ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 212 สนธยา (2)
บทที่ 212 สนธยา (2)
ลู่เซิ่งนั่งฟังอยู่ด้านข้างอย่างตื่นเต้น นี่เป็นความลับแปลกใหม่สำหรับเขา เป้าหมายที่เขามาที่นี่ก็เพื่อทำความเข้าใจตระกูลขุนนางและอาวุธเทพศัสตรามาร ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่เขาอยากฟังพอดี
เพียงแต่ก่อนคาบเช้า เขาได้ยินเหอเซียงจื่อพูดกับศิษย์สตรีคนหนึ่งอยู่ไกลๆ ถามว่าทำไมถึงมีคนมาแค่ไม่กี่คน
เดิมทีก็มีคนไม่มาก ตอนนี้เหลืออยู่แค่นี้
นอกจากเขา เหอเซียงจื่อ เฟยหวงจื่อ ก็เหลือศิษย์บุรุษสองคนกับศิษย์สตรีคนหนึ่ง แต่เพราะเหลือคนแค่นี้ ศิษย์บุรุษสองคนนั้นจึงเกิดความหวั่นไหว คิดจากไปเช่นกัน
ลู่เซิ่งหยุดความคิด ฟังผู้อาวุโสใหญ่สอนต่อ ไม่ว่าพวกเขาจะไปหรือไม่ เขาก็คิดจะอยู่ต่อไป หนังสือในหอเก็บหนังสือของที่นี่มีมากมาย จะอ่านให้จบยังอีกนาน เขาไม่รีบร้อน
เมื่อคืนเขาใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับวิชาไร้มูลเหตุจนถึงระดับสาม กล้ามเนื้อมัดน้อยในร่างจำเป็นต้องปรับตัว ขณะเดียวก็จำเป็นต้องใช้การกระตุ้นเพิ่มจากหมอกพิษปราณมารในบึงมารเป็นหลัก ไม่อย่างนั้นก็เลื่อนระดับไม่ได้
หลังจากจบคาบเช้า เขาก็จะไปบึงมารอีก ดูว่าถ้ายกระดับวิชาไร้มูลเหตุถึงขีดจำกัดเท่าที่ทำได้ จะเกิดปฏิกิริยาแบบไหน
ผู้อาวุโสใหญ่สอนไปสอนมา อยู่ๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่าย
“…บ่อกำเนิดของวิชาลับมารกำเนิดมาจากศัสตรามารในอดีต และมาจากการศึกษาเรื่องมาร เอาล่ะ คาบเช้าของวันนี้จบเท่านี้ พวกเจ้ามีคำถามอะไรอยากจะถามหรือไม่” เขามองคนทั้งหกตรงหน้า
ในนี้มีแค่สองคนตั้งใจฟัง ที่เหลือมีความกังวลใจ อาจไม่อยู่ที่สำนักมารกำเนิดแล้ว
ผู้อาวุโสใหญ่หดหู่อยู่ชั่วขณะ ไม่รอมีคนตอบ เขาก็โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง
“ช่างเถอะ ทั้งหมดแยกย้ายไป”
“ทราบแล้ว” ทุกคนลุกขึ้นจากไปอย่างเชื่องช้า
เฟยหวงจื่อลุกขึ้น แล้วหมุนตัวเร่งฝีเท้าเดินออกจากถ้ำเป็นคนแรก
ลู่เซิ่งออกจากถ้ำ เห็นเฟยหวงจื่อมีใบหน้าคับข้องใจ คล้ายไม่ยอมละทิ้งอะไรบางอย่าง
นับตั้งแต่เผยธาตุแท้ในครั้งก่อน เขาก็ไม่ปิดบังอีก แสดงสันดานออกมามากกว่าเดิม ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ผิดหวังมากขึ้น ตัดความคิดที่จะถ่ายทอดวิชาลับให้โดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งเห็นเฟยหวงจื่อลงหน้าผาหิน วิ่งเข้าไปในเงามืดข้างหน้าผา เดินพล่านไปมา สีหน้าลังเล
เขาถือโอกาสตามเข้าไป ซ่อนอยู่ในซอกหลืบ สังเกตอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
ภายใต้สภาพหยินโชติช่วง ความสามารถในการเก็บกลิ่นอายของลู่เซิ่งแข็งแกร่งไม่ธรรมดา คิดจะทำให้คนระดับเฟยหวงจื่อสัมผัสตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องลำบาก
เฟยหวงจื่อเดินอยู่ในเงามืดอยู่เนิ่นนาน ค่อยหยุดฝีเท้าลง พลางมองไปยังหน้าผาหิน ในดวงตาเต็มไปด้วยความยึดมั่น
