามใหญ่ในมือลง ก่อนเช็ดปาก
“พาเข้ามา”
ในช่วงเวลาที่พรรควาฬแดงปกครองค่ายพรรคทั้งหมดของแดนเหนือ คำพูดของเขาคือประกาศิตของวงการใต้ดินในแดนเหนือ เมื่อถ่ายทอดคำสั่ง ไม่มีใครกล้าขัด
ฤดูสารทคิมหันต์ แสงอาทิตย์จางๆ สาดลอดเข้ามาทางประตูใหญ่ ไม่นับว่าอบอุ่น แต่ก็ขับไล่ความหนาวเย็นได้ส่วนหนึ่ง
แต่สำหรับเจ้าสำนักแปรผันที่เพิ่งเข้ามา ต่อให้แสงอาทิตย์อุ่นกว่านี้ ก็ขับไล่ความเย็นเยียบทั้งตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้
ข่งอี่เจ้าสำนักแปรผัน เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่ถึงสามเดือน เจ้าสำนักคนก่อนเกิดเจ็บป่วยเสียชีวิตที่บ้าน เขาในฐานะรองเจ้าสำนักรีบขึ้นมารับตำแหน่ง
ข่งอี่ร่างเล็กผอม เดิมเป็นหัวขโมย ตอนเข้ามาสวมเสื้อคลุมผ้าแพรตัวใหญ่ ดูเหมือวานรสวมชุดคน
“ข่งอี่คำนับประมุขพรรค” เขายืนอยู่กลางโถงอาหาร ประสานมือให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งหยิบขาหมูข้างหนึ่งขึ้นมาจิ้มซีอิ๊วอย่างสบายอารมณ์ ปึด!
เขาพลันอ้าปาก ใช้ฟันแหลมคมที่ใหญ่เป็นสองเท่าของก่อนหน้า กัดขาหมูมาพร้อมกับกระดูกและเนื้อมากกว่าครึ่ง
ข่งอี่เห็นแล้วหวาดผวา ทำไมปากคนจึงใหญ่ได้ขนาดนั้น ยังมีฟัน ฟันของมนุษย์ทำไมถึงได้แหลมคมขนาดนี้
หรือว่าประมุขพรรคลู่ผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นมารปีศาจ?!
“ความพากเพียรเพื่อรักษาความสงบสุขในแดนเหนืของเจ้าสำนักข่งในช่วงนี้ ข้าได้เห็นแล้ว” ลู่เซิ่งพูดอย่างมีสำบัดสำนวน
ข่งอี่ไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ได้แต่หัวเราะฮ่าๆ ตอบ
“ใช่แล้วๆ ทุกสิ่งเป็นเพราะประมุขพรรคลู่เป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม”
ลู่เซิ่งมองคนผู้นี้ ปราณภายในพลังฝึกปรือภายในตัวอีกฝ่ายน่าจะไม่เลว แต่ดูแค่เปลือกนอกมองอะไรไม่ออก
เมื่อครู่นี้ เขาได้รับข่าวที่ผู้คุมจตุรัสแดงไปคฤหาสน์ลู่บ้านของตน ถึงจะรู้ว่าสตรีกางร่มต้องห้ามปราม กระนั้นความรู้สึกที่อาจเกิดอันตรายกับครอบครัวได้ตลอดเวลานี้ก็ทำให้ลู่เซิ่งตัดสินใจในที่สุด
ค่ายพรรคทั้งหมดของแดนเหนือถึงเวลารวมเป็นหนึ่งแล้ว
ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้ค่ายพรรคที่อยู่ใกล้ๆ มาปรึกษาตามลำพังทันที ในฐานะประมุขพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ บวกกับพลังและบารมีในปัจจุบันของลู่เซิ่งที่สูงกว่าหงหมิงจือ วาจาของเขาย่อมไม่มีใครกล้าขัด
ข่งอี่เป็นเจ้าสำนักที่มาถึงเป็นคนแรก สำนักแปรผันหลักๆ แล้วเป็นองค์กรที่ประกอบด้วยนักต้มตุ๋น ขโมย ช่างฝีมือ หมอดูที่เป็นชนชั้นต่ำของสังคม ความจริงพลังยุทธ์ไม่นับว่าแข็งแกร่งมาก การตอบสนองเป็นคนแรกถือว่าปกติ
“ครั้งนี้ที่เรียกท่านมา เพราะคิดจะมอบโชคให้ท่าน” ลู่เซิ่งเงยหน้า จัดการกับอาหารตรงหน้า ทางหนึ่งรับประทานทางหนึ่งพูด
“ประมุขพรรคลู่…นี่…ขอบังอาจถามว่าเป็นโชคอันใด” ข่งอี่รู้สึกไม่ดีโดยสัญชาตญาณ
“โชคดีที่จะทำให้พลังยุทธ์ของท่านก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวง…” ลู่เซิ่งวางขาหมูลง ลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปถึงด้านหน้าข่งอี่
“ประมุขพรรคลู่… นี่… ข่งอี่ไร้โชค ท่านยังคง… ยังคง…” ตุบ!
