ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 21 เดินทาง (3)
“รีบขนาดนี้เลยหรือ”
ลู่เซิ่งรับห่อผ้ามา เอ่ยขึ้นเบาๆ
“เรื่องราวไม่อาจชักช้า ไปเร็วหน่อยเถอะ ผ่านไปสักพักในเมืองอาจวุ่นวาย แต่อย่าได้เป็นห่วง ข้าเตรียมทุกอย่างไว้ดีแล้ว”
ลู่เฉวียนอันเผยรอยยิ้ม บอกให้ลู่เซิ่งวางใจ
ลู่เซิ่งพยักหน้า ไม่พร่ำพิไร จัดเก็บเสื้อผ้าหลายชิ้น พาเสี่ยวเฉี่ยวไปด้วย แล้วนั่งรถม้าจากด้านข้างออกไป
ขณะที่นั่งอยู่ในรถม้า ลู่เซิ่งมองคฤหาสน์ตระกูลลู่ที่ค่อยๆ ออกห่างไปผ่านช่องว่างของรถม้า
ในใจมีความหนักอึ้งยากบรรยายอยู่
“คุณชายใหญ่ ท่านต้องการไปเมืองเลียบคีรีจริงๆ หรือ ไปไกลถึงเพียงนั้น พวกเราจะกลับมาตอนไหน”
เสี่ยวเฉี่ยวถามอย่างเป็นห่วง
ลู่เซิ่งยิ้มๆ ไม่ตอบ
รถม้าคันนี้สีดำ ไม่ได้แตกต่างจากรถม้าคันอื่นบนถนนมากนัก ดูไปแล้วยังผุเก่า
บนตัวรถไม่มีสัญลักษณ์ของตระกูลลู่เลย
ออกจากย่านกลางเมือง รถม้าควบขับไปยังประตูใหญ่ ระหว่างทางรถม้ายังถูกขบวนคุ้มกันที่กำลังลาดตระเวนรั้งถามอยู่หลายครั้ง
ลู่เซิ่งเลิกม่านรถขึ้น มองเห็นกองทัพคุ้มกันเมืองอยู่ด้านนอก แต่ละกลุ่มแยกเป็นกลุ่มย่อยมากมาย มีทหารและชาวนาที่จับกลุ่มกันชั่วคราว ลาดตระเวนไปทั่วท้องถนน
เขากวาดตามองสิ่งก่อสร้างแหลมๆ ผ่านด้านนอกหน้าต่างแห่งหนึ่ง
ตุบ
ทันใดนั้นลู่เซิ่งยกมือขึ้นแล้วเสียงดังปรบมือ
รถม้าพลันหักเลี้ยวไปทางด้านซ้าย เข้าสู่เส้นทางน้อยที่ค่อนข้างคับแคบสายหนึ่ง
ความเร็วของรถลดลงไม่น้อย แล้วหยุดลงอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งเลิกม่านรถขึ้น ฉุดเสี่ยวเฉี่ยวเดินลงจากรถไป
“พี่เซิ่ง ข้ามารอท่านอยู่นานแล้ว”
ใบหน้าอวบอ้วนของเจิ้งเสี่ยนกุ้ยโผล่ขึ้นด้านหน้าคนทั้งสอง
“เอ๋!?”
