ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 180 ซุ่มจู่โจม (4)
บทที่ 180 ซุ่มจู่โจม (4)
พลังของผู้คุมจัตุรัสแดงที่ยืนขึ้นมาใหม่แทบกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ในพริบตาเดียว ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าเดิม
แตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ลู่เซิ่งใช้ทั้งสองมือ สองเท้า ข้อศอก และเข่าบนร่าง ต่อสู้กับนาง
ดาบระเบิดแหลกไปแล้วในทันทีที่ต่อสู้กัน
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งถูกดาบฟัน พุ่งลิ่วเข้าไปในหน้าผาหิน
ถึงแม้ว่าเขาจะยกมือป้องกันดาบนี้ไว้ได้ แต่ว่าพละกำลังอันมหาศาลที่ซ่อนอยู่ด้านในยังคงไม่อาจป้องกันได้หมด
หินก้อนใหญ่กว้างสิบกว่าหมี่กลิ้งตกลงมาบนศีรษะเขา
ลู่เซิ่งสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่เหลือบแลรอยแตกกระจายเต็มเปลือกเกราะบนร่าง ดึงตัวเองออกมา ย่ำเท้าบนหน้าผาหิน แล้วพุ่งทะยานไปยังยอดถ้ำบนหน้าผาหินเหมือนกับจิ้งจก
ควับ!
ดาบยาวเป็นประกายสีแดงฟันผ่านไปที่ตำแหน่งเดิมของเขา
ผู้คุมจัตุรัสแดงทั่วร่างลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดงฉานโผล่ขึ้นมา เงยหน้ามองลู่เซิ่ง แล้วกระโดดไล่ตามขึ้นไปด้านบน
ครึ่กๆๆ!
หินก้อนใหญ่มากมาย รอบๆ ช่องแคบตกลงมาเพราะการต่อสู้ของคนทั้งสอง
ภูเขาทั้งภูเขาเริ่มสั่นสะเทือน
“วิญญาณลวงห้าฟาดฟัน!” ผู้คุมจัตุรัสแดงใช้ท่าไม้ตายอีกครั้ง
ตอนนี้พละกำลังของนางไม่มีที่สิ้นสุด แสงสีแดงหดตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะระเบิดออกอย่างรุนแรง
ตูม!
ดาบนี้ฟันใส่ความว่างเปล่า เฉียดผ่านข้างตัวลู่เซิ่งอย่างหวุดหวิด กระแทกใส่ช่องแคบเป็นหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง
เสียงครืนครันดังมา
ช่องแคบขนาดมหึมาในที่สุดก็รับการทำลายล้างไม่ไหว หน้าผาครึ่งหนึ่งด้านซ้ายเริ่มเอียงไหลลงช้าๆ ก่อนจะจมลงสู่แม่น้ำ แบ่งสายน้ำออกเป็นสองสาย
ไอน้ำหนาขึ้นเรื่อยๆ แทบอำพรางทัศนวิสัย
“ตายหรือยัง” ผู้คุมจัตุรัสแดงรู้สึกตัวเพราะหินก้อนใหญ่ตกลงมารบกวน ลมปราณยังลุกไหม้อย่างรุนแรงบนตัวนาง พลังแบบนี้ไม่ใช่โผล่มาจากความว่างเปล่า หากแต่นางเผาไหม้ทุกสิ่งของตัวเอง แลกเปลี่ยนเป็นพลังสุดท้ายจากในชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาด
“ข้าบอกแล้วว่า… ข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด!”
แสงอ่อนๆ สีฟ้าแดงสองสายสาดออกมาจากฝนเศษหิน เสียงที่ทุ้มต่ำแฝงความบ้าคลั่งดังออกมาจากด้านหลัง
จากนั้นเป็นแสงสายหนึ่ง เงาแสงสีแดงสีฟ้าเกาะเกี่ยวกันสายหนึ่งกระแทกก้อนหินทั้งหมดออกไป แล้วพุ่งมาหานาง พร้อมกับสภาวะที่กวาดล้างทุกอย่าง
“หยินหยาง อานุภาพเกรียงไกร!”
“วิญญาณลวงห้าฟาดฟัน!” ผู้คุมจัตุรัสแดงรีบยกดาบขึ้น กระตุ้นพลังทั่วร่าง
เปรี้ยง!
