ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 211 สนธยา (1)
บทที่ 211 สนธยา (1)
ผู้นำมีนิยามว่าอย่างไร ลู่เซิ่งได้เห็นหลังจากสนทนากับเหอเซียงจื่อไม่นาน
นั่นเป็นผู้นำของสำนักเหลืองโดดเดี่ยว มาขอยืมหนังสือ ขณะเดียวกันก็นับเป็นการติดต่อกันฉันท์มิตร
หอเก็บหนังสือ หอหลักชั้นหนึ่ง
ลู่เซิ่งสวมอาภรณ์สีดำเหมือนปกติ นั่งอยู่ที่โต๊ะในซอกหลืบ มองดูคนหนุ่มอาภรณ์เหลืองสามคนเดินเอื่อยๆ เข้ามาจากนอกประตู
“อ้อ ที่นี่ยังมีคนอยู่หรือ” คนหนุ่มหล่อเหลาที่เป็นผู้นำกวาดตามองลู่เซิ่งที่อยู่ตรงมุมอย่างประหลาดใจ พึมพำเบาๆ
บุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเขา สะกิดเขาเอาไว้ บุ้ยใบ้ว่าให้ตนเองพูด
จากนั้นบุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ก้าวขึ้นหน้ามา ประสานมือคารวะลู่เซิ่งแต่ไกล นับว่าเป็นการทักทาย ลู่เซิ่งพยักหน้าตอบรับ
“ข้าหมิงปอ เป็นผู้นำสำนักเหลืองโดดเดี่ยวมาขอยืมหนังสือที่สำนักของท่าน ถ้ารบกวนตรงไหนก็ขออภัยด้วย” บุรุษหนุ่มหน้าตาธรมดา หากว่าบุคลิกเอาจริงเอาจัง น้ำเสียงหนักแน่นมีพลัง ไม่มีพิรี้พิไร เหมือนกับทองและศิลากระทบกัน ให้ความรู้สึกแน่วแน่
“ไม่เป็นไร ตามสบาย” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ในพวกเขาทั้งสามมีคนหนึ่งเป็นหญิงสาว ดูอายุน้อยยิ่ง เดินอยู่ด้านหลังสุดพลางมองลู่เซิ่งอย่างสนใจ จากนั้นก็หาข้อมูลบนชั้นหนังสือกับพวกศิษย์พี่
ลู่เซิ่งละสายตากลับมาอ่านหนังสือต่อ ไม่สนใจสามคนนี้ ที่เดินไปเดินมา
ผ่านไปสักพัก ทั้งสามจึงค่อยเจอหนังสือที่ตนเองต้องการ หาที่นั่งนั่งลงอ่าน หญิงสาวนางนั้นแสดงสีหน้ารังเกียจเพราะราบนหนังสือตลอดเวลา ทว่าอย่างน้อยก็รักษาความเงียบ ไม่ได้ส่งเสียง
อ่านความรู้ทั่วไปที่รอบนี้หยิบมาจนจบแล้ว ลู่เซิ่งก็ปิดหนังสือ พ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง
แสงสว่างจากนอกประตูที่สาดลอดเข้ามามืดสลัวลง ดูเหมือนจะตกดึกแล้ว
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองคนทั้งสาม พวกเขารวบรวมหนังสือเสร็จพอดี ลุกขึ้นยืน เห็นลู่เซิ่งมองมา หมิงปอผู้นำสำนักเหลืองโดดเดี่ยวยิ้มให้เขา ลุกขึ้นอย่างแผ่วเบาแล้วเก็บหนังสือไว้ที่เดิม ก่อนจะพาคนทั้งสองออกจากหอเก็บหนังสือ หายไปนอกประตูอย่างเชื่องช้า
ลู่เซิ่งมองทิศทางที่พวกเขาจากไป คล้ายนึกอะไรอยู่
‘ทั้งสามคนนี้โดยเฉพาะหมิงปอที่เป็นผู้นำนั่น…ร้ายกาจมาก… กลิ่นอายที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกับผู้ประกอบพิธีผีดิบขาวของแดนเหนือ อย่างน้อยก็เป็นยอดฝีมือระดับฉลักษณ์ ศิษย์สำนักที่สายเลือดเริ่มตกต่ำถึงกับฝึกถึงระดับนี้ได้…’
เขายืนขึ้น มองรอยเท้าบนพื้น สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
บนพื้นนอกจากรอยเท้าของตัวเอง ก็มีแค่รอยเท้าของคนสองคน ไม่มีร่องรอย รอยเท้าของหมิงปอนั่นแม้แต่น้อย
