ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 2 เครื่องมือโกง
ปลายสุดถนนร้างรุ่งเป็นย่านคนรวย
คฤหาสน์ตระกูลลู่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน เป็นหนึ่งในนี้
รถม้าควบขับสู่ปลายถนนร้างรุ่ง เข้าไปในพื้นที่ที่เหมือนสวนป่าบริเวณหนึ่ง
กำแพงหินสีขาวอมเทาห้อมล้อมบริเวณนี้ไว้กลายเป็นวงรีขนาดใหญ่
คฤหาสน์ตระกูลลู่อยู่ทางซ้ายของประตูทางเข้า
ประตูสีดำโคมไฟสีแดง กิเลนหินสองตัวตรงปากประตูมีหิมะขาวปกคลุม สะท้อนความสงบสุขของคฤหาสน์
รถม้าหยุดที่ประตูคฤหาสน์ ลู่เซิ่งลงจากรถม้า ที่ประตูคฤหาสน์มีคนรับใช้ได้ยินเสียงแต่แรก ประตูค่อยๆ เปิดออก มีคนรับใช้รอต้อนรับอยู่ที่ปากประตู
แต่พอลู่เซิ่งกับเสี่ยวเฉี่ยวก้าวเข้าประตู ก็เห็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่งามสง่ายืนอยู่บนสะพานหินในคฤหาสน์ทางขวา
บุรุษองอาจสง่างาม ใบหน้าดุจหยกงาม คิ้วรูปกระบี่ ดวงตาดั่งดารา มีลักษณะนักศึกษาที่แท้จริง
สตรีอ่อนโยนนุ่มนวล ยิ้มจางๆ คิ้วตาดุจภาพวาด เอวคอดขายาว ลักษณะเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่
ความคิดของลู่เซิ่งหยุดลง พอเห็นสองคนนี้ อารมณ์จึงค่อนข้างดีขึ้น เดินเข้าไปทักทายด้วยตัวเอง
“พี่ใหญ่สวี น้องอีอี คิดถึงท่านตั้งหลายวัน ไฉนวันนี้ถึงเพิ่งมา” เขายิ้มพลางเดินขึ้นไปบนสะพานหิน
บุรุษคนนั้นหันมามองลู่เซิ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นคุณชายเซิ่งนี่เอง ก่อนหน้าข้ารับภารกิจไปตรวจสอบคดีหนึ่ง เพิ่งแล้วเสร็จ จึงมาหาอีอี นี่อย่าได้โทษข้า คำสั่งของเบื้องบนผู้ใดก็ขัดไม่ได้”
“คดี? ไม่นานมานี้ในเมืองมีคดีใหญ่อันใด ต้องให้พี่ใหญ่สวีเคลื่อนไหวด้วยตัวเองหรือ” ลู่เซิ่งทราบว่าตำแหน่งของสวีเต้าหราน พี่ใหญ่สวีผู้นี้
เป็นรองนายอำเภอของอำเภอถงจื้อที่อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองเก้าประสาน รับหน้าที่วางแผน ดูแลความปลอดภัยทุกอย่าง
ตำแหน่งรองนายอำเภออยู่ต่ำกว่าตำแหน่งนายอำเภอเท่านั้น เทียบได้ว่าเป็นหัวหน้าผู้ดูแลความปลอดภัยแห่งอำเภอถงจื้อ
“เป็นคดีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ สองสามแห่ง แต่ตอนนี้จบลงแล้ว” สวีเต้าหรานเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “กลับเป็นเสี่ยวเซิ่ง เจ้าคิดจะมาช่วยพี่ตอนไหน ก่อนหน้านี้เจ้ารับปากว่าจะช่วยข้าดูแลการวางแผนรักษาความปลอดภัยทางถงจื้อนี่”
ลู่เซิ่งมีหรือจะจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ร่างนี้ตอบรับอะไรไว้ รีบหัวเราะฮ่าๆ กลบเกลื่อนไป แล้วเปลี่ยนแปลงหัวข้อสนทนา
“หมู่บ้านชาวประมง หรือว่าเป็นข่าวลือที่ผีน้ำอาละวาดอะไรนั่น”
