ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 175 กดดัน (1)
บทที่ 175 กดดัน (1)
“ท่านเป็นอะไรไป” เฉินอวิ๋นซีกุมมือของลู่เซิ่งที่แนบอยู่กับตนอย่างสงสัย “ทำไมทำหน้าเครียดขนาดนี้”
ลู่เซิ่งรู้สึกตัว
“ไม่…ไม่มีอะไร” เขาเค้นยิ้ม “ช่วงนี้น่าจะยุ่งเกินไป เลยเหนื่อยไปหน่อย”
เฉินอวิ๋นซียิ้ม “ท่านก็ทุ่มเทเกินไป เก่งกาจถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงไม่หยุดพักบ้าง ชั่วชีวิตของคนเราไม่อาจเอาแต่ทำเพื่อวัตถุภายนอก จะมากจะน้อยก็ต้องใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้าง”
ลู่เซิ่งยิ้มๆ
“พูดมีเหตุผล น่าเสียดาย…โลกก็เป็นอย่างนี้… เจ้าไม่พัฒนา คนอื่นๆ ก็จะแซงเจ้า เจ้าหยุดนิ่งไม่ไปต่อ ตอนที่ประสบปัญหา ตอนที่ขาดพลังอีกเล็กน้อย จึงค่อยรู้สึกสำนึกเสียใจ”
“ข้าไม่ชอบฟังหลักการยิ่งใหญ่” เฉินอวิ๋นซีเบือนหน้าหนี “ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งทราบว่าท่านเป็นถึงประมุขพรรควาฬแดง ท่านไม่รู้ ตอนข้าได้ยินข่าวนี้ ถึงกับอึ้งไปเลย” นางอดปิดปากหัวเราะไม่ได้ “กว่าจะได้สติก็หมดวันแล้ว”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ” ลู่เซิ่งบีบจมูกเล็กๆ ของนาง
“ขนาดนั้นเชียวล่ะ!” เฉินอวิ๋นซีห่อปาก “ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ฉายานี้น่าเกรงขามขนาดไหน องอาจขนาดไหน ท่านยังไม่เห็นท่านพ่อข้า ยิ้มไม่หุบทั้งวัน”
“จริงด้วย ช่วงนี้เจ้าพบคนแปลกหน้าประหลาดๆ บ้างหรือไม่” ลู่เซิ่งพลันถาม
“ไม่มีนี่” เฉินอวิ๋นซีพอได้ยินก็ระวังตัวขึ้น “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไร ตอนนี้ร่างกายเจ้ามีตรงไหนไม่สบายหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอีก ขณะเดียวปราณขวดสมบัติสายนั้นก็กำลังเคลื่อนไหวตรวจสอบในร่างกายของเฉินอวิ๋นซี
“ไม่มี ทุกอย่างดีหมด ดูเหมือนช่วงนี้…ช่วงนี้จะอ้วนขึ้นเล็กน้อย…” พูดถึงตรงนี้ นางก็ก้มหน้าอย่างอายๆ
เด็กสาวให้ความสำคัญกับน้ำหนักตัวเองเป็นพิเศษจริงๆ
ลู่เซิ่งตรวจสอบสักพัก ในที่สุดก็เจอลมปราณประหลาดที่อ่อนแอสุดขีดสายหนึ่งบนผิวตรงแขนด้านขวาของเฉินอวิ๋นซี
สมควรเป็นรอยตราที่ผู้คุมจัตุรัสแดงทิ้งไว้
เขาโล่งอก
รอยตรานี้คล้ายเป็นแค่ตราสัญลักษณ์ แม้ไม่เข้าใจว่ามีประโยชน์อะไร แต่อ่อนแอแบบนี้ทั้งไม่รู้สึกถึงความเป็นอันตราย น่าจะไม่มีปัญหา