เสี่ยวเฉี่ยวพลันร้องด้วยความประหลาดใจ
“ไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่พูดคุยกัน ที่ที่ท่านต้องการ ข้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
เจิ้งเสียงกุ้ยลดเสียงกล่าว
รถม้าค่อยๆ ขับออกถนนสายน้อยนั้นอีกครั้ง
ลู่เซิ่งกับเสี่ยวเฉี่ยวเปลี่ยนรถม้าอีกคันบนถนนสายน้อยเส้นนี้ ค่อยๆ ขับออกไปนอกเมือง
ออกจากเมืองมา บนเส้นทางก่อนถึงเขาลมทมิฬไม่ไกล เป็นกองภูเขาหิน
มีป่าสีเขียวเล็กๆ แห่งหนึ่ง ด้านในยังมีเสียงน้ำไหล
รถม้าหยุดลงตรงด้านหน้าป่าเล็กๆ แห่งนี้
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยลงรถก่อน แล้วมองซ้ายมองขวา
“ที่นี่เอง ก่อนหน้านี้ตอนข้ายังเป็นเด็ก ข้าจ่ายเงินสร้างฐานที่มั่นลับไว้แห่งหนึ่ง มอบให้ท่านใช้ไปก่อนชั่วคราว”
ลู่เซิ่งพาเสี่ยวเฉี่ยวลงจากรถ
“ขอบคุณมากเจ้าอ้วน”
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน พูดเรื่องเหล่านี้ทำไม”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกล่าวอย่างจริงจัง
“รอบบริเวณนี้ มีหลายที่ที่ไม่มีคนอยู่ ที่ที่อยู่ใกล้สุดเป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งของตระกูลเจิ้งข้า ข้าจัดการไว้แล้ว ทุกๆ วันจะส่งอาหารส่วนหนึ่งมาที่ป่าแห่งนี้ วางไว้บริเวณด้านนอกลานบ้าน พวกท่านต้องไปหยิบเอาเอง”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยพูดอีก
“พวกท่านต้องระวังหน่อย ที่นี่อยู่ห่างจากเขาลมทมิฬไม่ไกล ถึงแม้ว่าจะมีกองทัพดูแลเส้นทาง ไม่มีปัญหาใหญ่ แต่บางครั้งอาจมีหมาป่าหรือแมวภูเขาแอบเข้ามา”
“วางใจเถอะ หากมีข่าวในเมือง เจ้าจำไว้ด้วยว่าให้แจ้งข้าทุกเวลา หรือจะแจ้งมาพร้อมอาหารก็ได้”
ลู่เซิ่งกำชับ
“ได้”
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในป่าน้อย หลังจากเดินลึกเข้าไปหลายสิบเมตร ก็เห็นลำธารเล็กๆ เหมือนแถบเงินสายหนึ่ง ไหลลงมาตามหน้าผาของภูเขาหิน
ธารน้อยมีสายน้ำงดงามที่กระจ่างเห็นก้นสายหนึ่ง อยูท่ามกลางพุ่มไม้และป่าหิน
ในป่ามีเสียงนกหลายชนิดอาศัยอยู บนต้นไม้ บนผืนหญ้า แทบไม่เห็นร่องรอยกิจกรรมของมนุษย์เลย
ลู่เซิ่งข้ามธารน้อยไป ก็เป็นส่วนลึกที่ติดหน้าผา ตรงนั้นมีบ้านไม้ขนาดเล็กงดงามหลังหนึ่ง
ตัวบ้านทำจากไม้สีขาวทีละชิ้น เป็นบ้านไม้สีขาวที่เปลือกนอกเรียบง่ายเหมือนกับตัวไม้
ข้างบ้านหลังน้อยยังมีสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“ข้าส่งพวกท่านถึงที่นี่แล้ว”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกล่าวเบาๆ
เขายังพาคนคุ้มกันติดตามมาด้วยสองคน เป็นพวกที่เขาชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก มีความซื่อสัตย์ ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะแพร่งพรายอะไรออกไป
“ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปทำงานต่อเถอะ”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยรีบพาคนจากไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งเริ่มบอกให้เสี่ยวเฉี่ยวเก็บกวาดบ้านไม้หลังน้อย
