ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 183 ไม่หัวเราะ (1)
บทที่ 183 ไม่หัวเราะ (1)
หลังกินข้าวเสร็จ ลู่เซิ่งพาสตรีกางร่มตัวน้อยไปยังห้องลับที่สร้างใหม่
เนื่องจากเขาฝึกวรยุทธ์ ห้องก่อนหน้านี้จึงเสียหายจนใช้ไม่ได้อีกแล้ว
ลู่เซิ่งเอาของที่เก็บรวบรวมมาจากคู่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ ออกมาทีละอย่าง แล้วให้สตรีกางร่มแยกแยะ
“นี่คืออะไร” เขาหยิบคัมภีร์เล็กประณีตเล่มนั้นขึ้นมาโบกอยู่ด้านหน้าสตรีกางร่มตัวน้อย
“นี่มีแค่…ท่านพี่ ที่…รู้…” อิงอิงตอบติดอ่าง
“เจ้าแน่ใจหรือ” ลู่เซิ่งหรี่ตามองอีกฝ่าย “จงรู้ไว้ว่าแม้ข้าสังหารเจ้าไม่ได้ แต่ข้าทำให้เจ้าอยู่ในสภาพหลังการตายได้ตลอดกาล เจ้าเข้าใจความหมายของข้านี่”
สตรีกางร่มน้อยตัวสั่น ดูท่าทางหวาดกลัวความตายยิ่ง นางพินิจมองคัมภีร์น้อยเล่มนั้น
“นี่ก็คือ…เคล็ดวิชาที่…ท่านพี่ได้มาโดย…บังเอิญ…” นางกล่าวติดๆ ขัดๆ
เคล็ดวิชาหรือ
ลู่เซิ่งสนใจ ซักต่อ ไม่ทันไรก็ได้วิธีใช้เคล็ดวิชานี้มาจากปากสตรีกางร่มตัวน้อย นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ใช้กับภูตผีปีศาจโดยเฉพาะ มนุษย์ใช้ไม่ได้
หนำซ้ำตัวอักษรที่ใช้เขียนก็ไม่ใช่ตัวอักษรที่มนุษย์ใช้ หากเป็นระบบที่เรียกว่าอักขระวิญญาณ สตรีกางร่มตัวน้อยไม่รู้จักอักขระวิญญาณเช่นกัน มีแค่ผู้คุมจัตุรัสแดงที่รู้จัก
แม้ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ส่งเสริมปราณหยินได้ส่วนหนึ่ง
ลู่เซิ่งดูดปราณหยินบนคัมภีร์จิ๋วจนหมดแต่แรก ได้มาราวห้าสิบกว่าหน่วย ก่อนหน้านี้เขาใช้ปราณหยินจนเกลี้ยงพอดี ตอนนี้ได้มาเสริมอีกครั้ง
ปัจจุบันเขามีทั้งหมดสามสภาพ ร่างขนาดใหญ่เหมือนสัตว์ประหลาดของสภาพหยางโชติช่วง ร่างคุณชายที่เหมือนอ่อนแอของสภาพหยินโชติช่วง และสุดท้ายสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดที่หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง
ความจริงตัวเขาไม่มีของอ้างอิงมาตัดสินว่าสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองร้ายกาจขนาดไหน การต่อสู้ก่อนหน้าก็เปรียบเทียบแค่กับระดับอสรพิษสองคน ไม่มีของอ้างอิงอย่างอื่น
เขาตั้งชื่อสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดว่าผู้ทำลายล้าง พลัง ความเร็ว การระเบิด การป้องกันของสภาพนี้อยู่ในขั้นสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุด แทบทำลายผู้เข้มแข็งทั้งหมดที่ลู่เซิ่งได้เจอจนถึงวันนี้ได้ เขาจึงตั้งชื่อมันว่าผู้ทำลายล้าง
ในสภาพนี้ เขายังเผาปราณเหลวเพื่อยกระดับพลังระเบิดและพลังทำลายล้างอย่างยิ่งใหญ่ต่อได้ ตอนนั้นจึงเป็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง
“แล้วสิ่งนี้เล่า” ลู่เซิ่งหยิบดวงตาสีทองที่ได้มาจากเฉาหู่ยักษ์ตาเดียวออกมา “สิ่งนี้มีประโยชน์ใดกับข้า”
สตรีกางร่มตัวน้อยอ้าปาก ม่านตาพลันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนจากแดงเป็นขาวในพริบตา
“หึ!” นางเบือนหน้าหนี “คิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรือ?! ฝันไปเถอะ!”