“มีผีน้ำที่ไหนกัน เป็นคนบ้าคนหนึ่งอาละวาดเพราะความแค้น วิปลาสโดยสิ้นเชิง ทำร้ายคนไปทั่ว ถูกข้าสังหารไปแล้ว” สวีเต้าหรานส่ายหน้าเอ่ยเรียบๆ “คดีจบแล้ว ไม่กล่าวถึงเรื่องน่าเบื่อเหล่านี้แล้ว เสี่ยวเซิ่งเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าครั้งก่อนข้ารับปากอะไรอีอีไว้”
“ไปจุดธูป ไหว้พระวัดบัวแดง ถือโอกาสเดินเล่นใช่หรือไม่”
ลู่เซิ่งยิ้มตอบอย่างรวดเร็ว
“เรื่องไม่จริงจังเหล่านี้เจ้ากลับจำได้แม่น” สวีเต้าหรานเอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้าเองก็โตขึ้นมากไม่เด็กอีกแล้ว ปีนี้อายุสิบเก้าแล้วกระมัง สมควรหางานทำได้แล้ว คงใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ใช่ไหมเล่า”
เขาเป็นคนที่เฝ้ามองดูลู่เซิ่งเติบโต เป็นเพราะความสัมพันธ์ของคนรุ่นก่อนในสองตระกูล เขามองลู่เซิ่งเป็นน้องชายของตัวเองมาโดยตลอด
ตอนนี้จึงอดเอ่ยปากแนะนำไม่ได้
ลู่เซิ่งส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่สวีท่านต้องการให้ข้ารับราชการหรือทำมาค้าขาย”
“ย่อมเป็นรับราชการ นี่เป็นความปรารถนาของบิดาเจ้าเช่นกัน น้าของเจ้าและลุงใหญ่ของเจ้า พวกเขาต่างหวังว่าเจ้าจะออกไปช่วยพวกเขาโดยเร็วที่สุด
“ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นบุตรคนโตของตระกูลลู่”
สวีเต้าหรานเกลี้ยกล่อม
“เรื่องนี้ไม่พูดถึง ไม่รีบๆ ข้ายังอายุน้อย ไหนเลยจะมีเหตุผลให้รีบผลักบุตรคนโตของตัวเองไปข้างนอกเช่นนี้”
ลู่เซิ่งไม่สนใจ กล่าวกลอกกลิ้งเรื่อยเปื่อย
สวีเต้าหรานกับลู่อีอีต่างไร้คำพูด ไม่โน้มน้าวเขาอีก
ลู่เซิ่งไม่คิดเข้าสู่หัวข้อรับราชการ จึงเปลี่ยนหัวข้อเอง พาเสี่ยวเฉี่ยวไปยังห้องของตัวเอง
พอกลับไปถึงห้อง เขาเปลี่ยนเสื้อ ไม่ได้ไปพบบิดาเฒ่า แต่ว่าถือหินไข่ห่านก้อนนั้น ไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังเพียงคนเดียว
สวีเต้าหรานมาจากตระกูลสวี เหมือนกับตระกูลลู่ เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งเมืองเก้าประสาน ตระกูลแตกกิ่งก้านสาขา ต่างมีคนรับราชการตำแหน่งต่างๆ ในเมือง
ลู่เซิ่งมีความรู้สึกไม่เลวต่อสวีเต้าหราน คนผู้นี้เป็นคนสัตย์ซื่อ ไร้เลศนัย ชมชอบอีอีจริงๆ
และยังสนิทสนมกับลู่เซิ่งเหมือนเป็นพี่ใหญ่
ลู่เซิ่งบีบหินไข่ห่าน พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้เห็นก่อนหน้าอีกครั้ง ยังมีการตายของผีน้ำที่ถูกฆ่าตนนั้นซึ่งบังเอิญได้ยินที่ประตูเมือง
‘โลกใบนี้ตกลงมีภูตผีหรือไม่ มีเซียนหรือไม่…’
เขามองสวนดอกไม้ที่มีหิมะโปรยปราย จิตใจมีความหงุดหงิดที่บอกไม่ถูก
‘บางทีอาจเหมือนที่พี่ใหญ่สวีพูด เป็นแค่เรื่องเล่าเข้าใจผิด’
เขาส่ายหน้า สุดท้ายในจิตใจเหลือเพียงความรู้สึกโชคดี
พลบค่ำ เขาก็กลับถึงห้องอาบน้ำเข้านอนแต่หัววันแล้ว
เรื่องราวในวันนี้ทำให้เขาสับสนมึนงงไปชั่วขณะ ในใจคิดถึงเรื่องราวมากมาย และคนก็เหน็ดเหนื่อยอย่างรวดเร็ว
เขานอนหลับถึงยามเช้าของวันที่สอง ฟ้าเริ่มสว่างรางๆ
ตึงๆๆๆ!