ในบ้านไม้ มีอารหารพวกธัญพืชและเนื้อแห้ง นอกจากนี้ยังมีผัก ผลไม้สดใหม่ วางไว้ส่วนหนึ่ง แสดงว่าเป็นสิ่งที่เพิ่งนำมา
“คุณชาย พวกเราจะอยู่ที่ต่อไปใช่หรือไม่ ไม่ไปเมืองเลียบคีรีแล้วหรอ”
เสี่ยวเฉี่ยวถึงตอนนี้ยังมีความสงสัยอยู่บ้าง
“ไปสิ ยังต้องไป แต่ว่านั่นต้องเป็นในภายหลัง ตอนนี้อยู่ที่นี่ชั่วคราว”
ลู่เซิ่งตอบสองสามประโยค
ทั้งสองคนช่วยกันจัดเก็บห้องจนถึงตอนเย็น ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว
เสี่ยวเฉี่ยวจุดตะเกียงน้ำมัน
แสงตะเกียงสีเหลืองมัวซัว ดูโดดเดี่ยวและสลัวในห้องที่ทำจากไม้สีดำ
ลู่เซิ่งยืนอยู่ในตัวลานบ้าน เงยหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าอึมครึมมืดมิด ดวงจันทร์กับดวงดาวถูกบดบัง มองไม่เห็นแสงแม้แต่น้อย
แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันที่อยู่ในบ้านส่องแสงสีเหลืองสายหนึ่งออกมาสู่ลานบ้าน
ตัวลานบ้านกลายเป็นสถานที่ที่สว่างที่สุดในป่านี้
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ในลานบ้าน มองผ่านรั้วลูกกรงไม้ออกไปด้านนอก
ในป่าที่มืดสนิท มีเสียงปริศนาดังขึ้น เหมือนมีสิ่งใดเคลื่อนไหวไปมาตลอดเวลา แวบเดียวก็หายไป
ลู่เซิ่งพลิกมือกำดาบที่แขวนอยู่ข้างเอว
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยต้องการจัดหาคนคุ้มกันมาให้เขา แต่ถูกเขาปฏิเสธไปแล้ว
เรื่องที่เขาอยู่ที่นี่ คนที่ทราบยิ่งน้อยยิ่งดี
มองไปที่ป่าด้านนอกตัวลานบ้าน มืดจนยื่นมือออกไปก็ไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ลู่เซิ่งหมุนตัวไปปิดประตูและหน้าต่างบ้าน
หน้าต่างมีสองชั้น ด้านในเป็นกระดาษกาว ด้านนอกยังมีหน้าต่างไม้ที่หนาอีกชั้นหนึ่งเป็นเครื่องป้องกัน
ลู่เซิ่งปิดหน้าต่างไม้ชั้นนอก มีแสงสว่างเฉพาะด้านใน ซึ่งมองเห็นได้จากรอยแยกแต่ละร่อง
เขาผลักประตูเข้าไปในบ้าน
เสี่ยวเฉี่ยวกำลังปูเตียงอยู่
ในห้องมีเตียงเดียว ปูแผ่นไม้กับหญ้าฟางไว้ไม่น้อย จากนั้นค่อยปูเสื่อและผ้าฝ้ายไว้ด้านบน
“คุณชาย…”
เสี่ยวเฉี่ยวน้ำตาคลอเบ้า แก้มแดงเรื่อ
“ถ้าท่านต้องการพักผ่อน ก็ให้เสี่ยวเฉี่ยวเป็นเพื่อนอุ่นเตียงเถอะ”
ลู่เซิ่งหมดคำจะพูด “ด้านหลังยังมีเตียงเล็กอยู่ เจ้าก็ไปพักผ่อนเอง”
เสี่ยวเฉี่ยวดูไปไม่ต่างจากเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปี ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนก่ออาชญากรรมอย่างหนึ่ง
“ได้เจ้าค่ะ…” เสี่ยวเฉี่ยวพลันเขินอายแทบตาย
ชานเมืองที่เปลี่ยวร้างในป่า กลับมีแค่นางกับคุณชายอยู่ด้วยกันสองคน ทั้งยังอยู่ในบ้านไม้หลังเล็กๆ เช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้วนหลบอีกฝ่ายไม่ได้
หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ ก็ปกติยิ่ง
น่าเสียดายคุณชายยังไม่มีความคิดเช่นนั้น
