ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 19 เดินทาง (1)
‘ร่างกายยังอ่อนแอเกินไป… การฝึกฝนตลอดหลายเดือนยังไม่พอ’ ลู่เซิ่งพอหยุด พลันรู้สึกเจ็บปวดทั่วร่าง
ดีที่ลมปราณภายในของวิชากระเรียนหยกที่โคจรตลอด ยามนี้เหยียดยื่นออกมาหลายเส้นเหมือนกับใยแมงมุม เชื่อมกับจุดปวดทั้งหมดบนร่าง
พร้อมกับที่ลมปราณภายในที่ลำเลียงมาทำการบำรุงหล่อเลี้ยง จุดที่เดิมยังเจ็บปวดก็ส่งความคันยิบๆ ออกมา
‘ประสิทธิผลน่าทึ่งจริงๆ ความรู้สึกคันนี้สมควรเป็นความรู้สึกที่บาดแผลบนร่างสมานตัว’
ลู่เซิ่งคาดเดาในใจ
มองดูศพบนพื้น เขาเดินเข้าไปในช่องที่จ้าวซวงหั่วเข้ามา
อีกด้านหนึ่งของช่องเป็นลานหลังของบ้านอีกหลัง
เขาเดินเข้าไปในลานด้านหลัง ลู่เซิ่งกวาดมองรอยเท้าบนพื้น ตามรอยเท้าที่เดินเข้าไปในห้องของบ้านหลังนี้
เพิ่งเข้ามาในห้อง เขาก็มีสีหน้างงงัน มองสภาพในห้อง
สิ่งที่เข้าสู่คลองจักษุคือลู่ชิงชิงที่ถูกแขวนอยู่บนคานห้อง ทั่วร่างเพียงสวมเอี๊ยมสีขาวตัวเดียว
ดรุณีน้อยนางนี้สลบไสลไปแล้ว…
ถ้าไม่ใช่มีแผ่นผ้าปิดไว้ อีกนิดก็จะเห็น…
บนตัวมีเพียงแผ่นผ้าปิดไว้ มากกว่าครึ่งเปิดเปลือยต่อภายนอก
ดูท่าทางถ้าลู่เซิ่งมาช้ากว่านี้อีกหน่อย ลู่ชิงชิงคงจบสิ้นแน่แล้ว
‘ยังดีๆ…’
ลู่เซิ่งรีบถอดเสื้อนอกออก ห่อตัวลู่ชิงชิงไว้ แล้วนำนางลงมา
เรื่องนี้ไม่อาจให้คนอื่นรู้ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของลู่ชิงชิงย่อยยับแน่
ลู่เซิ่งตัดสินใจปกปิดเรื่องที่ลู่ชิงชิงถูกชุดคร่า
สมัยนี้ถ้าหญิงสาวถูกคนทราบว่าเจอเรื่องแบบนี้ ผู้ใดกล้ารับประกันได้ว่าลู่ชิงชิงใช่ถูก…หรือไม่
ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวในยุคนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เด็กสาวที่หมดพรหมจรรย์ก่อนแต่งงาน ต้องถูกจับใส่กรงหมูแช่น้ำในตระกูล
ขณะที่กอดชิงชิง ลู่เซิ่งตบหน้าเด็กสาวเบาๆ ไปหลายที
ถ้าหากลมปราณภายในสามารถควบคุมได้โดยอิสระ เขายังคิดว่าตนอาจจะรวบรวมออกมาช่วยรักษาอาการบาดเจ็บในร่างคนอื่นๆ เหมือนเรื่องกำลังภายในที่เคยได้ยินมา
น่าเสียดายที่กำลังภายจากวิชากระเรียนหยกของเขาแตะต้องยังมิอาจแตะต้องได้
หลังจากตบไปหลายรอบ ลู่ชิงชิงค่อยฟื้นขึ้นมาอย่างอ่อนแรง