ข่งอี่รู้สึกไม่ดี พูดยังไม่ทันจบ สองตาพลันเหลือก ทั่วร่างสั่นสะท้าน ค่อยๆ ก้มมองฝ่ามือขาวผ่องข้างหนึ่งที่แนบบนทรวงอกตน
“ท่าน…!?”
ซู่ ปราณภายในที่เย็นเยียบสายหนึ่งทะลักเข้าไปในร่างเขาด้วยความเร็วสูง ข่งอี่ตัวสั่นอย่างรุนแรง
ครู่ต่อมา
ประตูใหญ่ของโถงอาหารเปิดออก ข่งอี่ถอยออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากไปภายใต้การคุ้มครองส่งของบริวารหลายคน
ลู่เซิ่งนั่งนิ่งกับที่ กินอาหารต่อ เขาไม่ได้ดูดปราณภายในของข่งอี่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะตรากตำฝึกฝนวิชาเมฆาดำมาเป็นเวลาสามสิบปีจนมีพลังฝึกปรือไม่อ่อนด้อย ต่อให้อยู่ในระดับผนึกจิตก็เป็นยอดฝีมือไม่กี่คน แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่เขาต้องการ
เขาต้องการคนมากกว่านี้ ต้องการบริวารมากกว่านี้ ต้องการยอดฝีมือมากกว่านี้ เพื่อปกป้องสิ่งที่ตนคิดปกป้อง
ดังนั้นเขาได้แต่เพียงปลูกฝังข่ายกระเรียนหยินให้ข่งอี่
ข่ายกระเรียนหยินเทียบได้กับการปลูกเส้นลมปราณเส้นใหม่ที่ไม่มีคอขวดไว้ในร่างของข่งอี่ หลังจากนี้ปราณภายในของเขาจะเพิ่มขึ้นจนไม่มีขีดจำกัดอีก สามารถยกระดับขึ้นโดยไร้การจำกัด ขอแค่กายเนื้อทนได้ก็พอ
การเพิ่มขึ้นของปราณภายในเดิมทีเชื่องช้าสุดขีด แต่การปรากฏขึ้นของข่ายกระเรียนหยินอย่างน้อยก็ทำให้ความเร็วในการสั่งสมของข่งอี่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว หนำซ้ำยังทำลายคอขวดเส้นลมปราณได้ วาดหวังได้ว่าในวันเวลาต่อจากนี้พลังยุทธ์ของข่งอี่จะยกระดับอย่างรวดเร็ว ถ้าหากประสานกับการใช้ยาปริมาณมาก เกรงว่าในเวลาสิบปีสามารถมีพลังยุทธ์หนึ่งร้อยปีได้
“ยกกับข้าวมาอีกโต๊ะ” ลู่เซิ่งวางชามข้าวลง เช็ดปากพลางออกคำสั่ง
ตอนนี้สมควรรอผู้นำค่ายพรรคที่จะมาเป็นรายต่อไป
หลังดูดปราณภายในของยอดฝีมือกำลังภายในทุกคนในคุก พลังฝึกปรือและปราณภายในของเขาในตอนนี้ แค่ปราณหยินหยางขวดสมบัติก็มีปราณเหลวที่น่าทึ่งเจ็ดหยดแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นจำนวนปี เท่ากับพลังยุทธ์เจ็ดร้อยปี! นี่ยังไม่นับพลังฝึกปรือสามร้อยปีของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานอีก
ถ้ารวมด้วย ก็เท่ากับพลังยุทธ์หนึ่งพันปี!