เสียงเคาะประตูเร่งร้อนดังมา
ลู่เซิ่งลืมตา ผุดลุกขึ้นบนเตียง มองไปนอกประตู
“ใคร!”
“คุณชายแย่แล้ว!” เป็นเสียงของเสี่ยวเฉี่ยว
ลู่เซิ่งรีบลงจากเตียงไปเปิดประตู พอเปิดประตูก็เห็นเสี่ยวเฉี่ยวสีหน้าซีดขาวจนน่าตกใจ ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย
ใบหน้าจ้ำม่ำอยู่บ้างของดรุณีน้อยผู้นี้ ตอนนี้กำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง
“สวี…สวี…สวี…”
พอลู่เซิ่งเห็น จิตใจบังเกิดความรู้สึกอัปมงคลขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่อยๆ หายใจก่อน!”
เขายื่นมือออกไปตบหลังเสี่่ยวเฉี่ยว
ลมหายใจของเสี่ยวเฉี่ยวถึงได้ปลอดโปร่งขึ้น
กล่าวเสียงสะอื้นว่า
“ตระกูลสวี…คนตระกูลสวี จบสิ้นแล้ว!”
ลู่เซิ่งงุนงง
เสี่ยวเฉี่ยวสวมชุดคลุมให้ลู่เซิ่งอย่างรวดเร็ว คนทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งออกไปด้านนอกคฤหาสน์
ประมุขตระกูลลู่ ลู่ฟ่างยืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าอึมครึมและสั่นเทาน้อยๆ อยู่นอกคฤหาสน์ตระกูล
มีรถม้าคันใหญ่ขนาดสองที่นั่งสีดำจอดอยู่สามคัน
ลู่เซิ่งพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นในคฤหาสน์คำนับลู่ฟางอย่างรวดเร็ว แล้วทุกคนก็พากันไปขึ้นรถม้า
ลู่ฟ่างกับลู่เซิ่งนั่งไปด้วยกัน สองพ่อลูกมองหน้ากันไม่พูดไม่จา ภายในรถไม่มีผู้ใดเอ่ยถ้อยคำ
ลู่ฟ่างอายุหกสิบกว่าๆ ไว้เคราขาว รูปร่างผอม ใบหน้าหล่อเหลา ดูเหมือนนักปราชญ์มากกว่า ไม่เหมือนกับพ่อค้า
ม้าเทียมรถม้าไม่หยุดฝีเท้า ไม่ทันไรก็ถึงด้านนอกประตูเมืองเก้าประสาน
ลู่เซิ่งเพิ่งลงจากรถ ก็ถูกฉากตรงหน้าสะกดเอาไว้
พื้นหิมะทางซ้ายของเส้นทางรถม้าด้านนอกประตูเมือง ยามนี้มีศพหลายสิบศพนอนอยู่อย่างเป็นระเบียบ
ตั้งแต่ชราถึงทารก ตั้งแต่บุรุษถึงสตรี
ถึงกับเป็นคนตระกูลสวีทั้งหมด!