นางยังสะลึมสะลือ เพิ่งฟื้นตื่นจึงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
รู้สึกทั่วร่างเย็นวาบ ค่อยคิดออกว่า ตนเองถูกคนเลวเหล่านั้นทำร้าย ภายหลังถูกจับมัด
ตอนนี้สภาพผิดปกติบนร่างทำให้นางตัวสั่น หลังได้สติ ขณะที่มองลู่เซิ่ง ขอบตากลายเป็นสีแดงแล้ว…
น้ำตาคลอหน่วย พร้อมไหลออกมาทุกเวลา
“รีบๆ ใส่เสื้อผ้า! คนในตระกูลกำลังมาแล้ว”
ลู่เซิ่งเร่ง พวกลุงจ้าวสมควรใกล้มาถึงที่นี่แล้ว
ตั้งแต่เขาเข้ามา จนถึงตอนสู้กับพี่น้องดาบปีศาจ ความจริงเวลาผ่านไปแค่ช่วงสั้นๆ เพราะอย่างนี้ เวลาสงบสติอารมณ์ที่เหลือให้ลู่ชิงชิงจึงมีมากพอ
ลู่ชิงชิงสีหน้ายังสับสน แต่ก็เข้าใจอย่างรวดเร็วได้ว่าเป็นอันใด นางมิใช่คนโง่ ทราบว่าพี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร
พอได้ยินว่ายังมีความหวังแก้ไข นางก็ยันร่างอ่อนยวบขึ้นอย่างรวดเร็ว เก็บเสื้อผ้าของตนที่ถูกฉีกทิ้งไปทั่วห้องขึ้น เพียงแต่เสื้อผ้าบางส่วนเป็นเศษชิ้นส่วนไปแล้ว มิอาจสวมใส่ได้
ยามใส่เสื้อผ้าขณะที่ร่างเปลือยเปล่า นางก็ไม่มีเวลาสนใจ
ลู่เซิ่งหันหลังให้อย่างรู้ตัว
รอจนลู่ชิงชิงสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็หันหน้ามา
พอเห็นพี่ใหญ่เอาใจใส่แบบนี้ ลู่ชิงชิงก็ผ่อนลมหายใจ ใบหน้าแม้แดงอยู่บ้าง แต่ดีกว่าก่อนหน้ามากแล้ว
“พี่ใหญ่ คนเลวเหล่านั้นเล่า!”
บนใบหน้านางเผยสีหน้าเคียดแค้น
“ถูกข้าสังหารไปแล้ว”
ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“เสี่ยวปาเล่า ไม่เห็นเขาเลย”
“ไม่แน่ใจ… ข้าก็ไม่เห็นเสี่ยวปามา”
ลู่ชิงชิงตอบ อยู่ๆ ก็รู้สึกตัว พลันสงสัย งงงัน
คนจำนวนมากขนาดนั้น ยอดฝีมือตั้งหลายคน ถึงกับโดนพี่ใหญ่คนเดียวฆ่าทิ้งแล้วหรือ
นางไม่เชื่ออยู่บ้าง
ในความทรงจำของนาง ลู่เซิ่งที่แล้วมามีภาพลักษณ์เป็นคุณชายสง่างาม แม้ช่วงนี้จะเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์ แต่วรยุทธ์ของคนเหล่านั้นสูงส่ง แม้อาจารย์นางมาถึงก็ไม่แน่ว่าจะสู้ได้…
พี่ใหญ่คนเดียวไฉนจึงได้…
“อีกเดี๋ยวไปตามหาตัวเสี่ยวปา เก็บของเรียบร้อยแล้วรึ อีกสักพักบอกพวกเขาว่า ข้ากับเจ้าร่วมมือกันสังหารคนเหล่านั้น เข้าใจหรือไม่ ตอนข้ามาถึงเจ้ากำลังต่อสู้พัวพันกับลูกศิษย์พวกมันอยู่พอดี”
ลู่เซิ่งเตรียมข้ออ้างไว้
“อื้ม!”