‘สำนักเหลืองโดดเดี่ยว…ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในสำนักสามขั้นกลาง…’ ลู่เซิ่งจำรายชื่อที่เคยอ่านในตอนนั้นได้
‘ผู้นำสำนักสามขั้นกลางก็มีพลังขนาดนี้แล้ว สำนักสามขั้นบนจะแข็งแกร่งถึงระดับไหน’ เขาพลันเกิดความคาดหวังเล็กน้อย
ระดับที่เขาไปถึงในตอนนี้ ยากจะเจอคู่มือในหมู่คนจากตระกูลขุนนางรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว
ถ้าคำนวณจริงๆ ซั่งหยางจิ่วหลี่ที่เพิ่งเลื่อนระดับ อาจจะสู้กับเขาได้ ยังมีอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลซั่งหยางที่ยังไม่เคยเผยโฉม คงจะสู้กับคนผู้นั้นได้เหมือนกัน
ส่วนตระกูลอื่นๆ เขายังไม่รู้
ลู่เซิ่งเดินไปถึงตำแหน่งที่ทั้งสามคนเคยอยู่ เดินไปยังชั้นหนังสือที่พวกเขาหยิบหนังสือออกมา พบว่าหนังสือที่พวกเขาหยิบออกมาเป็นข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติมาร
ภัยพิบัติมารคือมหาภัยพิบัติที่มารเติบโตแผ่ขยายจนต้านทานไม่ไหว ถ้าหากเกิดขึ้น สิ่งมีชีวิตจะลำบากยากแค้น บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน
กระนั้นในหนังสือก็ไม่ได้มีรายละเอียดการบันทึกไว้ เนื้อหาส่วนใหญ่ถูกลบออกอย่างตั้งใจ ทั้งหมดพร่าเลือน
‘ไม่รู้ว่าผู้นำนั่นมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน แต่น่าจะไม่อ่อนแอไปกว่าผีดิบขาวในตอนนั้น’ ลู่เซิ่งชั่งน้ำหนักในใจ ‘ดูเหมือนเจ้าสำนักสมควรเป็นระดับอสรพิษ เพียงแต่เป็นขั้นไหนในระดับอสรพิษก็บอกไม่ได้’
เหง่ง… หง่าง… หง่าง…
เสียงระฆังดังขึ้น
ลู่เซิ่งโบกมือข้างหนึ่ง ฝ่ามือสายหนึ่งพัดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะที่ห่างไปจนดับ แล้วสาวเท้าเดินออกจากหอเก็บหนังสือ
ช่วงนี้วิชาไร้มูลเหตุระดับแรกเกือบมั่นคงแล้ว สมควรยกระดับสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว
เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าวิชาลับพื้นฐานนี้คืออะไร ภายหลังไม่คิดจะค่อยๆ ฝึกอีก แต่เตรียมใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับในครั้งเดียว
ตอนนี้สภาพการณ์ในสำนักย่ำแย่มาก หลายวันมานี้มีคนหายไปอีกหลายคน สำนักนี้คงจะอยู่อีกนานไม่ได้ แทนที่จะไปอย่างช้าๆ ฉวยโอกาสตอนที่ใช้บึงมารได้ ยกระดับวิชาไร้มูลเหตุถึงจุดสูงสุดดีกว่า
เขาอยากจะเห็นว่าเมื่อประสานวิชาลับของสำนักกับความสามารถของตัวเองแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบไหน
…
ตระกูลซั่งหยาง
นอกหน้าต่างอาคารมีเรือที่ประดับประดาหลายลำ ค่อยๆ ลอยผ่านไป
ซั่งหยางจิ่วหลี่ผลักประตู เห็นเงาร่างสูงชะลูดที่ยืนอยู่ในห้อง พลันงุนงงเล็กน้อย
“เจ้า!?” นางขมวดคิ้วขาว “เราสนิทกันมากหรือถึงกล้าเข้ามาในห้องของข้า ถ้าเป็นคนอื่น ข้าจะฉีกมันทั้งเป็น!”