‘การเปลี่ยนแปลงหยินหยางจำเป็นต้องใช้เวลาและกระบวนการ จะแปลงปราณหยินหยางขวดสมบัติเป็นวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานจำเป็นต้องใช้เวลาหลายวัน ถ้าปรับสมดุลการเปลี่ยนแปลงเสร็จ วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานของเราจะมีพลังยุทธ์ห้าร้อยปี’
ลู่เซิ่งคำนวณอย่างละเอียด อานุภาพอย่างชัดแจ้งของพลังยุทธ์ห้าร้อยปีจะต้านทานเย่หลิงม่อได้หรือไม่
คำตอบคือแทบไม่มีความเป็นไปได้…
‘ระดับของเย่หลิงม่อน่ากดดันยิ่งกว่าผีดิบขาวระดับฉลักษณ์ในตอนนั้นมากเหลือเกิน ยังไม่พอ…วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่มีปราณภายในห้าร้อยปียังไม่พอจะต่อสู้กับเขา…เราต้องมีปราณภายในที่มากกว่านี้ แข็งแกร่งกว่านี้…’
เขาไม่รู้ว่าระดับอสรพิษแข็งแกร่งขนาดไหน แต่จากรายละเอียดที่หลี่ซุ่นซีเคยพูด ระดับอสรพิษสักคน ไม่ว่าจะมีระดับพันธนาการกี่คน ก็สู้ไม่ได้
อสรพิษ เป็นพลังยุทธ์อีกระดับหนึ่ง มีแค่ประมุขจวนประมุขตระกูลถึงจะไปถึงได้
“ท่านยังกังวลอยู่หรือ ยังคงกลัวอยู่ใช่หรือไม่” หญิงรับใช้เพิ่งยกกับและถังข้าวหลายถังมา ยังไม่ทันลับจากสายตา ลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงแหลมนั้นอีก
“สมาคมหทัยร่อนเร่หรือ” เขาจิตใจเคร่งขรึม
“ผู้คุมจตุรัสแดงร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ นางเริ่มกลัวแล้ว…พวกเราเตรียมลงมือแล้วเช่นกัน” เสียงนั้นเบาลง กล่าวต่อไป
ลู่เซิ่งหยีสองตา
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” เขาสั่ง
องครักษ์ใกล้ชิดกับหญิงรับใช้ข้ารับใช้ที่เป็นลูกน้องทั้งหมดขานรับ ถอยออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
ในโถงอาหารเหลือแค่ลู่เซิ่งคนเดียว
“ว่ามา พวกท่านมีเป้าหมายอะไรกันแน่” ลู่เซิ่งกระซิบอย่างราบเรียบ ด้วยความสามารถของอีกฝ่าย เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
“นี่เป็นความจริงใจของพวกเรา”
หลังจากเสียงดังขึ้น กล่องใบเล็กทรงกลมสีขาวก็โผล่ขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่ง
เขาไม่เห็นเลยว่าอีกฝ่ายส่งมาอย่างไร หลังกะพริบตาครั้งหนึ่ง หางตาก็แลเห็นกล่องใบหนึ่งวางอยู่ตรงนั้นแล้ว
นี่ทำให้ลู่เซิ่งหวั่นเกรงกว่าเดิม เดิมทีหลังจากพลังเขาพัฒนา ความรู้สึกคุกคามชนิดรุกถึงขนคิ้วขนตาเมื่อก่อนหน้าก็ค่อยๆ จางหายไปแล้ว
แต่ตอนนี้เมื่อได้พบสมาคมหทัยร่อนเร่ จึงค่อยรู้ว่าความแปลกประหลาดและอันตรายของโลกใบนี้ไม่ได้เล็กน้อยดั่งที่ตนเคยคิด
“ขอแลกกับยาครั้งก่อนได้หรือไม่ ข้าขาดของชุบเลี้ยงบริวารพอดี” ลู่เซิ่งไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่านี่เป็นของที่ทำให้เยื่อดำเลื่อนระดับขึ้นขั้นหนึ่ง ซึ่งคนผู้นี้เคยสัญญาไว้ครั้งก่อน
แต่เขาไม่มีเยื่อดำ ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์ ยังสู้ยาในครั้งก่อนไม่ได้
“ขอแลกกับยาครั้งก่อนหรือ” เสียงนั้นงุนงงเช่นกัน คล้ายคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะเสนอคำขอเช่นนี้ “ได้นั้นได้ แต่ว่ายาแบบนี้ใช้ได้แค่สามครั้ง ภายหลังจะหมดสรรพคุณโดยสิ้นเชิง หนำซ้ำคุณค่ายังสู้สิ่งนี้ไม่ได้… ท่านแน่ใจหรือ”