“อ้อ ตอนนี้เจ้าเป็นหงฟางไป๋หรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะ จิตใจนางคล้ายกับพลอยได้รับผลกระทบ กลายเป็นเด็กไปด้วยจากร่างที่เปลี่ยนเป็นเล็กลง
“ใช่แล้วจะอย่างไร เจ้านึกว่าข้าโง่งมข่มเหงง่ายอย่างอิงอิงหรือ” สตรีกางร่มน้อยแค่นเสียง
“พวกเราทำการแลกเปลี่ยนกันเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งยื่นมือไปหิ้วตัวสตรีกางร่มตัวน้อยขึ้น ดึงคอเสื้อด้านหลังของนาง ยกขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งอย่างผ่อนคลาย
“ปล่อยข้า!” สตรีกางร่มตัวน้อยดิ้นรนขัดขืน กลับขยับไม่ได้เพราะพละกำลังอันมหาศาลของลู่เซิ่ง
“ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็เป็นผู้แพ้ที่แพ้ให้แก่ข้าจริงๆ เจ้าว่าใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถาม
สตรีกางร่มหันหน้าหนีไม่พูดอะไร
“หรือเจ้าไม่อยากได้พลังเดิมกลับมา” ลู่เซิ่งล่อลวง
“เจ้าต้องการอะไร?!” สตรีกางร่มตัวน้อยพลันหันกลับมากล่าวเสียงดัง
“เจ้าคิดดู พวกเราไม่ได้มีความแค้นกัน พวกเจ้าต่างหากที่มาหาเรื่องข้าก่อน ภายหลังข้าค่อยตอบโต้ สุดท้ายเกิดผลลัพธ์แบบนี้ เป็นความผิดของใคร” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความจริงข้าไม่ได้สนใจอะไรในตัวพวกเจ้า ถ้าไม่ใช่เจ้าเตรียมลงมือกับข้า ข้าก็ไม่คิดสู้กับเจ้า”
สตรีกางร่มตัวน้อยใคร่ครวญ เป็นอย่างที่ว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่เซิ่งไม่เคยหาเรื่องพวกนาง ตอนแรกสตรีกางร่มอิงอิงบุกหน่วยหลักพรรควาฬแดงเพราะความขัดแย้งจากการต่อสู้กับตระกูลเจิน ภายหลังความขัดแย้งแต่ละอย่างเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายก่อให้เกิดผลลัพธ์อันน่าสังเวชในช่องแคบ
“ร่วมมือกับข้า บางทีอาจคงสภาพในตอนนี้ได้” ลู่เซิ่งปล่อยนางนั่งลงกับพื้น “เจ้าเลือกเอง”
“ต่อให้ข้าฟื้นพลังกลับมาได้ เจ้ายินยอมปล่อยข้าไปหรือ” สตรีกางร่มถามเสียงเย็นชา
“พูดตรงๆ ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ยังไงก็ดีกว่าไม่มีความหวังเลยถูกหรือไม่” ลู่เซิ่งหัวเราะ
สตรีกางร่มเงียบงันสักพัก
นางกำลังชั่งน้ำหนักผลดีผลเสีย สุดท้ายยังรู้สึกว่าการฟื้นพลังกลับมาสำคัญเป็นอันดับแรก ในที่สุดก็ตอบตกลง
“ดี ข้าตอบรับเจ้า ข้าจะร่วมมือกับเจ้าอย่างเต็มที่ ไม่ทำลายขุมกำลังและผลประโยชน์ที่เป็นของเจ้า แต่เจ้าต้องช่วยข้าฟื้นฟูพลังเมื่อเงื่อนไขเอื้ออำนวย” นางกล่าวอย่างจริงจัง
“ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า
เขาหยิบตาดวงเดียวนั้นขึ้นมา
“อย่างนั้นตอนนี้บอกข้า ของสิ่งนี้ใช้อย่างไรถึงจะดีที่สุด”
สตรีกางร่มตัวน้อยมองดวงตานั้น
“นี่เป็นดวงตายักษ์ ถูกเรียกว่านัยน์ตาทองแดง หรือไข่มุกคลื่นทอง ถ้าเจ้าไม่ถือสา ก็เพาะปลูกบนร่าง จะมีวิชาลับพลังพิสดารเพิ่มมาอย่างหนึ่ง”