การปิดด่านระยะหนึ่งทำให้บุคลิกส่วนตัวของนางคมกล้ากว่าเดิม เทียบกับตอนอยู่ในแดนเหนือ มีความสุขุมลุ่มลึกเพิ่มมา เหมือนกับดาบฟันม้าคมกริบที่หนักอึ้งเล่มหนึ่ง
คนที่ยืนอยู่ในห้องเป็นหญิงสาว นางสวมเสื้อสีเขียวมรกต แขวนมีดสั้นสีเขียวมรกตเล่มหนึ่งไว้ที่เอว คิ้วตากระจ่าง ผมสีดำคลุมไหล่ ชวนให้ผู้คนรักเวทนา ถ้าไม่พกอาวุธ ก็ไร้อันตรายเหมือนบุตรีข้างบ้านทั่วไป
สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือ ศีรษะของสตรีมีตราสีเขียวมรกต เป็นสัญลักษณ์ที่งดงามราวดอกไม้ทรงสามเหลี่ยม
พริบตาที่ซั่งหยางจิ่วหลี่เห็นสัญลักษณ์นี้ ร่างกายก็สั่นเทิ้ม
“พวกเขา…พวกเขาเลือกเจ้าจริงๆ”
“ยังดี เพียงแค่มีคุณสมบัติเข้าถึงข้อมูลได้เท่านั้น สำหรับข้าในตอนนี้ยังเร็วเกินไปหน่อย เหตุใดท่านพี่ต้องผิดหวังเล่า” นางหัวเราะเบาๆ พร้อมเอ่ยว่า “พวกเราเป็นอนาคตของตระกูลซั่งหยาง ภายหลังข้าเป็นประมุขตระกูล ท่านพี่ก็เป็นมือวางอันดับสอง ถ้าข้าเป็นผู้ถืออาวุธ ท่านพี่ก็เป็นประมุขตระกูล พวกเราพี่น้องร่วมมือร่วมใจกัน จงหยวนมีกี่คนต้านทานได้”
“ซั่งหยางเฟย… เจ้ากับพี่ชายเจ้าแทบเหมือนกัน ตอนนั้นเขาก็กล่าววาจาจองหองแบบนี้เช่นกัน” ซั่งหยางจิ่วหลี่สูดลมหายใจหลายรอบเพื่อสงบสติอารมณ์
“ท่านพี่…เขาตายอย่างคุ้มค่า เสียสละเพื่อครอบครัว เป็นความปรารถนากับอุดมคติในชีวิตของเขา” ซั่งหยางเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ต้องการให้ตระกูลซั่งหยางอยู่ในจุดสูงสุดของเก้าตระกูลจงหยวน นี่เป็นความปรารถนา และเป็นเป้าหมายของข้าเช่นกัน”
ซั่งหยางจิ่วหลี่มองสตรีตรงหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
ซั่งหยางเฟย อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลซั่งหยาง คนที่ความเร็วในการเติบโตเทียบเคียงกับนางได้ ตั้งแต่ตระกูลซั่งหยางเคยมีมามีอยู่สองคน สองคนก่อนหน้าทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดที่เคยนำตระกูลซั่งหยาง เป็นผู้ถืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในจงหยวน!
ในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่ถือกำเนิดหลังนาง ซั่งหยางเฟยอายุสิบปีก็เลื่อนถึงระดับเบญจลักษณ์ อายุสิบห้าก็เลื่อนถึงระดับสัตตะลักษณ์ ก้าวสู่ระดับอสรพิษ อายุยี่สิบปีก็เข้าสู่สามขั้นกลาง ปัจจุบันอายุยี่สิบห้าปี…ล้ำลึกไม่อาจหยั่งคาด!
‘นางถึงขั้นได้รับการยอมรับจากพู่กันบรพตแล้ว…’ ซั่งหยางจิ่วหลี่พอเห็นตราสามเหลี่ยมบนหน้าผากของอีกฝ่าย ในใจเกิดความเหนื่อยล้า
ตรานี้เป็นสัญลักษณ์ของอาวุธเทพศัสตรามาร บ่งบอกว่าซั่งหยางเฟยเข้าถึงพู่กันบรพตอาวุธเทพประจำตระกูลซั่งหยางแล้ว
นางผู้นี้… นางผู้นี้!
ซั่งหยางจิ่วหลี่บังเกิดความผิดหวัง แต่ไม่อาจไม่ยอมรับ นางเข้าใจความน่ากลัวของสตรีตรงหน้าดี
คุณสมบัติของอีกฝ่ายเทียบกับตนได้แล้ว ระดับความพยายามยังเหนือกว่าตนอีก นางมีความทะเยอะทะยาน มีความสามารถ มีพลัง!