แต่ยังคงไม่ทัน พริบตาที่พลังอันคมกล้าและยิ่งใหญ่กระแทกร่างของนาง มันก็เจาะทะลวงเป็นรูขนาดเท่ากำปั้นหลายสิบรู
ทั้งสองคนพุ่งผ่านผิวน้ำผืนใหญ่ ตกลงไปในทะเลบุปผาข้างชายฝั่งแม่น้ำอย่างรุนแรง
กลีบดอกเก้ากลีบระเบิดกระจายทั่วท้องฟ้า
ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากการเสริมพลังจากภัยพิบัติมังกรสีชาด อาการบาดเจ็บที่ผู้คุมจัตุรัสแดงโดนโจมตีจึงไม่ส่งผลต่อพลังต่อสู้
นางทุ่มทุกอย่าง อุทิศทุกสิ่งเพื่อแลกเปลี่ยนพลัง จะล้มลงตรงนี้ได้อย่างไร!?
“ข้าจะไม่ตายที่นี่! ไม่มีทาง!” ใบหน้านางในเปลวเพลิงดุร้ายกว่าเดิม
“ไปตายซะ!”
ดาบยาวพลันระเบิดออก ต้านทานความร้อนที่น่ากลัวไม่ไหวอีกแล้ว ชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาดรวมเป็นดาบเพลิงที่ยาวและใหญ่กว่าเดิม
ดาบเพลิงยาวถึงเจ็ดแปดหมี่ฟันใส่พื้นที่ลู่เซิ่งยืนอยู่
“วิญญาณลวง ฟาดฟันไร้สิ้นสุด!”
“ฮ่าๆๆ! ใช่แล้ว ต้องแบบนี้!”
ลู่เซิ่งหัวเราะลั่น สองมือหนึ่งแดงหนึ่งฟ้า วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกับปราณหยินหยางขวดสมบัติเผาไหม้ปราณเหลวพร้อมกัน
สีแดงสีฟ้าผสมกัน รวมเป็นทรงกลมขนาดเล็กไร้สีกลุ่มหนึ่งอยู่ด้านหน้าเขา
“หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง มหาสังหาร!”
ตูม!
ดาบไฟกับทรงกลมขนาดเล็กไม่ได้สัมผัสกัน เพียงแต่พองขยาย ก็ระเบิดขึ้นก่อน
เปลวเพลิงผสมกับกระแสอากาศที่บิดเบี้ยว ขณะระเบิด ก็ฉีกทะเลบุปผาออกเป็นร่องลึกหลายสาย
พลังระดับอสรพิษเดิมทีก็ผนึกรวมอยู่แล้ว แต่ทั้งสองคนสู้กันถึงขั้นนี้ พลังทำลายล้างอันมหาศาลที่เกิดขึ้นทำให้เกิดพลังกระจายตัวที่มากเกินไป
นี่หมายความว่าสิ่งที่พวกเขาใช้ ไม่ใช่พลังที่ตัวเองควบคุมได้โดยสมบูรณ์อีกต่อไป หากเป็นส่วนที่ตนเองยังควบคุมได้ไม่คล่อง
เพลิงสีแดงเผาไหม้ต้นไม้และทะเลบุปผาผืนใหญ่รอบๆ ลามเลียจนเกิดเป็นควันดำหนา
แกร่ก
ด้านข้างสถานที่ที่ไฟไหม้ ลู่เซิ่งเหยียบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งหัก ยืนอยู่ด้านหน้าผู้คุมจัตุรัสแดง
“ดูเหมือนข้าจะชนะแล้ว” ลู่เซิ่งมองด้ามดาบชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาดที่ดับแสงลง ค่อยๆ ยกมือขึ้น
ผู้คุมจัตุรัสแดงนั่งบนพื้นโดยไร้เรี่ยวแรง มือถือดาบหัก ทั่วตัวมีควันดำหลายสายลอยขึ้น นั่นเป็นควันที่เกิดจากการเผาไหม้ทั้งห้าอวัยวะเจ็ดทวารของนาง
“พวกเรามีความแค้นกันหรือ” นางเงยหน้ามองมือขวาที่ลู่เซิ่งยกขึ้น พลันเอ่ยถาม
ลู่เซิ่งงุนงง
“ไม่มี”
“เพราะชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาดหรือ” ผู้คุมจัตุรัสแดงเหมือนกับเข้าใจผิด
ลู่เซิ่งเงียบเสียง ก่อนจะยิ้ม
“ใช่ เพราะชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาด”
เขาฟาดฝ่ามือลงไป
“ไม่!”
