ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 218 การบ้าน (2)
บทที่ 218 การบ้าน (2)
ในตำหนักรองอันโอ่โถง เงาคนสวมเกราะดำทะมึนสูงสองหมี่กว่าๆ หลายสายกำลังลากโซ่ทั่วตัวเดินไปเดินมา
พวกเขาเหมือนกับวิญญาณไร้สติ และเหมือนกับยามรักษาการณ์ที่ปกป้องที่นี่ เดินไปเดินมาไม่หยุด
ผู้อาวุโสใหญ่หยิบของสิ่งหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมาถือ จากนั้นสะกิดตัวลู่เซิ่ง บอกให้ติดตามใกล้ๆ
ลู่เซิ่งพยักหน้า เห็นสิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่ถือในมือเป็นถุงผ้าเล็กๆ ใบหนึ่ง คล้ายกับเป็นถุงหอม กลิ่นแปลกประหลาดโชยออกมา
“ไป” ผู้อาวุโสใหญ่ใช้ท่าทางปากพูดกับลู่เซิ่ง
สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังเร่งเดินทะลุระหว่างคนสวมเกราะโซ่สูงสองหมี่กว่าๆ ไป
คนสวมเกราะเหล่านี้กลับมองไม่เห็นพวกเขา
หลังจากออกจากตำหนักรอง ก็เป็นทางเชื่อมเปล่าเปลี่ยวสายหนึ่ง พื้นทางเชื่อมว่างเปล่า ไม่มีแผ่นปูพื้น ทั้งหมดเป็นเหวลึกดำสนิทซึ่งไม่ทราบว่าลึกขนาดไหน
ผู้อาวุโสใหญ่สะกิดปลายเท้า แล้วแตะเท้าบนผนังหลายครั้ง ยืมพลังพุ่งผ่านทางเชื่อมยาวสิบกว่าหมี่อย่างแผ่วพลิ้ว จากนั้นเขาก็หันกลับมา ชี้ไปที่รอยเท้ามากมายที่ตนทิ้งไว้บนกำแพงให้ลู่เซิ่งดู
ลู่เซิ่งพยักหน้า กระโดดตามไป สองขาแตะรอยเท้าบนกำแพงอย่างแผ่วเบา แล้วทิ้งตัวลงข้างผู้อาวุโส
ออกจากทางระเบียง ทั้งสองเข้าไปในเรือนน้อยหลังหนึ่ง
เรือนเป็นสีแดงเข้มทั้งหลัง ไม่ใหญ่ ใกล้เคียงกับห้องรับแขกในบ้านคนทั่วไป กลางเรือนมีแท่นหินแท่นหนึ่ง ดาบยาวเล่มหนึ่งเสียบอยู่ด้านบน
ดาบเล่มนั้นเสียบในหินสีดำก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งโดยเอียงไปทางขวาเล็กน้อย ดูเหมือนไม่แตกต่างจากดาบทั่วไป
แต่พอมาถึงที่นี่ ผู้อาวุโสใหญ่กลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ระมัดระวังตัวขึ้น
เขาสะกิดตัวลู่เซิ่ง ชี้ไปที่ดาบเล่มนั้น จากนั้นก็เขียนคำคำหนึ่งบนผนัง มาร
‘มาร? นี่คือมารหรือ’ ลู่เซิ่งงุนงง เขามองดาบเล่มนั้น ดูอะไรไม่ออก
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่พูดอะไรมาก ชี้ไปที่ด้านล่างของดาบยาว จากนั้นก็ไม่บุ้ยใบ้อะไรอีก
ลู่เซิ่งมองตามนิ้วเขาไป นอกจากหินสีดำ ก็ไม่เห็นอะไรอย่างอื่น
ผู้อาวุโสใหญ่ปล่อยให้ลู่เซิ่งสำรวจอย่างละเอียด ถึงขั้นพยักเพยิดให้เข้าไปดูใกล้ๆ ลู่เซิ่งวนในเรือนเล็กๆ รอบหนึ่ง ไม่เห็นว่ามีมารสักตัว นอกจากดาบยาวเล่มนั้น
ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ส่งสัญญาณว่าควรไปได้แล้ว
ลู่เซิ่งพกพาความสงสัยหมุนตัวออกจากเรือนน้อย ทั้งสองกลับทางเดิม เพียงแต่ตอนที่ตัดทะลุคนสวมเกราะโซ่ในตำหนักกลางเหล่านั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็หยิบของอย่างหนึ่งลงจากผนังด้านหนึ่งของตำหนักรอง
ทั้งสองคนออกจากตำหนักวิชาลับ กลับมาถึงประตูใหญ่
“สิ่งนี้เอาให้เจ้าไว้” ผู้อาวุโสมอบของอย่างหนึ่งให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งรับมาดู เป็นหน้ากากหน้าคนสีแดงใบหนึ่ง
หน้ากากไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร แข็งและเย็นเหมือนกับอัญมณีสีแดง
เพียงแต่พอลู่เซิ่งรับมาถือไว้ ในใจบังเกิดความรู้สึกประหลาดพิกล ทั้งๆ ที่ผิวของหน้ากากใบนี้เย็นเยียบ แต่พอเอามาถือไว้ กลับรู้สึกได้ถึงการเผาผลาญอย่างรุนแรงต่อผิวหนัง