ไม่ว่าจะเป็นการดึงขุมกำลังในตระกูลเป็นพวก หรือการพัฒนาพลังฝึกปรือของตนเอง ซั่งหยางจิ่วหลี่รู้ว่าตนเองล้วนสู้อีกฝ่ายไม่ได้
แต่ว่าคำพูดและการกระทำของซั่งหยางเฟย เปลือกนอกอ่อนโยน แต่มักให้ความรู้สึกแข็งกร้าวในอ่อนโยน นางไม่ยอมให้คนอื่นปฏิเสธ และไม่ยอมให้อีกฝ่ายต่อต้าน สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกนอกอันอ่อนโยนน่าเวทนา เป็นความโหดเหี้ยมและความเด็ดขาด
“ว่ามา เจ้ามาหาข้าเพราะอะไร” ซั่งหยางจิ่วหลี่หยุดความคิด เอ่ยอย่างเย็นชา
“ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับท่านพี่จิ่วหลี่ที่ก้าวสู่ระดับสามขั้นบน ปรับสายเลือดจนมั่นคงสำเร็จ” ซั่งหยางเฟยกล่าวพลางยิ้มกว้าง “แล้วก็ ทางด้านผู้อาวุโสสิบสามในตระกูลตรวจสอบเรื่องราวนั้นเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ไม่ทราบท่านพี่ได้ยินมาหรือไม่”
ซั่งหยางจิ่วหลี่พยักหน้า
“ข้าได้ยินเรื่องทางผู้อาวุโสสิบสามมาแล้ว”
“เช่นนั้นก็คุยกันง่าย” ซั่งหยางเฟยยกมือขึ้น กระดาษสีขาวใบหนึ่งลอยขึ้นมาจากโต๊ะ แล้วพุ่งเข้าหาซั่งหยางจิ่วหลี่อย่างแผ่วเบา
“ดาบเก้าลำดับปรากฏ สิบหอกหยกปีศาจปรากฏ เกราะเปลี่ยนฟ้าผลุบๆ โผล่ๆ ทางเหนือ ตะวันตก และใต้ ล้วนเกิดสภาพผิดปกติ ยังมีหยกลี้ลับนั่นอีก…ช่วงนี้วุ่นวายไม่น้อยเลยเมื่อเทียบกับในอดีต”
“ดังนั้น?” ซั่งหยางจิ่วหลี่ถามเสียงเย็นชา นางทราบว่าน้องสาวผู้นี้ไม่มีทางมาหาตนเฉยๆ จะต้องมีคำขอร้องแน่ “ต่อให้วุ่นวายแต่จะเทียบกับภัยแล้งที่แคว้นเมฆาได้หรือ”
ซั่งหยางเฟยยิ้ม “อาวุธเทพศัสตรามารสามชิ้นปรากฏ กุญแจสำคัญในการตามหาพวกมันอยู่ที่หยกลี้ลับ ปัจจุบันถึงขั้นข้องเกี่ยวกับหวงซูหลิงแห่งตระกูลหวงด้วย ถ้าเป็นเวลาปกติ การปราบหวงซูหลิงสักคนไม่นับเป็นอะไร แต่ปัจจุบันผู้น้องไม่อาจปลีกตัวไปไหน ยังต้องรับมือคนอื่น จึงจัดการหวงซูหลิงผู้นี้ไม่ได้…และไม่อาจขอให้ผู้อาวุโสลงมือ ดังนั้นจึงมาขอให้ท่านพี่ช่วยเหลือ”
“หวงซูหลิงแห่งตระกูลหวง…” ซั่งหยางจิ่วหลี่จำสตรีนางนี้ได้ เป็นคนที่สู้ยากคนหนึ่ง ในฐานะหนึ่งในเก้าตระกูล หวงซูหลิงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตระกูลหวง ใกล้เคียงกับตน แต่อ่อนแอกว่าซั่งหยางเฟยไม่น้อย
“ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็มีอำนาจผู้แทนประมุขตระกูล คำพูดของเจ้ามีใครไม่กล้าฟังบ้าง” ซั่งหยางจิ่วหลี่กล่าวอย่างเย็นชา