หลังจากต่างฝ่ายต่างแยกกันไปอาบน้ำ ภายใต้การเร่งรัดของลู่เซิ่ง เสี่ยวเฉี่ยวก็เข้านอนก่อน
เตียงเล็กที่ว่าความจริงอยู่ภายในบ้านไม้ มีแผ่นไม้กั้นขวางอีกชั้นหนึ่ง ระหว่างเตียงใหญ่กับเตียงเล็กกั้นด้วยกำแพงไม้ที่หยาบเท่าฝ่ามือ ตรงกลางอาศัยม่านผ้า ขวางทางเชื่อมที่เป็นประตูน้อยบานหนึ่ง
หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ ก็เกิดขึ้นได้เพียงชั่วขณะใช้ความคิดเท่านั้น
แต่ความคิดของลู่เซิ่งในตอนนี้กลับไม่ได้อยู่ด้านนั้น
เขาหลับแต่เนิ่นๆ หลังจากรวบรวมสมาธิฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาตพักหนึ่ง
เช้าวันที่สอง เสี่ยวเฉี่ยวออกไปเอากล่องอาหารที่ประตูลานบ้าน
พอกินอาหารเช้าเสร็จ ลู่เซิ่งก็ไปฝึกฝ่ามือทำลายใจชุดหนึ่ง แล้วฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาตต่อ
ช่วงเวลาตอนเช้า นอกจากเสี่ยวเฉี่ยวจะออกมาเดินเล่นในลานบ้านเป็นบางครั้งบางคราว ที่เหลือล้วนเงียบสงบ ลู่เซิ่งใช้เวลาทั้หมดไปกับการฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาต
ตอนกลางวันหลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ฝึกวิชาดาบพยัคฆ์ดำ
ตอนกลางคืนก่อนฟ้ามืด ลู่เซิ่งมองกระดาษที่เสียบอยู่ในกล่องอาหาร ไม่มีข่าวพิเศษจริงๆ จึงหลับเร็วยิ่ง ก่อนนอนยังฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาตอีกสองชั่วโมง
วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้
ลู่เซิ่งกับเสี่ยวเฉี่ยวอยู่ในป่าน้อยอย่างนี้ครึ่งเดือน
วิชาทมิฬพิฆาตกลับยังคงไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย
ตามเหตุผลและตามการบันทึกในคัมภีร์พร้อมกับสามัญสำนึกในการเรียนวรยุทธ์ ในความเป็นจริง เวลาครึ่งเดือนหากไม่มีความรู้สึกถึงลมปราณ คนทั่วไปล้วนยอมแพ้
ถ้ากำลังภายในเหมาะกับตัวเอง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถเกิดความรู้สึกถึงลมปราณได้แล้ว
แต่ลู่เซิ่งทราบว่า วิชาทมิฬพิฆาตมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นกำลังภายในที่สาบสูญโดยไม่มีภาพโครงหลัก ตอนนั้นตวนมู่หว่านก็เคยพูดถึงเรื่องนี้
ดังนั้นเขาจึงยืนหยัดมานานขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่ายังไร้ความคืบหน้า
ในตอนที่ลู่เซิ่งกำลังจะยอมแพ้
ความรู้สึกถึงลมปราณที่แปลกประหลาดสายหนึ่ง ในที่สุดก็โผล่ขึ้นตอนฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาตครั้งหนึ่ง
…
ฟ้ามืดครึ้ม
ตอนเที่ยง ในอากาศมีความเย็นสายหนึ่งแทรกอยู่
ในป่าคงยังมืดสลัว เสียงนกร้องในยามปกติหายไป มีแค่บางครั้งจึงค่อยได้ยินเสียงร้องขึ้นเพียงสองสามเสียง
ลู่เซิ่งมือถือดาบยาว กำลังฝึกฝนดาบนางแอ่นถลาลมอยู่ในลานบ้าน
ความเร็วของเขาไม่สูงพอ จึงฝึกฝนเพียงความแม่นยำของกระบวนท่า
เปลือกนอกเขาคล้ายกำลังฝึกดาบ แต่ความจริงความสนใจหลักของลู่เซิ่งยังอยู่ที่วิชาทมิฬพิฆาต
ควับควับควับ!