ลู่ชิงชิงทราบผลลัพธ์ร้ายแรงของเรื่องราว ไม่ถามมาก พยักหน้าขานรับอย่างจริงจัง
แต่พอนึกถึงว่าตัวเองคงถูกพี่ชายเห็นหมดแล้ว จิตใจนางมีความรู้สึกเขินอายแปลกๆ อยู่
รู้สึกว่ายืนอยู่ตรงหน้าพี่ใหญ่เช่นนี้ เหมือนกับตนเองไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า
คิดถึงตรงนี้นางหน้าแดงอีกแล้ว ก้มหัวอำพรางใบหน้าอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งเก็บกวาดร่องรอยสิ่งของในห้องอีกเล็กน้อย เก็บเชือกที่มัดคนม้วนนั้นขึ้นมา
รอจนเก็บเสร็จ พวกลุงจ้าวในที่สุดก็มาถึงแล้ว
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนของฝูงชนเข้ามาในลานน้อยที่อยู่ใกล้เคียง
จากนั้นเป็นเสียงอุทาน
“เป็นพี่น้องดาบหักกับดาบปีศาจ!” ผู้คุ้มกันที่อายุมากหน่อยคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง
ทุกคนปั่นป่วน จากนั้นก็เงียบเชียบ
เสียงของลุงจ้าวดังขึ้นอีก
“ตามหาพวกคุณชายใหญ่กับคุณหนูรอง”
“พวกเราไม่เป็นไร!”
ลู่เซิ่งพาลู่ชิงชิงกลับมายังลานเมื่อก่อนหน้า
ลุงจ้าวใส่ชุดรัดรูปสีดำ ในมือถือดาบคู่ ยืนอยู่กลางลาน
คนคุ้มกันที่เหลือกำลังแยกกันตรวจสอบศพกับร่องรอยในสวนน้อย
“หนูเซิ่ง! ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” ลุงจ้าวสองตาผ่อนคลาย สภาวะเหี้ยมหาญบนร่างลดลงอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย กลับไปก่อนค่อยว่ากล่าวกัน”
พูดจบเขามองลู่ชิงชิงทางด้านหลัง สายตาคล้ายมีความคิดใด การอำพรางของคนทั้งสองแม้ปิดบังคนทั่วไปได้ แต่ปิดบังจอมยุทธ์เก่าอย่างเขาไม่ได้
ลู่เซิ่งพยักหน้า ทราบว่าในคฤหาสน์มีคนรายงานที่ว่าการไปแล้ว ทั้งสองคนพาลู่ชิงชิงกับเหล่าผู้คุ้มกันออกไปขึ้นรถม้าคันหนึ่ง
ทั้งสามคนนั่งรถ คนที่เหลือบ้างขี่ม้าบ้างวิ่ง กลับทางเดิมอย่างรวดเร็ว
ในตัวลานเหลือคนไม่กี่คนไว้รับผิดชอบพูดคุยกับคนจากที่ว่าการเมือง
พอกลับมาถึงคฤหาสน์
จากนั้นก็ปิดประตูใหญ่อย่างแน่นหนา
ลู่เฉวียนอันกับบรรดาญาติในบ้านเช่นมารดารอง มารอที่โถงใหญ่แล้ว
หลังจากลู่ชิงชิงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ก็ถูกพาไปโถงใหญ่
ลู่เซิ่งไม่ได้ไปด้วย เขาถ่ายทอดสถานการณ์ทั้งหมดกับลุงจ้าวไปแล้วรอบหนึ่ง มีเพียงเปลี่ยนเรื่องของลู่ชิงชิง กลายเป็นตอนที่เขาไปถึง ลู่ชิงชิงยังสู้พัวพันกับศิษย์ของอีกฝ่าย
ภายหลังเขาก็อ้างว่าตนได้รับบาดเจ็บ กลับไปพักผ่อนก่อน
หมอจากห้องยาก็มาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเขาด้วย
