ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 214 สนธยา (4)
บทที่ 214 สนธยา (4)
“ใช่แล้ว เพิ่งแต่งงานมาจากแดนเหนือไม่นาน คิดถึงอยู่บ้าง” ลู่เซิ่งยิ้มๆ
“ศิษย์น้องแต่งงานแล้วหรือ” เหอเซียงจื่อถามลอยๆ
“ขอรับ แต่งงานแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ช่างดีจริงๆ… ตอนข้าแต่งงาน อายุแค่สิบกว่าปี หลังคลอดลูกสองคน เป็นเพราะโง่งมเกินไป จึงสร้างความผิดพลาด ถูกขับออกจากตระกูล…ถ้าไม่ใช่อาจารย์รับข้าไว้ ก็ไม่รู้จะไปที่ไหนดี” เหอเซียงจื่อมองสายฝนอย่างซึมเซาอยู่บ้าง เอ่ยเสียงแผ่ว
“ศิษย์พี่ไม่ใช่เติบโตในสำนักตั้งแต่เด็กหรือ” ลู่เซิ่งถามกลับ
“ใช่ เพียงแต่ถูกบุรุษคนหนึ่งจากตระกูลขุนนางหลอกลวง…ออกจากสำนัก แล้วแต่งงานกับเขา ตอนนั้นยังทำให้อาจารย์โกรธเพราะบุรุษผู้นั้นเลย ตอนนี้คิดดู…” เหอเซียงจื่อถอนใจอีกเฮือก
ลู่เซิ่งคิดไม่ถึงว่าเหอเซียงจื่อจะมีอดีตเช่นนี้ ไม่รู้สมควรตอบอย่างไร ได้แต่เงียบงัน
ทั้งคู่เงียบเสียงอยู่ชั่วขณะ
ไม่รู้รอนานขนาดไหน สายฝนถูกลมพัดม้วนไปทางซ้าย ในเสียงฝนซ่าๆ แว่วเสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนดังมา
ลู่เซิ่งลุกขึ้น มองไปทางบันไดหินที่เชื่อมไปยังพื้นดิน
เห็นไกลออกไปมีคนขี่ม้าสวมเสื้อกันฝนคนหนึ่งยืนอยู่บนพื้น คล้ายเพิ่งพลิกตัวลงจากหลังม้า
คนขี่ม้าถือกล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง สะพายดาบไว้บนหลัง จ้ำลงมาตามบันได
“คนที่ข้ารอมาแล้ว” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ
“อือ” เหอเซียงจื่อเห็นคนสวมเสื้อกันฝนที่ขี่ม้ามาแล้วเช่นกัน
คนผู้นั้นเร่งฝีเท้าเดินตามบันไดลงมาจนถึงหน้าปากถ้ำ ค่อยส่งกล่องในมือให้ลู่เซิ่งอย่างนอบน้อม
“ลำบากแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า ยื่นมือไปตบตัวอีกฝ่าย ปราณขวดสมบัติสายหนึ่งไหลเข้าไปในร่าง ช่วยขจัดความหนาวและความเหนื่อยให้
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรกระทำ” คนขี่ม้ามาตอบเสียงต่ำ พยักหน้าคำนับลู่เซิ่ง ก่อนหมุนตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งมองเขากลับไปถึงพื้นดิน พลิกตัวขึ้นหลังม้า กระทั่งหายไปในม่านฝน มองไม่เห็นอีก จึงค่อยหมุนตัวไปมองเหอเซียงจื่อ
“จริงด้วยศิษย์พี่ สองวันนี้ทำไมไม่เห็นศิษย์พี่เฟยหวงจื่อเลย”
“เฟยหวงจื่อหรือ” เหอเซียงจื่อชะงัก สีหน้าซับซ้อน “เขา…ไม่กี่วันก่อนจะแอบเข้าไปในโถงบรรพบุรุษ คิดตามหาวิชาลับมารกำเนิด ถูกอาจารย์พบเข้า…จากนั้นก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บ แล้วโดนไล่ออกไป”