หลังจากฟันเฉียงๆ ออกไปสามดับติดต่อกัน ลู่เซิ่งก็เก็บดาบ กำลังเตรียมจะทำเหมือนวันวาน เก็บของเข้าบ้านกินอาหาร
คิดไม่ถึงดาบสุดท้ายที่เพิ่งลงมือ
มีกระแสลมปราณที่ร้อนลวกสายหนึ่งเหมือนกับเส้นด้าย ปรากฏขึ้นที่ไตทั้งสองข้างแล้วหายไป
การเคลื่อนไหวของลู่เซิ่งหยุดลง ตั้งใจสัมผัสอย่างละเอียด
เขาค่อยๆ ทบทวนเส้นทางการโคจรวิชาทมิฬพิฆาต
ทันใดนั้นความรู้สึกร้อนลวกนั้นโผล่แวบขึ้นมาอีกครั้ง ตำแหน่งยังคงเป็นไตทั้งสองข้างของเขา
‘นี่เป็น… ความรู้สึกถึงปราณ!’
ลู่เซิ่งจิตใจลิงโลด
ลำบากฝึกฝนมาหลายวัน จนเขาชักสงสัยว่าวิชาทมิฬพิฆาตที่ตัวเองได้มา สุดท้ายเป็นวิชากำลังภายในของจริงหรือไม่
คิดไม่ถึงเมื่อความขมหมดไปความหวานก็โผล่มา ครั้งนี้ปราณภายในถูกกระตุ้น ในที่สุดก็ทำให้ความกังวลในใจของเขาหายไป
‘อาศัยจังหวะความรู้สึกถึงลมปราณยังอยู่ รีบยกระดับ!’
ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบตีเหล็กตอนยังร้อน
‘ดีปบลู’
เขานึกในใจ
กรอบเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูโผล่ขึ้นมาด้านหน้าเขา
กดปุ่มปรับเปลี่ยน กรอบพลันกะพริบ
ครั้งนี้กรอบแตกต่างจากก่อนหน้าจริงๆ รอบนี้มีคำว่าวิชาทมิฬพิฆาตโผล่ขึ้นด้านล่างสุดของวรยุทธ์
‘วิชาทมิฬพิฆาต: ยังไม่เริ่มต้น’
ถึงแม้เป็นตัวหนังสือสั้นๆ ไม่กี่คำ แต่ว่าพอลู่เซิ่งเห็น ความยินดีในใจก็แทบสะกดไว้ไม่อยู่
ขณะที่เขาแทบไม่เจอวิธียกระดับฝีมือที่ดีกว่านี้ วิชาทมิฬพิฆาตแทบเป็นความหวังหนึ่งเดียวของเขา
ไม่อย่างนั้นเขาไม่ทราบจริงๆ ว่า สมควรจะเผชิญความผิดปกติกับการคุกคามที่ไม่รู้จักในโลกภายนอกอย่างไร
‘ปรับเปลี่ยนวิชาทมิฬพิฆาต เพิ่มหนึ่งระดับ’
ความคิดของลู่เซิ่งเพิ่งส่งออกไป
สถานะของวิชาทมิฬพิฆาต จากระดับยังไม่เริ่มต้น พลันเด้งขึ้นมา กลายเป็นสถานะระดับเบื้องต้น
ตูม!
เกือบจะเป็นในเวลาเดียวกัน ลู่เซิ่งพบว่าในพริบตาที่สถานะเปลี่ยนแปลง อวัยวะภายใน ในร่างของเขาร้อนขึ้นมาก
ไอร้อนขนาดมหึมาสายหนึ่งอยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในร่าง เริ่มเลื้อยไหลไปตามเส้นลมปราณหลายสิบเส้นอย่างรุนแรง
ไอร้อนที่ร้อนแรง เหมือนกับเปลวเพลิงสายหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในร่างของลู่เซิ่ง
เขายืนอยู่ที่เดิม สีหน้าแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผิวทั่วร่างแดงตามขึ้นมา เหมือนเปลือกกุ้งที่ถูกต้มจนสุก
เหงื่อไหลออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็กลายเป็นควันขาวๆ ค่อยๆ ระเหยไป
………………………………………….