เนิ่นนานให้หลัง แววดิ้นรนในดวงตาของเขาค่อยๆ หายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความแน่วแน่อย่างหนึ่ง จากนั้นเขาก็หมุนตัวก้าวฉับๆ จากไป คล้ายไม่ลังเลอีกแล้ว
ลู่เซิ่งมองดูเขาหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าเล็กน้อย ออกมาจากหลืบหน้าผาแล้วเดินไปยังบึงมาร
ในถ้ำมืดมิดว่างเปล่า ทั้งยังเย็นยะเยือก
ลู่เซิ่งพุ่งผ่านสะพานแขวน เดินเลยหอเก็บหนังสือไป เห็นรอบๆ ไร้ผู้คน
‘จำได้ว่าซ่งจื่ออันที่พาเราเข้ามากับหน้าขาวตอนเพิ่งเข้าสำนัก ทำไมเข้าสำนักมาตั้งนานยังไม่เคยเห็นเงาเขาเลย’ ลู่เซิ่งสงสัยเล็กน้อย
แต่นึกถึงใบหน้าอันซีดขาวที่ดูลึกลับของซ่งจื่ออัน เขามีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนคนเป็น
ยังมีศิษย์พี่หน้าขาวนั่น ก็ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่นอน
ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เป็นศิษย์ในสำนัก ก็คงจะเป็นผู้ดูแลที่ไม่เคยพบ ของสำนักมารกำเนิดแล้ว…
‘แต่ผ่านไปตั้งนานยังไม่เจอพวกเขา หรือว่าพวกเขาจะออกมาเคลื่อนไหวในตอนกลางคืน หลังจากพวกเรากลับไปพักผ่อนจริงๆ’ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงกฎที่ตกดึกจะต้องกลับไปพักผ่อนในถ้ำ กฎแปลกๆ แบบนี้ต้องมีเหตุผล
ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับการที่ไม่เห็นซ่งจื่ออันกับหน้าขาว
‘ครั้งนี้หลังจากเข้าไปในบึงมาร ค่อยไปถามซ่งจื่ออันที่สุสานให้ชัดเจน’ ลู่เซิ่งลดความเร็วลงช้าๆ รอบข้างเป็นถ้ำบึงมารหลายแถว
เขากวาดตามองดู ไม่นานก็เจอบึงมารที่ตนใช้ได้
เป็นบึงมารที่กระถางทองแดงปักธูปสองดอกปรากฏขึ้นในสายตาของเขา
‘เอาบึงนี่แหละ’ ลู่เซิ่งก้าวสองสามก้าวเป็นก้าวเดียว ข้ามกระถางทองแดงเข้าไปในถ้ำอย่างผ่อนคลาย
เขาผ่อนคลายร่างกาย ให้ปราณมารทะลักเข้าไปด้านในตัวเหมือนครั้งก่อน
ถึงจะได้รับการเตือนจากเหอเซียงจื่อ รู้ว่าวิธีนี้ผิด แต่เป็นเพราะครั้งก่อนหลังจากดูดซับปราณมารไปทั่วร่าง เขาก็รู้สึกได้รางๆ ว่า ร่างกายของตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น ถึงขั้นมีความเป็นพิษจากปราณมารนี้
วิธีการดูดซับแบบนี้ แทนที่จะบอกว่าเป็นการทรมาน ควรจะบอกว่าเป็นการออกกำลังกระตุ้นเหมือนวิชาแข็งกร้าวมากกว่า
ฟู่ว…
ปราณมารสายใหญ่เข้มข้นซัดเข้าหาลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง
สำหรับพวกมันแล้ว เลือดเนื้อที่ไร้พลังสายเลือดคอยหยุดยั้ง เป็นของบำรุงที่ดีที่สุด
ปราณมารนับไม่ถ้วนก่อเกิดเป็นวังวนใหญ่กระจายไปทั่วถ้ำ หลอมรวมปราณมารอันมหาศาลเข้าไปในตัวลู่เซิ่ง
เขาโคจรปราณหยินหยางขวดสมบัติอย่างคุ้นเคย เร่งความเร็วฟื้นฟูร่างกาย
พยายามนึกถึงวิชาไร้มูลเหตุ กล้ามเนื้อมัดเล็กในตัวสั่นไหวอย่างรุนแรง ค่อยๆ ละลายภายใต้การกระตุ้นจากปราณมาร และเกิดใหม่ด้วยความเร็วสูงเพราะการหล่อเลี้ยงจากปราณขวดสมบัติ
วิชาไร้มูลเหตุระดับที่สามคล้ายมีผลระดับหนึ่งต่อปราณมาร ความเจ็บปวดที่ลู่เซิ่งรู้สึกได้อ่อนลงกว่าครั้งก่อนมาก