พวกเขาสวมชุดคลุมที่ตระกูลสวีกำหนด สวีเต้าหรานนอนอยู่ระหว่างแถวที่สาม
เขามีสีหน้าเขียวคล้ำ ทั่วร่างแข็งทื่อ สองตาปิดแน่น สีหน้าปรากฏความเกรงกลัวเหลือประมาณ เหมือนพบเห็นเรื่องที่น่ากลัวถึงขีดสุดเรื่องหนึ่ง
ลู่เซิ่งมองมือปราบของทางการรักษาความเป็นระเบียบรอบๆ เห็นลู่ฟางบิดาของตนยืนอยู่ด้านหน้าศพชราศพหนึ่ง ไม่เปล่งวาจา กำหมัดแน่น
ยังมีขุนนางข้าหลวงที่มาเพราะได้รับข่าว
สีหน้านั้นซีดขาวเหมือนหิมะรอบๆ
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง ค่อยๆ เดินไปถึงข้างมือปราบคนหนึ่ง
“ตายอย่างไร”
มือปราบผู้นั้นก็รู้จักเขา ทราบสถานะของเขาดี ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ทั้งหมดถูกตะไคร่น้ำแขวนไว้บนคานห้องในคฤหาสน์ของตระกูล ไม่ทราบเป็นตะไคร่น้ำจากที่ไหน…”
“อีอี! อีอี!”
ทันใดนั้นด้านหลังแว่วเสียงร้องตกใจดังมา ญาติผู้น้องอีอีหมดสติไปแล้ว
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกคำหนึ่ง คิดถึงคำพูดที่สวีเต้าหรานเพิ่งพูดกับเขาเมื่อวาน
เขาเพิ่งจบคดีที่หมู่บ้านชาวประมงกลับมา…
หมู่บ้านชาวประมง…
ผีน้ำ…
หินไข่ห่านประหลาดก้อนนั้น…
ชั่วขณะนี้ลู่เซิ่งคิดถึงเรื่องมากมาย
ความจริงเขามาถึงโลกนี้ได้ไม่กี่วัน ไม่มีความสัมพันธ์กับสวีเต้าหรานล้ำลึกนัก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมีแค่ความเสียดายและความสับสน ไม่มีความโศกเศร้าอย่างที่คนอื่นคาดเดา
เขาไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนตาย
แต่ไม่เคยเห็นคนตายมากขนาดนี้
“นักพรตชื่อหลิ่งของตระกูลสวีเล่า”
เขาได้ยินลู่ฟ่างถามหัวหน้ามือปราบ
“อยู่อีกด้านหนึ่ง ศพแยกเป็นหลายชิ้น ส่วนหนึ่งถูกสัตว์ป่ากินไปแล้ว…” หัวหน้ามือปราบตอบเสียงเบา
ทั้งลานต่างเงียบงัน
ไม่ว่าคนของตระกูลลู่หรือขุนนางข้าหลวง ยังมีชาวบ้านที่มุงดูตรงประตูเมืองด้วย
“นักพรตชื่อหลิ่งใช้กระบี่เร็ว ยังแกร่งกว่าอาจ้าวขั้นหนึ่ง…” ลู่ฟ่างเสียงค่อยๆ เบาลง
อาจ้าวเป็นครูสอนวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งตระกูลลู่เชิญตัวมา
นักพรตชื่อหลิ่งที่แข็งแกร่งกว่าอาจ้าว ถึงกับตายแล้ว
คดีนี้ไม่ใช่คดีสังหารโหดธรรมดาแล้ว แต่เป็นคดีใหญ่ที่มากพอจะสะเทือนขวัญทุกคนรอบๆ!