เงาแดงสายหนึ่งพลันพุ่งเข้าหาเขา
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งฟาดฝ่ามือไปยังสตรีกางร่มที่ลอยมาอย่างแม่นยำ
ทว่าตอนนี้เขายังอยู่ในสภาพเผาปราณเหลวหยินหยางประสานรวม ต่อให้เป็นแค่ฝ่ามือ อานุภาพก็สุดที่สตรีกางร่มจะรับได้
ในตอนนี้เอง เงาร่างของผู้คุมจัตุรัสแดงพลันถลันเข้ามาบังด้านหน้าสตรีกางร่มไว้พอดี
ทั้งสองคนกอดกันอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง
เปรี้ยง!
ปราณภายในหยินหยางทะลักเข้าไปในร่างสตรีทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง
ตูม!
ทั้งสองคนกลิ้งตกลงบนพื้น
“ท่านพี่!” อิงอิงรีบตะกายขึ้นมา พุ่งไปด้านข้างผู้คุมจัตุรัสแดง ร้องไห้น้ำตานอง
ผู้คุมจัตุรัสแดงเงยหน้ากระอักเลือดสีดำออกมา นางฝืนมองสตรีกางร่มที่อยู่ข้างตัว ยิ้มอย่างอ่อนแรง
“…นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า…อิงอิง…” ควันดำบนร่างสตรีกางร่มหนาขึ้นเรื่อยๆ
หยินหยางปราณภายในรวมเป็นหนึ่ง ทั้งยังเป็นพลังทะลุทะลวงอันน่าสะพรึงกลัว
ไม่ใช่แค่นาง แม้แต่บนร่างอิงอิงก็มีรูขนาดเท่ากำปั้นหลายแห่ง ปราณภายในธาตุหยางระเบิดอย่างน่ากลัว กระตุ้นปราณภายในธาตุหยินให้กลายเป็นเส้นสายปราณภายในที่จับตัวในระดับสูง ผลที่เกิดขึ้นจึงเป็นเช่นนี้
“ตอนนั้นข้าไม่น่าเปลี่ยนเจ้าเป็น…ผีชาง[1]…” ผู้คุมจัตุรัสแดงสายตาเริ่มแตกซ่าน ควันดำหนาแน่นค่อยๆ ลอยออกมาจากทั่วทั้งตัว มือเท้าค่อยๆ กลับเป็นลักษณะเดิม เป็นอุ้งเท้าเสือที่มีขนสีขาวงอกอยู่เต็ม
ลู่เซิ่งมองดูภาพนี้ ความตื่นเต้นและความสนใจค่อยๆ ลดลง ถึงแม้จะเกิดความสะท้อนใจต่ออิงอิงกับผู้คุมจัตุรัสแดง แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะปล่อยคนทั้งสอง
อิงอิงฆ่าพลพรรควาฬแดงมากมาย ผู้คุมจัตุรัสแดงก็ถึงขั้นเตรียมจะลงมือกับเฉินอวิ๋นซี ความแค้นระหว่างพวกเขาไม่อาจแก้ไขได้
ทว่าตอนนี้ไม่ต้องให้เขาลงมือ สตรีกางร่มแม้มีผู้คุมจัตุรัสแดงกันไว้ แต่นางยังคงถูกพลังทะลุทะลวง ระดับตรีลักษณ์เช่นนาง ป้องกันพลังของลู่เซิ่งไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ไฟค่อยๆ ลามมาถึงที่นี่ ลู่เซิ่งมองทั้งสองโอบกอดกัน สตรีกางร่มสะอึกสะอื้นฮึกๆ กอดผู้คุมจัตุรัสแดงที่ไม่ขยับอีกแล้ว พลางคลานไปยังทิศทางที่ห่างจากเขาทีละนิดๆ
นางคิดจะอยู่ให้ห่างจากลู่เซิ่ง ถึงนางจะไม่รู้ว่าตัวนางเองก็ไม่รอดแล้ว