กล้ามเนื้อหลายที่ฟกช้ำ กระดูกหักเล็กน้อย ยังมีเลือดออกภายในบ้าง กระดูกสะบักมีส่วนเคลื่อนอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งรำคาญสภาพสามโถงไต่สวนแบบนี้ ท่านหนึ่งประโยคข้าหนึ่งประโยค เรื่องง่ายๆ ต้องใช้เวลาสักพักถึงจะพูดจบ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เสี่ยวเฉี่ยวก็ช่วยเขาถอดเสื้อนอก ขึ้นเตียงพักผ่อนด้วยน้ำตาคลอเบ้า
รอหมอไปแล้ว ลู่เซิ่งรู้สึกว่าในเวลานี้ อาการบาดเจ็บบนร่างฟื้นฟูมาไม่น้อย จิตใจคึกคัก เลือดลมเต็มเปี่ยม บนร่างไม่มีร่องรอยหลังศึกใหญ่แม้แต่จุดเดียว
หลังฝึกวิชากระเรียนหยกถึงระดับสูงสุด ความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บนี้แข็งแกร่งจริงๆ
นอนหงายนอนบนเตียง ลู่เซิ่งลูบท้องที่เพิ่งดื่มน้ำแกงไก่โสมคนไปถ้วยหนึ่ง ร่างกายอบอุ่น ผ่อนคลายยิ่ง
‘ครั้งนี้ตื่นตูมไปเองแล้ว’
คิดไม่ถึงว่าเป็นน้องรองก่อเรื่องขึ้น ไม่ใช่ภูตผีปีศาจ แต่เป็นฆาตกร เป็นผู้ร้ายที่ถูกประกาศจับเมื่อหลายปีก่อน’
เขาเดิมทีกระวนกระวายใจ เป็นเพราะเขาเคยเจอเรื่องผิดปกติบนถนนเส้นนั้น
ดังนั้นทำอะไรจึงระวังเป็นพิเศษ
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับคิดไม่ถึง ไม่ใช่ภูตผี หากแต่เป็นเรื่องที่คนทำ
เขานั่งบนเตียงนึกทบทวนการประมือในวันนี้ของตนอย่างละเอียด
‘ตั้งแต่ต้นจนจบ การลงมือของเราสมควรรวบรัดได้มากกว่านี้’ ถ้าหากว่าใช้ความรู้สึกชะงักที่เกิดจากเสียงเสือคำรามจากดาบพยัคฆ์ดำของคู่ต่อสู้ ให้เกิดประโยชน์ บางทีอาจหลบเลี่ยงการปะทะตรงๆ กับสองคนนั้นได้
เขาขมวดคิ้ว เริ่มตริตรอง
‘หากเจอคู่ต่อสู้ที่พละกำลังแข็งแกร่งกว่ารับมือยากจริงๆ ในฐานะนักดาบ พละกำลังไม่สมควรเป็นข้อเสียของเรา อาจเป็นเพราะเราเจอการฝึกฝนวิชากำลังภายนอกที่เพิ่มพละกำลังส่วนหนึ่งมาแล้ว’
เขาไม่เคยทดลองวิชากำลังภายนอกที่ใช้กำลังแข็งกร้าวเหล่านั้น ไม่ทราบว่าหลังจากเครื่องมือปรับเปลี่ยนปรับเปลี่ยนพลังแล้ว ความสามารถเหล่านั้นจะมีผลแบบไหน
…
ตึกใหญ่ตระกูลลู่
ลู่ฉวียนอันนั่งบนตำแหน่งประธาน มองลู่ชิงชิงด้านล่างด้วยสีหน้าอึมครึม
ด้านข้างเขานั่งไว้ด้วยพวกมารดารองและมารดาสาม
ทั้งบ้านมาชุมนุมกันเหมือนสามโถงไต่สวน
ลู่ชิงชิงกับลุงจ้าวยืนอยู่ด้านล่าง ยังมีผู้คุ้มกันหลายคนอยู่ด้วย
“… สถานการณ์คร่าวๆ เป็นเช่นนี้” ลุงจ้าวแก้ไขฉบับที่ลู่เซิ่งบอกต่อเขา เล่าออกมาให้ผู้คนฟัง
“คนจากที่ทำการ ข้าได้ติดต่อแล้ว คดีนี้เป็นผลงานของหนูเซิ่ง ผู้ใดก็แย่งไปไม่ได้” ลุงจ้าวพูดเรื่องนี้ พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หนูเซิ่งชมชอบฝึกวรยุทธ์ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ถึงกับสังหารดาบหักกับดาบปีศาจติดต่อกัน เห็นได้ว่าพลังของเขาไม่ธรรมดาแล้ว นี่เป็นพรสวรรค์เหนือคน เฉกเช่นการสร้างภาชนะใหญ่จึงเสร็จทีหลัง!”