“นี่เป็นหนึ่งในสินสงครามที่ได้มาตอนรุมทำลายมาร เก็บไว้เป็นของรำลึก เป็นสิ่งของหนึ่งเดียวในตำหนักวิชาลับที่นำไปได้อย่างปลอดภัย” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยเรียบเฉย
“หน้ากากใบนี้จะปล่อยเปลวเพลิงไร้รูปร่างตลอดเวลา คนธรรมดามองเปลวเพลิงนั้นไม่เห็น เจ้าต้องตั้งใจใช้วิชาลับสัมผัสดู…”
“ตั้งใจ? ใช้วิชาลับสัมผัสดู?” ลู่เซิ่งหรี่ตา มองหน้ากากในมือ โคจรวิชาไร้มูลเหตุช้าๆ พร้อมหลับตาเริ่มนึกถึงใบหน้าคนไฟหยินของวิชาไร้มูลเหตุ
แต่ว่าการตรึกตรองในครั้งนี้กลับต่างจากสภาพตามปกติของเขา
หน้าคนไฟหยินที่เดิมมีขนาดเท่าหัวคนและรายละเอียดยังพร่าเลือน ได้แต่พอมองเค้าโครงใบหน้าออก ตอนนี้กลับชัดเจนขึ้นมาก
เครื่องหน้า สองตา สันจมูก ริมฝีปาก ถึงขั้นรายละเอียดผิวหนังบนใบหน้าคนไฟหยินยังแจ่มชัด เหมือนกับใบหน้าคนที่ถูกไฟปกคลุมจริงๆ
“เห็นหรือยัง” เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ดังข้างหู
“เห็นแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งตอบเบาๆ “ยามที่ถือหน้ากากใบนี้ไว้ รู้สึกเหมือนมีพลังงานไร้รูปร่างกระจายจากตัวมันมาบนใบหน้าคนไฟหยินของข้า คล้ายกับมีผลขยายขอบเขต เทียบกับยามปกติแล้ว…”
ทันใดนั้นเสียงของลู่เซิ่งพลันขาดลง
เพราะหน้าคนไฟหยินตรงหน้าเขาพลันลืมตา มองสองตาของมันโดยตรง คล้ายกับใบหน้าคนที่นึกจินตนาการไว้มีชีวิตขึ้นมา
“สิ่งนี้จะทำให้การตรึกตรองหน้าคนไฟหยินของเจ้าพัฒนาเร็วขึ้นมาก” เสียงของผู้อาวุโสใหญ่แว่วมาอีกครั้ง
ทว่าตอนนี้ลู่เซิ่งไม่ได้สนใจเสียงนี้อีก สมาธิทั้งหมดของเขารวมกันอยู่บนหน้าคนไฟหยินที่เปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันนี้
การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่า หน้ากากในมือเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึงอย่างหนึ่ง
ปราณหยินอันแข็งแกร่งมากมายมหาศาลชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน ปรากฏขึ้นบนหน้ากากสีแดง ความเข้มข้นของปราณหยินสายนั้นต่อให้เป็นครั้งที่ลู่เซิ่งดูดซับมาเยอะที่สุดมาก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้
“หน้ากากใบนี้ส่งต่อมานานหลายปี ว่ากันว่าขุดค้นออกมาจากโบราณสถานลึกลับแห่งหนึ่ง ภายหลังถูกนำกลับมาสำนัก บูรพาจารย์ของข้ายึดถือเป็นของรัก ภายหลังส่งต่อให้บิดาของข้า จากนั้นจึงส่งต่อให้ข้า” ผู้อาวุโสใหญ่อธิบายเบาๆ
“หมายความว่ามันมีประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งส่งเสียงถาม
“ยาวนานยิ่ง ตามการศึกษาค้นคว้าของอาจารย์ข้า วัสดุของมันอย่างน้อยก็มีประวัติศาสตร์หลายพันปี” ผู้อาวุโสใหญ่สะท้อนใจเล็กน้อย ไม่พบความผิดปกติของลู่เซิ่งในตอนนี้
‘หลายพันปี…’ ลู่เซิ่งแน่ใจว่าหน้ากากตรงหน้านี้มีเจ้าของมาหลายคน และเป็นเพราะความพิเศษของมัน เจ้าของหลายคนเลยยึดถือมันเป็นของรัก ดังนั้นจึงสั่งสมปราณหยินมหาศาลขนาดนี้
“ในสำนักมีของแบบนี้มากมาย สำนักมารกำเนิดของเรามีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นเพราะผู้ที่ก่อตั้งคือคนของตระกูลขุนนางจำนวนมากที่เหลือรอดมารวมตัวกัน ดังนั้นหลังจากพวกเขากลายเป็นระดับสูงในสำนัก ก็นำวัตถุพิเศษหลายอย่างของตระกูลเก่าแก่ของตนมา ถ้าเจ้าชอบ หลังจากให้ค่าตอบแทนในระดับหนึ่ง จะเอาไปหมดก็ได้ ข้าใช้มันเป็นรางวัลมอบให้เจ้า ขอแค่เจ้าทำการบ้านที่ข้ามอบให้เจ้าสำเร็จก็พอ”