“หา?” ลู่เซิ่งคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเฟยหวงจื่อจะทำเรื่องแบบนี้ ถึงว่าหลายวันมานี้ทำไมไม่เห็นเขาเลย
“หมายความว่าตอนนี้ในสำนักเหลือแค่พวกเราสองคนแล้วหรือ” ลู่เซิ่งครุ่นคิด แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ใช่…” เหอเซียงจื่อเงียบเสียงลง
ทั้งสองคนต่างก็ไร้วาจา ยืนอยู่ที่ปากถ้ำพักหนึ่ง ลู่เซิ่งค่อยผละกลับถ้ำของตัวเอง
ระหว่างทางกลับ เขาเห็นผู้อาวุโสใหญ่ยืนเงียบๆ ตามลำพังอยู่หน้าเสาหินที่มีสัญลักษณ์สีแดง ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร
“อาจารย์” เขาเดินเข้าไปทักทาย
ผู้อาวุโสใหญ่หันมาเห็นลู่เซิ่ง “เสี่ยวเซิ่งนี่เอง…” เขาเหมือนเหนื่อยล้ายิ่ง ดวงตาขุ่นมัวอยู่บ้าง
“เจ้าจะไปอ่านหนังสืออีกแล้วหรือ”
“ขอรับ ยังอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ที่เจอเมื่อวานไม่จบ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ผู้อาวุโสใหญ่มองศิษย์ตรงหน้า ถ้าหากบอกว่าหลายเดือนก่อน เขายังคิดคัดผู้สืบทอด เช่นนั้นวันนี้ เขาก็ไม่มีตัวเลือกอีกแล้วจริงๆ
เพื่อวิชาลับมารกำเนิด เฟยหวงจื่อกลับบุกโถงบรรพบุรุษ รบกวนความเงียบสงบของบูรพาจารย์ หนำซ้ำยังคิดขโมยวิชาลับมารกำเนิดก่อนที่จะได้รับการอนุญาตจากตน นิสัยแบบนี้ ไม่อาจประสบความสำเร็จ
ส่วนเหอเซียงจื่อ แม้ไม่มีใจคิดคดต่อสำนัก แต่คุณสมบัตินั้น…พึงทราบว่าภาพตรึกตรองมากมาย หากคุณสมบัติไม่พอ พลังฝึกปรือไม่พอ เกิดว่าคัมภีร์สาบสูญ ต้องให้ผู้สืบทอดนึกภาพขึ้นใหม่เอง
คุณสมบัติไม่พอหมายความว่า เกิดต้นฉบับคัมภีร์ลับหายไป คัมภีร์ลับนี้ก็จะสูญหายไปตลอดกาล
ดังนั้นนอกจากเหอเซียงจื่อ ผู้อาวุโสพลันพบว่าตนเองไร้ตัวเลือกอื่นแล้ว
“เจ้า…วิชาไร้มูลเหตุไม่มีปัญหาอะไรกระมัง…” ผู้อาวุโสใหญ่ถามเบาๆ
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ขอรับ ไม่มีปัญหา”
ผู้อาวุโสเขม้นมองศิษย์ตรงหน้า เงียบงันสักพัก
“เช่นนั้นก็ดี…ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้ามาที่ถ้ำข้าเร็วกว่าเดิมหนึ่งชั่วยาม”
ลู่เซิ่งงุนงง ก่อนพยักหน้าทันที
“รับทราบ ท่านอาจารย์”
ผู้อาวุโสใหญ่มองลู่เซิ่งสักพัก มองจนเขาประหลาดใจ แล้วค่อยๆ หมุนตัวผละไป
ลู่เซิ่งมองตามอีกฝ่ายจนจากไป ไม่เข้าใจความคิดของผู้อาวุโสใหญ่อยู่บ้าง
กลับไปที่ถ้ำ เขาจัดการเก็บข้าวของ ก่อนไปหอเก็บหนังสือต่อ นอกจากอ่านหนังสือ วันนี้เขายังต้องดำเนินรับการกระตุ้นของบึงมารครั้งใหม่ด้วย