“หา เพาะปลูกหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ใช่ หลังจากปลูกแล้ว อานุภาพจะลดลงจากเดิมห้าส่วน แต่ก็นับว่าไม่เลว ข้าจำได้ว่าเป็นเพราะมัน เผ่ายักษ์ตาเดียวจึงถูกไล่ล่าอย่างโหดร้าย เป็นเพราะนัยน์ตาทองแดงเป็นศัสตรามารชิ้นหนึ่ง จึงถูกใช้ทำเป็นของประดับข้างแท่นพิธีโดยเฉพาะ” สตรีกางร่มน้อยอธิบาย
“อานุภาพแค่ห้าส่วน ช่างมันเถอะ” ลู่เซิ่งไม่ได้ถามว่าจะเพาะปลูกอย่างไร สำหรับพวกเขาที่ควบคุมกายเนื้อได้ถึงขั้นนี้ การรับและการกีดกันร่างกายใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก
“แล้วกระดูกเหล่านี้เล่า ใช้อย่างไรดี” ลู่เซิ่งลากศพของเย่หลิงม่อกับศพที่ผู้คุมจัตุรัสแดงกับอิงอิงกอดกันกลมออกมา
“เจ้า!” สตรีกางร่มตัวน้อยโมโห
“นี่ไม่ใช่เป็นการเอาขยะมาใช้ประโยชน์หรือ” ลู่เซิ่งไม่แยแสสนใจ
“เจ้ากำลังดูถูกข้า!?” นางกรีดร้อง กระโจนใส่ใบหน้าลู่เซิ่ง จากนั้นก็ถูกเขาจับกดลงกับพื้นอย่างง่ายดาย
“พอแล้ว อย่าอาละวาด”
“เอาศพคืนมาให้ข้า! เจ้าคนเสียสติ! ข้าจะแลกเปลี่ยนกับเจ้า! แลกเปลี่ยน!” สตรีกางร่มตัวน้อยดิ้นพลางตะโกน นางมองความเป็นจริงแล้ว สู้ไม่ได้ หนีไม่พ้น ได้แต่ยอมแพ้
“ได้ เจ้าว่ามา” ลู่เซิ่งค่อยปล่อยนาง
หงฟางไป๋ค่อยแค่นเสียงอย่างโมโห ลุกขึ้นยืน ยังหายใจแรงขณะมองศพบนพื้น
“วิชาที่เจ้าใช้ควบคุมอิงอิงสามารถใช้ควบคุมหุ่นเชิดแทนตัวได้ ข้าใช้วิชาลับหุ่นเชิดแทนตัวเป็น เจ้าต้องการหรือไม่”
“อ้อ?” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าแม้ตนจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่บริวารช่วยอะไรไม่ได้ ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของครอบครัว แต่ว่าหุ่นเชิดแทนตัวนี้ฟังดูร้ายกาจยิ่ง บางที…
“แต่ว่าการแทนตัวนี้ เจ้าจะต้องหาวัตถุดิบทรัพยากรมากพอ อีกทั้งยังยากมาก ต่อให้เป็นข้า ก็เพิ่งเข้าสู่ระดับเบื้องต้น” สตรีกางร่มตัวน้อยกล่าว “ข้าจะถ่ายทอดวิชาระดับเบื้องต้นให้ เจ้าคืนศพมา!”
“ได้!” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกันในห้องลับอยู่หลายชั่วยาม จากนั้นก็ออกมา
เพียงแต่หลังจากออกมา ลู่เซิ่งรู้สึกว่าสายตาขององครักษ์ในบริเวณรอบๆ ที่มองมายังตัวเองแปลกพิกลอยู่บ้าง
โดยเฉพาะท่าทางเหนื่อยล้าอิดโรยตอนสตรีกางร่มตัวน้อยออกมา ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าสายตาที่อยู่รอบๆ ยิ่งมายิ่งประหลาด
ดีที่ยามอยู่ภายนอกเขาใช้ข่ายกระเรียนหยินควบคุมคำพูดและการเคลื่อนไหวของสตรีกางร่มตัวน้อยเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้นางพูดคำพูดที่ไม่สมควร
ครั้งนี้เขาได้วิชาลับวิชาหนึ่งจากสตรีกางร่มตัวน้อย ชื่อว่าวิชาควบคุมเส้นด้าย เป็นทักษะที่ใช้ของจำพวกเส้นด้ายควบคุมหุ่นเชิดในการต่อสู้หรือเคลื่อนไหว
มิน่าเขาไม่เคยเห็นผู้คุมจัตุรัสแดงใช้วิชานี้ แค่ใช้เส้นด้ายก็ทำให้วิชาลับวิชานี้กลายเป็นโครงไก่แล้ว
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คุมจัตุรัสแดงไม่หวง ถึงขั้นส่งบันทึกของวิชาลับฉบับดั้งเดิมให้เขา
ทั้งสองคนออกจากห้องลับ หงฟางไป๋ติดตามอยู่ด้านหลัง ต้องกระโดดค่อยตามความเร็วของลู่เซิ่งทัน