ลู่เซิ่งไม่สนใจนาง ถอนดาบชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาดจากบนพื้น มองทิศทางของศึกใหญ่เมื่อก่อนหน้า
เป้าหมายแรกสุดของศึกใหญ่ในครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นการกำจัดคนที่รู้เรื่อง ทว่าปัจจุบันสมควรถึงเวลาเก็บกวาดแล้ว
‘ยักษ์ตาเดียวจากสมาคมหทัยร่อนเร่ ไปดูว่าจะเอาอะไรมาได้บ้าง ยังเหลือศพของเย่หลิงม่อกับผู้คุมจัตุรัสแดง พวกเขาเป็นระดับอสรพิษ’
ลู่เซิ่งผ่อนคลายร่างกาย กลับเป็นคนปกติในสภาพหยินโชติช่วงซึ่งสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ อีกครั้ง
พลังฟื้นฟูของสภาพนี้เหนือกว่าสภาพอื่น เป็นสภาพการฟื้นฟูที่ดีที่สุด ก่อนหน้านี้เขาฆ่าฟันกับผู้คุมจัตุรัสแดง ไม่ใช่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
อานุภาพของชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาด เหนือกว่าการคาดการณ์ของเขา ผู้คุมจัตุรัสแดงได้รับบาดเจ็บ กอปรกับต้องพิษ ก่อนหน้านี้ยังถูกลอบเล่นงาน ตอนต่อสู้กับเฉาหู่ยักษ์ตาเดียว เยื่อดำอสรพิษดำบนร่างถูกทำลายทั้งหมด
ร่างกายที่พิการแบบนี้ถึงกับเผาไหม้ตนเอง แสดงพลังที่น่ากลัวชนิดนั้นออกมาได้ ด้วยการสนับสนุนของเศษชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาด
เขาทราบอยู่บ้างว่าทำไมตระกูลขุนนางกับมารปีศาจจึงได้ไล่ตามหาชิ้นส่วนอาวุธเทพศัสตรามารอย่างรีบเร่งขนาดนี้
หลังจากขนาดร่างกลับมาเป็นแบบเดิม ลู่เซิ่งก้าวเท้าก้าวหนึ่ง แล้วพุ่งไปยังที่ที่เฉาหู่ถูกฆ่าอย่างแผ่วเบา
ศพของยักษ์ตาเดียวขนาดใหญ่ลอยอยู่บนแม่น้ำ เลือดไหลจากร่างเข้าไปในน้ำไม่หยุด ทั่วร่างของเขามีแค่ดวงตาดวงเดียวที่ยังเป็นสีทองอ่อนๆ
ลู่เซิ่งสัมผัสอย่างตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ค้นตัวเฉาหู่ ไม่ทันไรก็ได้ถุงสีดำเล็กๆ มาถุงหนึ่ง ยักษ์ตนนี้ซ่อนมันเอาไว้ที่เอวด้านหลัง สิ่งที่ทำให้เขาเสียดายคือ ไม่พบปราณหยินบนศพ
เขาตรวจสอบเฉาหู่ตั้งแต่หัวจรดหางรอบหนึ่ง สุดท้ายได้แต่มองดูดวงตาข้างเดียวบนศีรษะอีกฝ่าย
‘ตาข้างนี้ปล่อยแสงสีทองออกมาได้ อานุภาพไม่เบา น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่สุดบนร่างยักษ์ตนนี้’
มือขวาของลู่เซิ่งกลายเป็นสีดำ ห้านิ้วแหลมและแข็งขึ้น ปลายนิ้วมีของแหลมสีดำที่คมกริบงอกออกมาหลายแท่ง
เขายกนิ้วชี้และนิ้วโป้งขึ้น แทงเข้าไปในดวงตาข้างเดียวของเฉาหู่เบาๆ
ฉูด!