คนที่อยู่รอบๆ มีกี่คนกล้าพูดว่าตนแข็งแกร่งกว่าตระกูลสวี
รวมถึงพวกขุนนางข้าหลวง ทุกคนต่างไม่กล้าพูดแบบนี้
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่ข้างถนน เดิมทีเขาคิดว่าโลกนี้ปลอดภัยยิ่ง แต่ก็เป็นแค่เพียงรูปแบบหนึ่งของประเทศจีนยุคโบราณเท่านั้น
มีเรื่องประหลาดเล็กน้อยบางอย่าง ก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่อะไร
แต่ตอนนี้ดูเหมือน…
เขาลูบหินไข่ห่านในแขนเสื้อ
ตอนนี้หินไข่ห่านนั้นกำลังลวกร้อนจนน่าตกใจ
เขาหยิบมันออกมา ลังเลเล็กน้อย แต่ยังคงเขวี้ยงมันทิ้งไป
สิ่งนี้อาจนำเภทภัยมาสู่ตัว
เหมือนกับตระกูลสวีซึ่งมีรากฐานแข็งแกร่งเท่าตระกูลลู่ แต่กลับถูกล้างตระกูลในคืนเดียว
นี่ทำให้ลู่เซิ่งร้อนใจถึงขีดสุด
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย พลันเดินไปข้างหินไข่ห่านแล้ว ก้มลงเก็บมันขึ้นมา
ฟุ่บ
ไม่รู้ว่านิ้วชี้ของเขาถูกหญ้าที่แทงออกมาจากพื้นหิมะบาดใส่ตอนไหน
หญ้าเป็นหญ้าใบดาบชนิดพิเศษ ขอบใบคมกริบเหมือนกับคมดาบ
จู่ๆ นิ้วลู่เซิ่งนิ้วถูกบาด หยดเลือดหลายหยดตกลงบนผิวหินไข่ห่าน
“คุณชาย?” เสี่ยวเฉี่ยวตามติดด้านหลังเขา เป็นกังวลอยู่บ้าง ใบหน้าเล็กๆ ของนางร้องไห้กระซิกๆ เห็นชัดว่าการตายของสวีเต้าหรานส่งผลกระทบต่อนางเช่นกัน
ลู่เซิ่งตัวแข็งอยู่กับที่
ในห้วงสมองของเขาพลันมีคำพูดที่พิเศษถึงขีดสุดโผล่มา
‘ยินดีต้อนรับสู่การใช้โปรแกรมโกงความสามารถดีปบลู’
สองตาของลู่เซิ่งพลันแข็งค้างแล้ว
ครู่ต่อมาถึงได้สติ
เขามองกรอบกึ่งโปร่งแสงสีน้ำเงินที่ลอยอยู่ตรงหน้า ด้านในถึงกับเป็นชื่อของเขาและความสามารถที่ครอบครอง
‘นี่ไม่ใช่…โปรแกรมโกงที่เราเขียนขึ้นในโทรศัพท์หรอกเหรอ!’
ลู่เซิ่งคิดว่าตนจะเป็นบ้าแล้ว เกิดภาพหลอนต่อเนื่องติดต่อกัน
เกิดใหม่ทะลุมิติกลายเป็นคุณชายบ้านรวยไร้เรี่ยวแรงฆ่าไก่ก็ช่างเถอะ
ตอนนี้ถึงกับเห็นภาพหลอน สารพัดแบบ!
ในชาติก่อน ตอนอยู่เบื่อๆ ก็เล่นเกมตำนานเหล่าวีรบุรุษกระบี่คลั่ง เป็นเพราะเกมยากเกินไป เขาจึงเขียนโปรแกรมโกงที่ใช้เปลี่ยนแปลงวรยุทธ์ในเกมอย่างง่ายๆ ขึ้น
ตั้งชื่อว่าโปรแกรมโกงดีปบลู จะว่าไปเสียงเมื่อครู่ก็เป็นเขาใช้เครื่องมือเปลี่ยนเสียงบันทึกไว้ด้วยตัวเอง
คิดไม่ถึง…
จากนั้นลู่เซิ่งก็สังเกตอินเตอร์เฟซในกรอบสี่เหลี่ยมอย่างแน่วแน่
อินเตอร์เฟซเรียบง่ายสุดขีด มีแค่ตารางเล็กๆ หลายตารางถี่ยิบ
เขียนไว้ว่า:
ลู่เซิ่ง
วรยุทธ์: ไม่มี
……………………………………….