“แน่ใจ แน่นอนว่าถ้ามียาซึ่งเพิ่มปราณภายในที่ดีกว่านี้ ย่อมดีกว่า” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยยิ้ม
“นี่เป็นยาที่ดีที่สุดแล้ว ในหมู่วัตถุดิบยาที่เมื่อมีอายุจะใช้ไม่ได้ ยานี้มีสรรพคุณดีที่สุด”
กล่องค่อยๆ จางหายไป
กล่องสี่เหลียมผืนผ้าสีดำใบใหม่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าลู่เซิ่ง
เขาจับจ้องการหายไปและการโผล่มาของกล่อง มองไม่ออกว่า เอาไปแล้วส่งมาอย่างไร
เขาเอื้อมมือไปเปิด เสียงดังแกร่กเมื่อเปิดออก เผยให้เห็นยาสองเม็ดเหมือนไข่มุกอยู่ด้านใน
เป็นโอสถหัวใจอสรพิษเมฆาเหมือนครั้งก่อน
“บอกเจตนาการมาของท่านเถอะ ไร้ผลงานไม่ขอรับรางวัล” ลู่เซิ่งปิดกล่อง กล่าวอย่างระวัง
อีกฝ่ายเป็นขุมกำลังลึกลับแข็งแกร่งที่ลงมือไล่ล่าผู้คุมจตุรัสแดง เขาต้องระวังตัวหน่อย ต่อให้เบื้องหลังจะมีบารมีของตระกูลซั่งหยาง ก็บอกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีหรือไม่
“หึๆๆ… ตรงไปตรงมาดี!” เสียงนั้นหัวเราะ “เฉาหู่รองประมุขสมาคมของพวกเราออกเดินทางมาด้วยตัวเอง จะถึงที่นี่ในครึ่งเดือน พวกเรารู้ว่าท่านมีคนอยู่ข้างตัวผู้คุมจตุรัสแดง เป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด ดังนั้นพวกเราหวังว่าท่านจะทำให้คนผู้นั้นแอบพกของสิ่งนี้ได้”
สิ่งของที่เหมือนกับหยกประกบสีดำชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนโต๊ะลู่เซิ่ง
หยกประกบเดิมจะเป็นวงแหวน มีช่องช่องหนึ่งใช้แขวนไว้บนเสื้อผ้า ช่องนั้นส่วนใหญ่จะทำเป็นลวดลายหลายรูปแบบ แต่ว่าช่องของหยกประกบชิ้นนี้กลับต่างออกไป
ลู่เซิ่งหยิบหยกประกบขึ้นมา ช่องด้านบนเป็นฟันแหลมคม เหมือนกับปากของสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง
“ขอแค่ให้ของสิ่งนี้อยู่ห่างจากผู้คุมจตุรัสแดงภายในสิบจั้งก็ใช้ได้ ของสิ่งนี้ทำให้ผู้คุมจตุรัสแดงสัมผัสไม่ได้ว่าพลังอ่อนแอและต้องพิษ” เสียงนั้นอธิบาย
ลู่เซิ่งลูบไล้หยกประกบสีดำ มองไม่ออกว่าเป็นวัสดุอะไร ตัวมันก็คล้ายไม่มีความสามารถพิเศษเช่นกัน
“ได้ บอกข้าได้หรือไม่ว่าพวกท่านจะลงมือเมื่อใด” เขาคิดเล็กน้อย ก่อนถามอย่างจริงจัง
เสียงนั้นพลันหัวเราะ
“เป็นไร ท่านอยากชมดูความร้ายกาจของรองประมุขสมาคมหรือ บอกท่านก็หาเป็นไรไม่ ตอนที่ดอกเก้ากลีบเบ่งบานหลังจากนี้ครึ่งเดือน จะเป็นเวลาที่รองประมุขสมาคมลงมือ!”
“ดอกเก้ากลีบเบ่งบานหรือ” ลู่เซิ่งทวนรอบหนึ่ง
เสียงนั้นเงียบสงัดลง หายไปแล้ว
เขาหมุนหยกประกบเล่น จากนั้นมองโอสถหัวใจอสรพิษเมฆาสองเม็ดนั้น
‘การคุกคามบีบคั้นเข้ามาทีละก้าวๆ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ผู้คุมจตุรัสแดงไม่ปิดด่านปรับสภาพเพื่อรอรับมือศัตรู ทำไมถึงต้องค้นหาคนที่ทำลายจตุรัสแดงด้วย นี่ไม่สมเหตุสมผล’ เขาย่นคิ้ว
‘หรือว่านางไม่ได้กำลังหาคน แต่กำลังอาศัยข้ออ้างหาคนเพื่อหาของอย่างอื่น หรือว่าในจตุรัสแดงที่เราทำลายทิ้งจะมีของสำคัญบางอย่างหายไป ดังนั้นนางจึงตามหาไปทั่ว’
……………………………………….