‘ผู้คุมจัตุรัสแดงน่าจะแค่สงสัย จึงทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้เพื่อหาเบาะแส ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรา…ยังไม่ถึงขั้นใช้อวิ๋นซีข่มขู่เรา’
ลู่เซิ่งนิ่วหน้าเล็กน้อย
‘แต่ทำไมอยู่ๆ ผู้คุมจัตุรัสแดงถึงทิ้งรอยตราไว้บนตัวอวิ๋นซี หรือนางจะพบอะไร พบการติดต่อกันของเรากับสตรีกางร่มเหรอ’
เขาครุ่นคิด ทางหนึ่งพูดคุยกับเฉินอวิ๋นซี ทางหนึ่งใช้ปราณขวดสมบัติหุ้มรอยตรานั้นไว้
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำลายรอยตรานั้นทิ้ง เหมือนกับผู้คุมจัตุรัสแดงจะแค่สงสัย ไม่ได้ตัดสินใจลงมือจริงๆ
เพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น เขาลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำลายรอยตรานั้น
“อีกสักพักจะถึงเทศกาลเก้ากลีบแล้ว พวกเราไปดูดอกเก้ากลีบบานด้วยกันดีหรือไม่ ในหุบเขาหมื่นบุปผาที่ชานเมืองมีทะเลดอกเก้ากลีบผืนใหญ่ งดงามมาก รอบๆ มีกองทัพเฟยเหลียนลาดตระเวน ปลอดภัยยิ่ง” เฉินอวิ๋นซีเสนอ มองลู่เซิ่งด้วยแววตาคาดหวัง
“เทศกาลเก้ากลีบ…” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าจนปัญญา “ขออภัย วันนั้นข้ามีธุระจริงๆ” การบานของดอกเก้ากลีบเป็นเส้นตายที่สมาคมหทัยร่อนเร่กำหนดจะลงมือกับผู้คุมจัตุรัสแดง
เฉินอวิ๋นซีได้ยินพลันผิดหวัง
“ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะนัดพี่น้องไปเอง เกิดมีคุณชายคนไหนเข้ามา ท่านอย่าได้หึงหวง”
“ไม่ต้องห่วง ข้าเหมือนคนใจแคบแบบนั้นหรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะ ทุกๆ วันเพศตรงข้ามที่พบปะกับเฉินอวิ๋นซีได้ผ่านการคัดเลือกอย่างตั้งใจของพวกยอดฝีมือที่เป็นบริวารเขามาแล้ว ทุกๆ วินาทีมียอดฝีมือไม่ต่ำกว่าห้าคนคุ้มครองเป็นการลับอยู่รอบๆ
บวกกับชื่อเสียงในแดนเหนือของเขาลู่เซิ่ง ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องเกือบเท่ากับศูนย์
“ก็ได้ จริงสิ ครั้งนี้ท่านพ่อข้าหาคนมารับกิจการใหญ่…ประวัติของอีกฝ่ายคลุมเครืออยู่บ้าง…”
“อือ อีกเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปตรวจสอบให้” ลู่เซิ่งยิ้มเอ่ย
ทั้งสองคนเอาใจกันในสวนดอกไม้พักหนึ่ง ลู่เซิ่งค่อยให้คนส่งเฉินอวิ๋นซีกลับไป
เขาไม่ได้ให้ยอดฝีมือไปคุ้มครองมากกว่าเดิม เพราะเขาทราบว่าการทำไปก็ไร้ความหมาย ในมือไม่มียอดฝีมือที่คุ้มครองเฉินอวิ๋นซีจากผู้คุมจัตุรัสแดงได้
การกระทำของผู้คุมจัตุรัสแดงที่ลงมือกับคนใกล้ชิดของเขาแบบนี้ ทำให้ลู่เซิ่งยึดมั่นในการตัดสินใจก่อนหน้านี้มากกว่าเดิม ผู้คุมจัตุรัสแดงเป็นปัจจัยอันตรายที่ไม่แน่นอน