“กับเสี่ยวเซิ่ง ข้าพอใจและวางใจยิ่ง”
ลู่เฉวียนอันสีหน้าอ่อนโยนลงเล็กน้อย อารมณ์โกรธขึ้งในตอนแรกผ่อนคลายลงมาก เพราะมีบุตรที่ขยันเช่นลู่เซิ่ง
ตอนนี้เขาหันมามองลู่ชิงชิงอีกครั้ง
“เสี่ยวชิง เจ้าดูพี่ใหญ่เจ้า แล้วดูตัวเจ้าเอง
“นอกจากก่อเรื่องให้ตระกูล ยังก่อเรื่องให้พี่ใหญ่เจ้า เจ้ากระทำเรื่องจริงจังให้ตระกูลบ้างได้หรือไม่”
ลู่เฉวียนอันกล่าวเสียงขึงขัง
“ข้าส่งเจ้าออกไปฝึกวรยุทธ์ ไม่ใช่ให้เจ้ากลับมาวุ่นวาย!”
“ท่านพ่อ…ลูกสำนึกผิดแล้ว” ลู่ชิงชิงเสียใจเช่นกัน ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่พี่ใหญ่ไปถึงทันเวลา ชีวิตทั้งชีวิตของนางอาจจบสิ้นแล้ว
“เจ้าสำนึกผิดแล้วรึ ครั้งไหนไม่พูดแบบนี้บ้าง ผลลัพธ์เล่า เป็นแบบนี้ทุกครั้ง”
ลู่เฉวียนอันยิ่งพูดยิ่งโมโห
“ครั้งนี้รักษาอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว จะหาบ้านสามีให้เจ้า แต่งออกไปให้กำเนิดบุตรจะได้ทำให้เจ้าใจเย็นบ้าง”
“ไม่เอา!”
ลู่ชิงชิงได้ยินคำบ้านสามี พลันเหมือนแมวถูกเหยียบหาง เกือบกระโดดผลุงขึ้น
“ข้าไม่อยากแต่งงาน! ไม่อยาก! ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ภายหลังจะช่วยจัดการเรื่องในตระกูลเอง! ไม่ไปก่อเรื่อง! ท่านโปรดวางใจ!
“จริงๆ! ครั้งนี้เป็นเรื่องจริงแน่!”
ลู่เฉวียนอันไม่สนใจนาง มองหมอที่เพิ่งเข้ามา
“อาการบาดเจ็บของเสี่ยวเซิ่งเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอผู้นี้ความจริงเป็นญาติจากทางไกลของตระกูลลู่ เพียงแต่แยกกันทำงาน หลังจากตระกูลลู่รุ่งเรือง ก็เรียกพวกเขากลับมารวมตัวกัน
“ยังดี เพียงแค่ผิวหนังส่วนหนึ่งบาดเจ็บ ดูแลสิบวันครึ่งเดือนก็หายดีแล้ว”
หมอรีบตอบ
“เช่นนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นค่อยถามเขา ว่าเขาจะไปร่ำเรียนวรยุทธ์ที่เมืองเลียบคีรีหรือไม่”
ลู่เฉวียนอันพอคิดถึงตรงนี้ ในใจมีความหงุดหงิดขึ้นส่วนหนึ่ง
………………………………………….