เขายืนนิ่งอยู่ในถ้ำเล็กกว้างสองสามหมี่ ปราณมารจำนวนมากลอยวนเวียนทั่วร่าง ชักนำปราณมารที่อื่นมาทางนี้อย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งค่อยๆ หลับตา สัมผัสได้ว่ากายเนื้อที่ตรึกตรองถึงวิชาไร้มูลเหตุจนกล้าแข็งขึ้น เริ่มอดทนได้กว่าเดิมเพราะการกระตุ้นจากปราณมาร และการเกิดใหม่ซ้ำไปซ้ำมา
‘ผลของวิชาไร้มูลเหตุคือการเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายและเสริมการพัฒนาพลังสายเลือด นี่เป็นการทำให้กล้ามเนื้อของตนเองแข็งแกร่งขึ้น เราไม่มีสายเลือดให้พัฒนา อย่างนั้นสิ่งที่มีประโยชน์กับเราเพียงหนึ่งเดียวน่าจะเป็นผลเสริมความแข็งแกร่ง’ ขณะโคจรวิชาไร้มูลเหตุ ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ว่าร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
กล้ามเนื้อมัดเล็กส่วนใหญ่บนตัวโดยเฉพาะที่แขนขา ระหว่างที่เกร็งตัวและต่อต้านกันในระดับสูง ก็เริ่มเพิ่มความเร็วในการไหลเวียนเลือดอย่างเชื่องช้าจนขยายใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะการกระตุ้นของปราณมารพลิกตัวอย่างรุนแรง ลู่เซิ่งก็นึกภาพใบหน้าคนจากไฟหยินของตัวเอง ถึงขั้นเห็นรายละเอียดมากมายบนใบหน้าจากไฟหยินตามเวลาที่ผ่านไป เหมือนกับใบหน้าไฟหยินที่เขาจินตนาการมีตัวตนจริงๆ
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย ปราณมารจำนวนมากรวมตัวในร่างลู่เซิ่งอย่างคลุ้มคลั่งเหมือนก่อนหน้า จากนั้นก็ละลายกล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายใน ก่อนที่ปราณหยินหยางขวดสมบัติจะฟื้นฟูรักษาด้วยความเร็วสูง
ในกระบวนการทำลายและฟื้นฟูไม่หยุดหย่อนนี้ ร่างกายของลู่เซิ่งแข็งแกร่งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ต้านทานพิษได้ดีกว่าเดิม
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดปราณขวดสมบัติก็ใกล้จะหมดแล้ว
ลู่เซิ่งออกจากห้วงสมาธิ เริ่มถอยออกจากถ้ำอย่างช้าๆ
ซู่ม!
ลู่เซิ่งดึงร่างออกมาจากในปราณมารที่เหนียวหนืดเหมือนกับพุ่งออกมาจากผิวน้ำ กลับมายังข้างกระถางทองแดง
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปวดไปทั่วทั้งตัว ยกมือขึ้น ผิวบนแขนซีดขาวเนียนนุ่ม เป็นผิวอ่อนนุ่มที่งอกออกมาใหม่
‘ความรู้สึกนี้…’ ลู่เซิ่งย่นหัวคิ้ว สัมผัสได้ว่าตนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดบางอย่าง หรือควรบอกว่าเป็นการปรับตัวบางชนิดเพราะการบำรุงด้วยปราณมาร
ความสามารถในการฟื้นตัวด้วยความเร็วสูงที่เกิดจากปราณขวดสมบัติ ทำให้เขามีทุนในการฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว และสามารถรักษาพลังชีวิตภายใต้การทะลักอันมหาศาลของปราณมาร
กระบวนการทำลายและฟื้นฟูซ้ำไปซ้ำมา ความจริงเป็นกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับปราณมาร
‘ดีปบลู’ ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
กรอบสีน้ำเงินโผล่มาตามที่นึก ด้านหลังตัวเลือกวิชาไร้มูลเหตุในกรอบปรากฏปุ่มปรับเปลี่ยนที่ยกระดับได้อีกครั้ง
‘กระตุ้นมากพอแล้ว ใบหน้าไฟหยินปรากฏคลื่นบิดเบี้ยว หมายความว่าปราณหยินระดับนี้ฝึกฝนถึงมาตรฐานแล้ว ต่อจากนี้ต้องพยายามตรึกตรองและฝึกดัดกล้ามเนื้อ สามารถใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนยกระดับ ประหยัดเวลาได้โดยสมบูรณ์ ตอนนี้ปราณหยินหยางขวดสมบัติไม่พอ รอกลับไปพักผ่อนฟื้นฟู ก็จะเลื่อนถึงระดับสี่ได้’