เช้าตรู่วันต่อมา ลู่เซิ่งมาถึงถ้ำของผู้อาวุโสใหญ่เร็วกว่าเดิมหนึ่งชั่วยาม
ตุบๆๆ
เขาเคาะประตูเบาๆ
ครืน…
ประตูหินเลื่อนออกช้าๆ อย่างไร้เสียง ลู่เซิ่งเดินเข้าไป เห็นผู้อาวุโสใหญ่รออยู่ก่อนแล้ว นั่งบนเบาะกลมที่พื้นคนเดียว ในมือถือหนังแกะม้วนหนึ่ง ไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในนั้น
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากวิชาไร้มูลเหตุ เจ้าจะต้องท่องจำข้อมูลวิชาพื้นฐานวิชาอื่นๆ กับข้า ไม่มีปัญหากระมัง” ผู้อาวุโสใหญ่เห็นลู่เซิ่งเดินเข้ามา ก็เอ่ยเสียงทุ้มทันที
ลู่เซิ่งพลันเข้าใจ พยักหน้าอย่างขึงขัง
“ทราบแล้ว”
“ดีมาก นั่งลงให้เหมือนข้า” ผู้อาวุโสชี้เบาะกลมอีกใบหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลด้านหน้า
ลู่เซิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายคิดให้ตัวเองเป็นศิษย์หลักแล้วจริงๆ ปัจจุบันสำนักโรยรา เหลือแค่เขากับเหอเซียงจื่อเป็นศิษย์สองคน คาดว่าผู้อาวุโสใหญ่คงไม่มีตัวเลือกและไม่มีวิธีอื่นอีก
“วันนี้สิ่งที่จะสอนคือรายละเอียดระดับที่หกของวิชาไร้มูลเหตุ เจ้าจำให้ดี…” ผู้อาวุโสเริ่มบรรยายระดับขั้นหลังๆ ของวิชาไร้มูลเหตุให้ลู่เซิ่งฟังอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็นำภาพตรึกตรองที่เตรียมไว้แล้วออกมาให้ลู่เซิ่งดู
หลังจากการบรรยายอย่างละเอียดโดยไม่มีอะไรต้องปิดบังของผู้อาวุโสใหญ่ ในที่สุดลู่เซิ่งก็เข้าใจว่าระดับการสืบทอดหลักๆ ในปัจจุบันของสำนักมารกำเนิดเป็นแบบไหน
ตั้งแต่วิชาสามหยินอันเป็นพื้นฐานที่สุด ถึงวิชาไร้มูลเหตุ ถึงวิชาหน้ามาร วิชาเชื่อมอนธการในภายหลัง รวมถึงวิถีปราณมารตอนท้ายสุด
นี่เป็นการสืบทอดอย่างละเอียดสมบูรณ์
และการสืบทอดนี้พึ่งพาบึงมาร หรือปราณมารโดยสิ้นเชิง
“ปราณมารที่เราเรียกกันความจริงแล้วมาจากธารน้ำใต้ดินซึ่งประกอบด้วยของเหลวที่มีแต่พิษร้ายแรงสายหนึ่ง” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยอย่างสงบ “ธารน้ำนี้พวกเราเรียกว่าธารหมอกพิษ ปราณมารทั้งหมดเป็นอากาศธาตุพิเศษที่กระจายออกมาบนธารหมอกพิษ บึงมารก็คือหลุมมากมายที่อากาศธาตุเหล่านี้กัดกร่อนหลังซึมเข้าหน้าผาหิน บางหลุมก็ใหญ่ มีความเข้มข้นสูง บางหลุมก็เล็ก มีความเข้มข้นต่ำ”
ลู่เซิ่งพลันกระจ่าง ถามว่า “หมายความว่าสถานที่อันเป็นรากฐานสูงสุดของสำนักมารกำเนิดอยู่ที่ธารหมอกพิษหรือขอรับ”
ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า “เป็นเช่นนั้น ดังนั้นพวกเราจึงยอมตั้งหน่วยหลักไว้บนพื้นที่กันดารแบบนี้ รอเจ้าฝึกถึงขั้นวิชาเชื่อมอนธการได้ ข้าจะบอกความลับเกี่ยวกับสำนักของพวกเราให้เจ้าฟังมากกว่านี้ เอาล่ะ ต่อจากนี้เป็นเคล็ดวิชาบทหนึ่ง เจ้าต้องท่องจำให้ขึ้นใจ มันมีประโยชน์กับเจ้า”
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่รอลู่เซิ่งตอบ ก็เริ่มท่องเคล็ดวิชาอย่างละเอียด
ลู่เซิ่งฟังไปพลาง รู้สึกประหลาดใจไปพลาง
แม้ปัจจุบันสำนักจะอ่อนแอ แต่ยังคงเป็นหนึ่งในร้อยเส้นสาย รับสมัครศิษย์ได้อีกหลายรอบ ไม่รู้ว่าทำไมผู้อาวุโสใหญ่ถึงรีบร้อนขนาดนี้ บ่มเพาะศิษย์ขึ้นใหม่ก็ยังทัน ตามสถานการณ์ปกติ เขาคงไม่ถูกรับเป็นศิษย์หลัก เริ่มรับการถ่ายทอดอย่างลับๆ เร็วขนาดนี้
ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายทำแบบนี้เอง ลู่เซิ่งก็ไม่ถือสา ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็มีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย
เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงเวลาคาบเช้าอย่างเป็นทางการ เหอเซียงจื่อเดินเอื่อยๆ เข้าถ้ำมา เห็นลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ก่อน ก็งุนงงเล็กน้อย จากนั้นเหมือนคิดอะไรออก มองดูลู่เซิ่งอีกหลายรอบ
“เอาล่ะ วันนี้เหลือพวกเจ้าสองคนแล้ว มีคำถามอะไรก็ถามมาเถอะ” ผู้อาวุโสนั่งนิ่งไม่ไหวติง สงบลมหายใจ
เหอเซียงจื่อไม่พูดอะไรสักคำ ลู่เซิ่งเองก็ไม่มีอะไรอยากถาม สิ่งที่ควรถาม ก็ถามไปก่อนหน้าจนหมดแล้ว
ทั้งสองถือโอกาสนั่งฝึกฝนสักพัก พอหมดเวลาก็ลุกขึ้นบอกลา
ตั้งแต่นั้นมา ทุกๆ เช้าลู่เซิ่งจะถูกผู้อาวุโสใหญ่บังคับให้ท่องจำเคล็ดวิชาประหลาดส่วนหนึ่ง บางครั้งบางคราวยังถูกทดสอบกะทันหัน ดูว่าความทรงจำของเขาถูกต้องหรือไม่
แม้จะรู้สึกว่าผู้อาวุโสใหญ่แปลกไปบ้าง แต่ลู่เซิ่งก็ไม่ได้ทัก มีใครรังเกียจที่ตนมีความรู้มากไปบ้าง
ในชีวิตอันเหี่ยวเฉาที่วนเวียนไปมาแบบนี้ ไม่นานเขาก็เลื่อนระดับวิชาไร้มูลเหตุไปถึงระดับห้า
หลังถึงระดับห้า ถ้าไม่มีสภาพหยินโชติช่วงซุกเก็บกลิ่นอาย ยามลู่เซิ่งใช้ผิวน้ำต่างกระจก แค่สำนึกมารที่ปรากฏขึ้นโดยธรรมชาติ ก็เข้มขั้นจนกระตุ้นให้จิตใจหวั่นไหวแล้ว
ผลพิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งระดับที่ห้าของวิชาไร้มูลเหตุระดับที่ห้า เริ่มมีส่วนช่วยเล็กๆ ต่อกายเนื้อของลู่เซิ่ง
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ผู้อาวุโสใหญ่เริ่มเล่าความลับส่วนหนึ่งให้ลู่เซิ่งฟัง ไม่ค่อยได้พูดถึงขอบเขตพลังฝึกปรืออีก