เวลาพลบค่ำ เขาไปยังเมืองเลียบคีรี เจอไป๋เฟิงเหล่าเต้าที่มาต้อนรับด้วยตัวเองตามลำพังในลานด้านในของที่ทำการจวนขุนนาง
“ประมุขพรรคลู่สบายดี! ไม่เจอมานาน ดูหมือนพลังพัฒนาขึ้นอีกแล้ว!” ไป๋เฟิงไม่เหมือนกับนักพรต กลับคล้ายพ่อค้ามากกว่า
“ท่านพี่ไป๋เฟิงกล่าวอะไร เมื่อมาถึงระดับของพวกเรา คิดจะก้าวหน้าอีกก้าวไหนเลยง่ายดาย” ลู่เซิ่งถอนใจ
ทั้งสองคนเดินเคียงบ่ากันเข้าไปยังโถงใหญ่ด้านใน
เซียวหงเย่มาถึงตั้งแต่แรก การประชุมยังคงเป็นพวกเขาสามคน พวกเขาสามคนควบคุมสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในแดนเหนือมาโดยตลอด
โต๊ะสุราถูกจัดไว้เรียบร้อย หญิงรับใช้โดนไล่ออกไป ที่นี่ไม่ใช่จวนเซียวของเซียวหงเย่ จึงไม่ได้หรูหรานัก เป็นกับข้าวธรรมดา
“มาๆๆ” ไป๋เฟิงเหล่าเต้าเรียกลู่เซิ่งให้นั่งลง “พวกเรากินไปคุยไป”
เซียวหงเย่ลุกขึ้นทักทายลู่เซิ่งเช่นกัน
“พี่ลู่มาช้านัก ปรับสุราสามจอก!”
“ขออภัยท่านพี่ทั้งสองท่าน ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆ” ลู่เซิ่งประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เขาหาที่นั่งนั่งลง ปรับตัวเองสามจอกอย่างผ่าเผย ทั้งสามคนนั่งกินอาหารพลางกล่าวหยั่งเชิงเกรงอกเกรงใจที่ไร้คุณค่า
ไป๋เฟิงชวนยกจอกตลอด หลังดื่มไปสามรอบ เขาก็วางจอกสุราลง แล้วมองลู่เซิ่ง
“พี่ลู่ ช่วงนี้ท่านเคลื่อนไหวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทราบว่าในพรรคกำลังวางแผนเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอันใด”
ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“ข้าเดาออกแต่แรกว่าพวกท่านนัดมาเพราะเรื่องนี้” เขาคิดคำพูดไว้แล้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดถึงเรื่องพวกนี้ ไม่นานมานี้ขุมกำลังมากมายเช่นสำนักคูรวมถูกลอบโจมตี ไม่รู้ว่าพวกท่านได้ยินมาหรือไม่”
ไป๋เฟิงมองไปที่เซียวหงเย่ นี่เป็นเรื่องที่จวนอู๋โยวกับผู้คุมจัตุรัสกระทำ
เซียวหงเย่กระแอมสองคำ “ดูเหมือนพวกเราไม่อาจเป็นตัวเอง…” เขาเข้าในความหมายของลู่เซิ่งผิด นึกว่าเป็นคำสั่งของเบื้องบน ตระกูลซั่งหยางเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลแห่งจงหยวน ขุมกำลังยิ่งใหญ่กล้าแข็ง ไม่พูดถึงคนอื่น จวนอู๋โยวทั้งจวนก็ยังเทียบไม่ได้
เรื่องนี้ย่อมไม่พูดถึงชั่วคราว ขอแค่คนธรรมดาไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่โต ก็ไม่มีอะไรมาก