นางแอบมองคนตรงหน้า
‘ตอนนั้นเพื่อทักษะนี้ ข้าใช้เวลาไม่ต่ำกว่าร้อยปี ถึงขั้นผลาญทรัพยากรของจัตุรัสแดงในตอนนั้นจนหมด ตั้งใจศึกษาเถอะ! ให้ดีที่สุดคือโดดเข้าไปในหลุมที่ไร้ก้นบึ้งเหมือนข้าในตอนนั้น ฝึกฝนมากกว่าร้อยปีกลับไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย แบบนี้ข้าค่อยมีโอกาส…’ หงฟางไป๋คิดอย่างมุ่งร้าย
ทั้งสองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังมาถึงห้องหนังสือ
ลู่เซิ่งลากเก้าอี้มานั่งลง
“เมื่อครู่เจ้าพูดถึงวิชาลับกับพลังพิสดาร นั่นคืออะไร” เขาพลันถาม
หงฟางไป๋งุนงง
“พวกเราภูตผีปีศาจนอกจากกายเนื้อที่แข็งแกร่งผิดธรรมดา ต่างมีความสามารถหลากหลาย ความสามารถที่ทำให้ลมปราณแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างฉับพลันของเจ้าก็เป็นวิชาลับวิชาหนึ่งไม่ใช่หรือ ถามไปทำไม เจ้าก็รู้อยู่แล้วนี่”
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ค่อยเข้าใจ ทราบว่านางพูดถึงการเผาปราณเหลวของตัวเอง
“รู้อยู่” เขาคิดว่ามันเป็นอิทธิฤทธิ์พรสวรรค์ที่ภูตผีปีศาจมีเป็นของตัวเอง ตระหนักว่าแสงทองตาเดียวของเฉาหู่ รวมถึงการกลายร่างเป็นวิญญาณลวงของผู้คุมจัตุรัสแดง มีความคล้ายคลึงกัน
เขานั่งลง เริ่มอ่านข่าวด่วนที่พวกอวี้เหลียนจื่อส่งมา ปกติมีแต่เรื่องใหญ่กับเรื่องสำคัญ อวี้เหลียนจื่อจึงค่อยส่งข่าวด่วนมา
อวี้เหลียนจื่อรับผิดชอบดูแลเมืองเลียบคีรี เขตอื่นๆ ลู่เซิ่งให้ผู้อาวุโสที่เหลือรับผิดชอบ ในนี้มีโถงอินทรีเหินที่สวีชุยนำรับผิดชอบเขตของพรรคเกือบสามส่วน จ้าวเจียวเจียวก็ได้รับการมอบหมายจากเขาให้รับผิดชอบอาณาเขตสามส่วน
พอนึกถึงจ้าวเจียวเจียว ลู่เซิ่งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเป็นคนลุ่มหลงในวรยุทธ์คนหนึ่ง ถึงแม้จะยำเกรงตน แต่เพราะมีพลังระดับเอกะฟ้า บวกกับความเร็วในการเติบโตไร้คอขวดของข่ายกระเรียนหยิน พลังฝึกปรือเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงทุกๆ วัน
แม้นางจะเริ่มรับผิดชอบอาณาเขต แต่ว่าภูตผีเรื่องประหลาดที่ปรากฏในอาณาเขตเมืองที่นางดูแลมีน้อยที่สุด ส่วนใหญ่ข่าวเพิ่งส่งมา ก็ถูกนางกวาดล้างจนหมดสิ้นแล้ว
ลู่เซิ่งพลิกข่าวด่วนที่จ้าวเจียวเจียวส่งมาอย่างไม่ตั้งใจนัก อ่านคร่าวๆ ก็เริ่มดูอาณาเขตเมืองสุดท้ายที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งรับผิดชอบ
“หือ” ทันใดนั้นมือเขาชะงัก
หยิบกระดาษจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมา วันที่เขียนไว้บ่งบอกว่าส่งมาเมื่อหลายเดือนก่อน เนื้อหาบนกระดาษกลับทำให้เขาต้องหยีตา
เขาอ่านเนื้อหาดู แล้ววางจดหมายไว้บนโต๊ะ เคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างไม่เร็วไม่ช้า
แสงสีขาวอันกระจ่างสาดลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง พอดีตกลงบนกระดาษจดหมายสีเหลืองอ่อน ส่องตัวอักษรแถวหนึ่ง
‘เย่หงหนานหัวหน้าสาขาแห่งเมืองห่วงหยกขาดการติดต่อสิบสามวัน ไม่ทราบที่อยู่’
……………………………………….