เวลาเคลื่อนคล้อยอย่างเอื่อยเฉื่อย ช่วงนี้ลู่เซิ่งอ่านหนังสือและร่ำเรียน มีความรู้มากมายต่อสภาพรอบๆ ตัวและสำนัก
โดยเฉพาะตอนเขาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ต้นกำเนิดสำนัก ก็เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสใหญ่ถึงได้รีบร้อนยัดเนื้อหามากมายให้แก่เขาขนาดนี้
ที่แท้แต่ละสำนักจะมีชุมนุมร้อยเส้นสายอันเป็นการชุมนุมพบปะกันในทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง
ชุมนุมร้อยเส้นสาย แทนที่จะบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยน น่าจะบอกว่าเป็นการแข่งขันจัดอันดับภายในที่สำนักต่างๆ ประชันขันแข่ง แลกเปลี่ยนขุมกำลังและความสามารถมากกว่า
ไม่อย่างนั้นสามขั้นบน สามขั้นกลาง และสามขั้นล่างในสำนักจะมาได้อย่างไร เป็นการแบ่งจากชุมนุมร้อยเส้นสายนี่เอง
ลู่เซิ่งได้รู้จากเหอเซียงจื่อว่า สำนักมารกำเนิดหลุดมาตรฐานต่ำสุดของร้อยเส้นสายมาสามปีติดกันแล้ว
มาตรฐานต่ำสุดของร้อยเส้นสายที่ว่านี้ก็คืออย่างน้อยมีคนหนึ่งคนเป็นตัวแทนผู้สืบทอดของสำนัก ถ่ายทอดอุดมคติและทุกสิ่งในสำนักได้โดยสมบูรณ์ในยามที่เจ้าสำนักไม่อยู่ ทั้งต้องแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง
เป็นการถกแนวความคิดที่โหดร้ายทารุณที่สุด
ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างสำนักในร้อยเส้นสายจึงดุเดือดไม่ธรรมดา ถ้าทิศทางการพัฒนาของสำนักหนึ่งเกิดวิกฤติการณ์ ถูกตั้งคำถาม พวกเขาจำเป็นต้องมีคนในสำนักยืนขึ้นเพื่อถกเถียง
วิธีการถกเถียงก็คือพลัง ใช้พลังอธิบายความรู้ให้แก่ผู้สงสัย สรุปก็คือเหตุผลด้านพลังนั่นเอง
ท่านบอกว่าท่านคิดมาก่อน ท่านเลยเป็นฝ่ายถูกหรือ อย่างนั้นใครสักคนของสำนักท่านก็ออกมา พวกเรามาถกกัน ดูว่าศิษย์ที่ได้รับการชี้แนะในแนวคิดที่ถูกต้องจะไปถึงระดับใด
ถึงอย่างไรพวกเราก็สร้างสำนึกขึ้นเพื่อสลัดหลุดจากอาวุธเทพศัสตรามารอยู่แล้ว ระบบความรู้ที่ล้าหลังจะต้องคัดทิ้ง มีแต่การรักษาความรู้ที่สดใหม่ไว้ตลอดเวลา ถึงจะทำให้ร้อยเส้นสายดำรงอยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่ถูกระบบความรู้เก่าแก่เหม็นเน่าลากเข้าโลง
นี่คือที่มาของชุมนุมร้อยเส้นสาย ถกเถียงแนวคิดที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เก่าคร่ำครึ ก็ปล่อยให้ตายไป เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองทรัพยากรของตนเอง
……………………………………….