“ความจริงครั้งนี้ที่นัดทั้งสองท่านมา ก็เพราะเรื่องของผู้คุมจัตุรัสแดง ข้าอยากรู้ความต้องการของสองฝั่งเบื้องหลังพวกท่าน” ไป๋เฟิงวางจอกสุราลง กล่าวอย่างขึงขัง “ช่วงนี้ผู้คุมจัตุรัสแดงลงมือติดต่อกัน ทั้งยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้าเกรงว่านางจะคลั่งขึ้นกะทันหัน เกิดว่าลงมือทำลายล้างเมือง…เรื่องนี้ข้ารายงานราชสำนักแล้ว อีกไม่นานจะมียอดฝีมือขุนนางใหญ่มา แต่พวกเราล้วนทราบดีว่า ระดับของผู้คุมจัตุรัสแดงไม่ใช่จะเอาอยู่ง่ายๆ”
เซียวหงเย่ถอนใจเช่นกัน
“พี่ไป๋เฟิงกล่าวถูกต้อง พวกเราจวนอู๋โยวเองก็จนปัญญา ตอนนี้รองประมุขจวน เย่หลิงม่อก็ปวดหัวกับเรื่องนี้เหมือนกัน ผุ้คุมจัตุรัสแดงกระทำรุนแรงเกินไป ที่พันธมิตรบู๊ก็ฆ่าคนไปอย่างน้อยหลายร้อย จากนั้นก็ฆ่าที่เมืองเลียบคีรีไปอย่างน้อยมากกว่าร้อย นี่ยังเป็นแค่จำนวนที่พวกเรารู้ ภายหลังข้ายังได้ข่าวว่า นางคนได้ทำลายหมู่บ้านบนเขาไปสามแห่ง คนมากกว่าพันถูกฆ่าจนหมดสิ้น ถึงแม้คนพวกนี้จะเป็นโจร แต่จำนวนก็มากเกินไป”
ลู่เซิ่งพยักหน้า “อย่างนั้นท่านพี่ทั้งสองมีมาตรการใด”
“แผนการในปัจจุบันคือทำความเข้าใจว่าผู้คุมจัตุรัสแดงต้องการอะไรกันแน่ แล้วคิดวิธีหามาให้นาง” ไป๋เฟิงเอ่ยอย่างจนใจ
เซียวหงเย่เองก็จนปัญญา หลังจากถึงระดับอสรพิษ โดยพื้นฐานแล้วสามารถสร้างขุมกำลังตระกูลขุนนางของตัวเอง และยืนหยัดบนลำแข้งตัวเองในโลกที่ลำบากแบบนี้ได้
ระดับเช่นนี้ไม่ใช่ระดับที่ตรีลักษณ์เช่นพวกเขามีปัญญารับมือ
ลู่เซิ่งผิดหวังเล็กน้อย ยังนึกว่าสองคนนี้จะมีวิธีการใหม่ๆ คิดไม่ถึงจะมีแค่นี้
ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนข่าวสารกันสักพัก ไป๋เฟิงก็พูดถึงเรื่องหนึ่งโดยไม่รู้ตัว กระตุ้นความสนใจของลู่เซิ่ง
“พูดถึงหลี่ซุ่นซี หลังจากเขาออกจากแดนเหนือไปทางนั้น ไม่ทันไรทางจงหยวนก็มีข่าวเกี่ยวกับสลักสะกดวิญญาณส่งมา ว่ากันว่าถูกตระกูลหวงในเก้าตระกูลจงหยวนประกาศจับ ไม่เพียงทำลายสลักสะกดวิญญาณ ยังกินผลไร้ใจที่พวกเขาตั้งใจเพาะปลูกมาหลายร้อยปี ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน เพื่อชิงแก่นของผลไร้ใจ ไม่ทราบว่ามีคนกี่คนคิดหามัน”
“เขาเป็นเพียงยอดฝีมือในยุทธภพทั่วไปไม่ใช่หรือ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงสัย
“ไม่ใช่มานานแล้ว” ไป๋เฟิงส่ายหน้า “สถานะอีรุงตุงนังเหมือนกับน้องลู่”