เลือดซึ่งผสมกับของเหลวบางอย่างที่เหนียวมีสีเหลืองอ่อนๆ ซึมออกมา
ลู่เซิ่งควักดวงตากลมเกลี้ยงออกมา ด้านหลังยังเชื่อมติดกับเส้นประสาทสีแดงส่วนหนึ่ง ก้อนผลึกทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนลอยอยู่ด้านในดวงตา
‘นี่คงเรียกว่าเนตรยักษ์ อาจเป็นของดีก็ได้’ นับตั้งแต่วิชาแข็งกร้าวมีผลสำเร็จ แล้วกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติของร่างกายอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในปัจจุบันของลู่เซิ่งคือ เขาสามารถสัมผัสสิ่งที่มีผลดีกับตัวเองได้มากมาย
เหมือนกับมนุษย์คิดกินอาหารแต่ละชนิดตลอดเวลา อากาศร้อนก็คิดกินของเย็นเพื่อลดอุณหภูมิ อากาศหนาวก็คิดกินของอุ่นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เค็มก็อยากดื่มน้ำ หิวก็อยากกินข้าว
ลู่เซิ่งเก็บดวงตา ใช้ผ้าห่อไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปิดถุงดำใบนั้น
เขย่าเบาๆ ผลไม้สีเทาอ่อนที่แห้งแล้วสามผลเหมือนกับผลแปะก๊วยก็หล่นออกมา ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ลู่เซิ่งวางดวงตากับผลไม้ไว้ด้วยกัน แล้วเก็บใส่ถุงดำ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปตรวจสอบศพที่เหลือ
ศพที่เหลืออีกสามศพก็ไม่มีปราณหยินเช่นกัน หนำซ้ำยักษ์เหล่านี้คล้ายไม่พึ่งพาวัตถุภายนอก ไม่เจอของบนตัวมากนัก
ลู่เซิ่งควักดวงตาของพวกเขาออกมาเก็บไว้ในถุงดำ
ยังมีสตรีที่สวมหน้ากากอีกคน หลังจากปลดหน้ากากออกแม้จะมีแค่ตาเดียว แต่ความสูงของนางต่างจากตนที่เหลือ เหมือนกับเป็นมนุษย์ธรรมดา
‘นี่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สมบูรณ์’ ลู่เซิ่งสรุปในใจ
เขาที่ได้อะไรมาไม่มากนัก เดินมาถึงด้านหน้าเย่หลิงม่อ
เขาลากศพของเย่หลิงม่อไปด้านข้างฝั่งแม่น้ำ ศพที่่เดิมถูกเผาจนเกรียมคืนร่างเดิมแล้ว กลายเป็นวานรขนดำหน้าแดงตัวหนึ่ง
ลู่เซิ่งค้นเจอคัมภีร์ที่ใช้โลหะพิเศษบางอย่างเย็บเข้าด้วยกันบนตัวเขา มันบันทึกวิชาประหลาดเอาไว้
เขาอ่านไม่ออก แต่ก็ทราบว่านี่เป็นวิชาของมารปีศาจ พวกเขาสร้างขึ้นมาเพื่อพัฒนาขีดจำกัดความสามารถของตัวเอง ตนเป็นมนุษย์ ฝึกไปก็ไร้ประโยชน์
โครงสร้างร่างกายไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นวิชาที่ดีกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์
‘มารปีศาจแตกต่างจากมนุษย์ วรยุทธ์ของมนุษย์ก็พัฒนาขีดจำกัดของตัวเอง และยกระดับวิชาของตัวเองเหมือนกัน’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจ เก็บของ สัมผัสปราณหยินไม่ได้เช่นกัน
เขาตัดหูข้างหนึ่งของเย่หลิงม่อมาเป็นที่ระลึก
เขาโยนศพของเย่หลิงม่อไปกองรวมกับยักษ์ตาเดียว หลังจากเผาทิ้ง ก็บ่ายหน้ากลับไปหาสตรีกางร่มกับผู้คุมจัตุรัสแดง
ศพของสตรีทั้งสองนอนอยู่ในกองขี้เถ้าข้างฝั่งแม่น้ำ บนพื้นเหลือกระดูกติดหนังสีดำส่วนหนึ่ง กับปมรวมใจสีชมพู
ดูจากสภาพ ยังพอมองออกว่า ผู้คุมจัตุรัสแดงเป็นเสือขาวที่ร่างไม่ใหญ่มาก ส่วนอิงอิงสตรีกางร่มเป็นเผ่าพันธุ์คล้ายมนุษย์
ลู่เซิ่งค้นหาของเหมือนก่อนหน้า ได้คัมภีร์เล่มหนึ่งจากตัวผู้คุมจัตุรัสแดง
คัมภีร์สีดำที่เล่มเล็กและประณีต มีขนาดแค่เท่าเล็บ
‘สิ่งนี้…’ ลู่เซิ่งหยีตา แล้วยัดเก็บมันไว้ในถุงดำ
บนคัมภีร์เล่มนี้มีปราณหยินแล้ว ทั้งยังเข้มข้นเป็นพิเศษ
……………………………………….
[1] ผีชาง เป็นภูตผีชนิดหนึ่ง ถูกเสือฆ่าตาย จึงกลายเป็นวิญญาณหาเหยื่อให้เสือต่อ