“ถ้าทำได้ ขอให้ท่านพี่จับเป็นมนุษย์ธรมดาที่ครอบครองหยกลี้ลับผู้นั้น น้องประหลาดใจยิ่งที่เหตุใดมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งไม่ถูกอาวุธเทพจู่โจม ทั้งที่ซ่อนมันไว้นานขนาดนี้” ซั่งหยางเฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ซั่งหยางจิ่วหลี่มองรอยยิ้มของนาง รู้สึกขยะแขยง
ตอนนั้นตระกูลหลิ่วถูกทำลายที่แคว้นเมฆา ในคนที่ไปถมหินลงบ่อ ทำลายล้างตระกูลหลิ่ว มีนางซั่งหยางเฟยด้วย
ตอนนี้นางพูดว่าประหลาดใจ คาดว่าหลังจับคนผู้นั้นได้ ผลลัพธ์จากความประหลาดใจของซั่งหยางเฟย คือการถลกหนัง หั่นกระดูก เนื้อ และอวัยวะภายในมนุษย์ผู้นั้นทั้งเป็น แล้วนำมาศึกษาอย่างละเอียด
นางเคยเห็นฉากสยดสยองนั่นกับตา
“ข้าเข้าใจแล้ว”
…
สำนักมารกำเนิด
ผู้อาวุโสใหญ่นั่งในถ้ำ มองดูคนหกคนที่เหลืออยู่ตรงหน้า ในช่วงนี้มีลูกศิษย์หนีไปอีกสามคน
เขาชินชาแล้ว หรือควรบอกว่าหมดอาลัยตายอยากแล้ว
เขาจะกล้ามอบวิชาลับมารกำเนิดให้ศิษย์แบบนี้ได้อย่างไร เกิดเอาให้ เกรงว่าแค่หันหน้ากลับมาก็หนีไปเข้าร่วมสำนักอื่นแล้ว
ลอบถอนใจ เขาสอนวิชาที่เคยสอนไปเมื่อก่อนต่อ
“พูดถึงที่มาของวิชาลับ ความจริงมาจากอาวุธเทพศัสตรามารทั้งหมด พลังของอาวุธเทพศัสตรามารเรียกว่ากฎเกณฑ์ มีเครื่องมือสามเหลี่ยมพิเศษเป็นสัญลักษณ์…” ผู้อาวุโสใหญ่มองคนหกคนตรงหน้า
เฟยหวงจื่อเหม่อลอย เหอเซียงจื่อตั้งใจฟัง คนที่เหลือสัปหงก ดวงตาล่องลอย สมาธิไม่ได้อยู่ตรงนี้
จิตใจหวั่นไหว มีความคิดจากไป…
ผู้อาวุโสใหญ่ปวดใจกว่าเดิม สำนักมารกำเนิดที่เฟื่องฟูในยุครุ่งเรือง ตอนนี้กลับเหลือศิษย์แค่นี้…
กระนั้นเขาพลันสังเกตเห็นว่า นอกจากเฟยหวงจื่อและเหอเซียงจื่อ ในกลุ่มศิษย์ที่เหลือ ลู่เซิ่งที่เข้าร่วมสำนักในภายหลังคล้ายฟังอย่างจริงจังตั้งใจ นี่ทำให้เขาใจชื้นขึ้นเล็กน้อย
“… ตราสามเหลี่ยมนี้งดงามซับซ้อน บ่งบอกถึงพลังคุณสมบัติของอาวุธเทพศัสตรามารทุกเล่ม หรือก็คือพลังที่พวกเราเรียกว่ากฎเกณฑ์ วิชาลับความจริงเป็นวิธีเลียนแบบ เป็นพลังที่ตระกูลขุนนางกับเหล่าบรรพบุรุษของสำนัก ศึกษาจนได้มา กฎเกณฑ์มีอานุภาพน่ากลัวถึงขีดสุด สภาวะโจมตีใดๆ ที่ปรากฏตราอาคม นอกจากตัวตนในระดับเดียวกันแล้ว ไม่มีใครป้องกันได้ วิชาลับเป็นของเลียนแบบและของผสมของกฎเกณฑ์ แต่อานุภาพอ่อนด้อยกว่ามาก เป็นฉบับที่ปรับให้ง่ายขึ้นตามหลักวิเคราะห์ศึกษาความลึกลับที่พื้นผิวของกฎเกณฑ์” เขากำลังเล่าถึงประวัติความเป็นมาของวิชาลับสำนักมารกำเนิดตามปกติ ในฐานะศิษย์สำนักมารกำเนิดย่อมจำเป็นต้องรู้จักบูรพาจารย์ในสำนักและเรื่องราวสำคัญในสำนักทั้งหมด
……………………………………….