“อ้อ? สถานะขอข้ามีตรงไหนผิดปกติหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“น้องชาย!” ไป๋เฟิงชี้ไปที่ลู่เซิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มารดาท่านเดิมก็ไม่ใช่ตระกูลซุนให้กำเนิด สถานะของนางซับซ้อน เรื่องนี้แม้ลึกลับ แต่ขุนนางตรวจการเช่นข้ายังตรวจสอบได้”
ลู่เซิ่งนึกว่าเขาจะพูดเรื่องอื่น เช่นพลังของเขา แต่กลับคาดไม่ถึง เรื่องนี้จะเกี่ยวกับซุนยี่ยนมารดาที่ตายไปนานแล้ว
เรื่องนี้ตัวเขาไม่รู้ แอบจดจำไว้ คุยกับทั้งสองอีกพักหนึ่ง ก็ยืนยันแผนการที่เกี่ยวกับว่าจะรับมือการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของผุ้คุมจัตุรัสแดงอย่างไร จนกระทั่งกลางดึก จึงค่อยบอกลาจากไป
…
ที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือ
ที่ราบน้ำแข็งขนาดมหึมาที่เปราะบาง เรียกว่าที่ราบน้ำแข็งหญ้าขาว
เป็นเพราะมีสภาพอากาศเลวร้ายถึงขีดสุด ทุ่งราบน้ำแข็งเกิดพายุหิมะพัดกระหน่ำตลอดเวลา ดังนั้นผู้อยู่อาศัยส่วนหนึ่งจึงรวมตัวกันสร้างเมืองเล็กๆ ขึ้นมา ทั้งยังใช้ฝาทรงกรวยขนาดใหญ่คลุมด้านบนเมืองเอาไว้ ทำให้ละอองหิมะที่พัดตกลงมาไม่ถึงกับกองสุมกันด้านบน
เมืองเล็กๆ หลายแห่งเหมือนกับกระโจมสามเหลี่ยม อยู่ชิดเนินส่วนหนึ่ง เมืองเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่มีขนาดใหญ่บรรจุคนได้มากกว่าร้อยคน เหมือนกับเมืองกลางภูเขาบนที่ราบน้ำแข็ง มีกระท่อมน้ำแข็งที่มีขนาดเล็กบรรจุคนได้สิบกว่าคน
พวกเขาขุดหลุมใหญ่บนพื้น เมื่อปรับฐานดินดีแล้ว ค่อยวางผนัง สุดท้ายหลอมฝาทรงกรวยทีละน้อยๆ ส่วนใหญ่สร้างไม่ง่ายนัก
พายุหิมะสีขาวทั่วท้องฟ้าส่งเสียงหวีดหวิว
ผู้คุมจัตุรัสแดงห่อตัวอยู่ในเสื้อคลุมไหล่สีขาว ใกล้ๆ คืออิงอิงสตรีกางร่มที่ติดตามทุกย่างก้าว เดินอยู่ด้านหลัง นางสวมเสื้อคลุมไหล่สีขาวตัวหนาแบบเดียวกัน
สองคนมาถึงหน้าเมืองน้อยที่สูงสิบกว่าหมี่แห่งหนึ่ง สิ่งก่อสร้างประหลาดแบบนี้ยิ่งใหญ่และตระการตามาก
ตั้งอยู่บนพื้นเหมือนกับเจดีย์แหลม เพียงแต่ตัวมันอยู่ใต้ดินทั้งหมด
“เป็นที่นี่” ผู้คุมจัตุรัสแดงเลียริมฝีปาก ดวงตาปรากฏความหิวกระหาย
“ท่านพี่…ระวังด้วย…” สตรีกางร่มย้ำเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง นอกจากคนเหล่านั้น แดนเหนือกว้างใหญ่ผู้ใดคุกคามข้าได้ เจ้าปกป้องตัวเองให้ดีก็พอ!” ผู้คุมจัตุรัสแดงยื่นมือออกไปแนบบนกำแพงเมืองน้อยที่หยาบกระด้างและเย็นเยียบ
อย่างไร้สุ้มไร้เสียง กำแพงเมืองน้อยละลายกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่ กำแพงเหล่านี้ความจริงทำจากชั้นน้ำแข็ง
……………………………………….