ลู่เซิ่งค่อยๆ กำมือ เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าพละกำลังในกายเนื้อของตนเองดูเหมือนจะยิ่งใหญ่และคล่องแคล่วขึ้นเพราะฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุ
ไม่ได้เอนไปทางแข็งทื่อตรงไปตรงมาเหมือนเมื่อก่อนหน้า
นี่อธิบายได้ว่าวิชาไร้มูลเหตุยังส่งผลช่วยเหลือต่อเขา เพียงแต่ว่าเป็นเพราะระดับของเขาสูงเกินไป ดังนั้นการช่วยเหลือจึงมีจำกัด แสดงออกไม่ชัดนัก
ออกจากบึงมาร ลู่เซิ่งยังคงกลับไปพักผ่อนที่ถ้ำของตัวเอง จากนั้นไปเรียนคาบเช้าในวันต่อมาเหมือนปกติ
ทว่าภาพที่เห็นในเช้าตรู่วันต่อมาทำให้เขาใจหาย
มีคนหนีไปอีกแล้ว ก่อนหน้านี้รวมเขาด้วย ยังมีศิษย์สำนักหกคน ปัจจุบันเหลือเขา เฟยหวงจื่อ และเหอเซียงจื่อสามคน
“หรูเมิ่งไปแล้วหรือ” ผู้อาวุโสใหญ่ถามเบาๆ
“เช้าวันนี้ข้าเห็นนางแบกหนังสือออกจากถ้ำไปแล้ว…” เหอเซียงจื่อกระซิบตอบ
ผู้อาวุโสใหญ่เงียบงันไป ไม่ได้เอ่ยปาก
เขานั่งนิ่งบนเบาะกลมอย่างนี้ เฟยหวงจื่อ เหอเซียงจื่อ ลู่เซิ่ง ได้แต่นั่งนิ่งเช่นกัน ไม่กล้าเปล่งเสียง
เหลือสามคนแล้ว…
สำนักใหญ่โต สำนักมารกำเนิดที่ใหญ่โตขนาดนี้เหลือศิษย์แค่สามคน
เนิ่นนานให้หลัง
ผู้อาวุโสใหญ่ค่อยๆ หลับตาลง
“อยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว…ให้ข้าพักผ่อนหน่อย”
เฟยหวงจื่อเงียบขรึม ลุกขึ้นผละไปเป็นคนแรก ก่อนจากไปเขาก้มหน้าคารวะผู้อาวุโสใหญ่รอบหนึ่ง แล้วหมุนตัวไป
เหอเซียงจื่ออารมณ์หม่นหมอง ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไว้ เห็นผู้อาวุโสใหญ่อารมณ์ไม่ดี ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ลุกขึ้นตามไป
ลู่เซิ่งยืนขึ้น มองผู้อาวุโสใหญ่ รู้สึกสงสารเล็กน้อย
“อาจารย์ คาบเช้าวันพรุ่งนี้เล่า ยังต้องมาหรือไม่”
เขาพลันส่งเสียงถาม
คาบเช้าหรือ
ผู้อาวุโสใหญ่พลันลืมตา มองเขาอย่างประหลาดใจ
“วันนี้เล่าเรื่องประวัติกับประเภทของตราอาวุธเทพ…” นี่เป็นส่วนที่ศิษย์ไม่ชอบฟัง
“ถูกต้อง” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เมื่อคืนข้าตั้งใจอ่านเรื่องนี้ในหอเก็บหนังสือไม่น้อย วันนี้ยังคิดถามคำถามส่วนหนึ่งกับท่าน”
ถามคำถามหรือ
ผู้อาวุโสใหญ่มองเขาอย่างงุนงง
สักพักหนึ่ง เขาค่อยๆ ถามด้วยเสียงแหบพร่า “พวกเขาไปแล้ว เจ้า…ไม่ไปหรือ”
ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“ทำไมต้องไป ข้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวยิ่ง”
เขายิ้ม “มีหนังสือให้อ่าน ทั้งยังอยู่สบาย”
“หรือที่เจ้ามาสำนักจะไม่ใช่เพื่อฝึกฝน แต่เพื่ออ่านหนังสือ” ผู้อาวุโสใหญ่สนใจเล็กน้อย “เจ้าไม่ฝึกวิชาลับแล้วหรือ”
“ฝึกขอรับ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย “วิชาไร้มูลเหตุตอนนี้ข้าฝึกถึงระดับสองแล้ว รู้สึกใช้ได้ ราบรื่นยิ่ง คือ…”
“หา? ระดับที่สอง?!”
ลู่เซิ่งพูดไม่ทันจบ ก็ชะงักเพราะผู้อาวุโสใหญ่เบิกตาโพลง
……………………………………….