“การบ้านหรือ”
ในที่สุดลู่เซิ่งก็รู้สึกตัว
“แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เป็นแค่การจดจำเคล็ดวิชา นั่นก็แค่เนื้อหาพื้นฐานสุดเท่านั้น พวกเราสำนักมารกำเนิดย่อมมีการบ้านด้านการต่อสู้” ผู้อาวุโสใหญ่นำลู่เซิ่งเดินไปด้านนอก
ถ้าหากทำการบ้านสำเร็จแล้วจะได้รางวัลแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่ปรารถนาจะทำจริงๆ
ลู่เซิ่งกำหน้ากากแน่น ในใจเกิดความคาดหวังเล็กน้อย
มาวันนี้เขาค่อยรู้สึกจริงๆ ว่าตอนนั้นตนไม่ได้เลือกผิด สำนักที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างสำนักมารกำเนิดเหมาะกับตนมากที่สุดอย่างแท้จริง
เพราะในสำนักแบบนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีสมบัติที่ส่งต่อกันมามากมาย
พอดีที่คนในสำนักอย่างย่ำแย่สุดก็คือยอดฝีมือที่เหนือกว่าคนธรรมดา ในวัตถุ ปราณหยินที่เกิดขึ้นมาจึงมากกว่าด้านนอก
“อย่างนั้นตอนนี้การบ้านชิ้นแรกของเจ้าก็คือไปตำหนักวิชาลับอีกรอบ แล้วออกมาตามเส้นทางที่ข้าไปก่อนหน้า” ผู้อาวุโสกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเจ้าทำสำเร็จอย่างราบรื่น ไม่ทำให้หุ่นเชิดคุมกฎตื่นตัว อย่างนั้นหน้ากากใบนี้ก็จะเป็นของเจ้าแล้ว”
ลู่เซิ่งหยีตา ครั้นสัมผัสได้ว่าในหน้ากากมีปราณหยินอย่างน้อยมากกว่าร้อยหน่วย ก็พยักหน้าโดยแรง
“ข้าเข้าใจแล้ว โปรดรอสักครู่”
เขาวางหน้ากากลง โน้มตัวให้ผู้อาวุโสใหญ่เล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าเข้าโถงลงทัณฑ์
หนามแหลมสีดำหลายแท่งที่ปักเอียงลงดินเฉียดผ่านข้างตัว ลู่เซิ่งไม่มองดูผู้อาวุโสใหญ่ที่มองตนอยู่ด้านหลัง กระโจนพุ่งเข้าร่องแยกประตูใหญ่
ทว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขากลับไม่ใช่ตำหนักใหญ่เหมือนก่อนหน้า แต่เป็นวังวนไอสีดำขนาดยักษ์ที่บิดเบี้ยวและส่ายไปมา
ลู่เซิ่งหลับตาช้าๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น วังวนตรงหน้าพลันสลาย ในสายตากลับคืนเป็นตำหนักใหญ่เมื่อก่อนหน้า
เขามองรอบๆ แล้วเลี้ยวไปทางซ้าย ไม่นานก็เข้าระเบียงติดหน้าต่างที่ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสใหญ่เดินผ่าน
มุ่งหน้าด้วยความเร็วสูงไปตามระเบียง ไม่กี่สิบอึดใจ ลู่เซิ่งก็ปราดไปถึงตำหนักรองที่เต็มไปด้วยหุ่นเชิดคุมกฎ
ลู่เซิ่งมองหุ่นเชิดคุมกฎที่มีอย่างน้อยมากกว่าสามสิบตัว หุ่นเชิดแต่ละตัวสองตาสาดประกายสีแดงฉาน กวาดตามองไปทั่ว
‘ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสใหญ่ใช้ถุงหอมพิเศษเข้ามา แต่ในเมื่อให้เรากลับมาตามลำพัง ก็ต้องมีวิธีแก้ไขแน่ และเป็นวิธีที่ไม่ใช้ถุงหอม’
ลู่เซิ่งใคร่ครวญสักพัก ก่อนจะก้าวเข้าตำหนักรองก้าวหนึ่ง
ฟิ้ว!
เขาเร็วอย่างน่าประหลาด พริบตาเดียวก็เข้าถึงกลางตำหนัก
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ หุ่นเชิดคุมกฎทั้งหมดเหมือนมองไม่เห็นเขา
‘ที่แท้นี่เป็นการทดสอบความกล้า บนตัวเราน่าจะยังมีกลิ่นหอมเมื่อก่อนหน้าติดอยู่’ ลู่เซิ่งพลันเข้าใจความลี้ลับ
สำหรับศิษย์คนอื่นๆ นี่เป็นการทดสอบที่ไม่เลวจริงๆ แต่ไร้ความหมายสำหรับลู่เซิ่ง
ทะลุตำหนักรอง จากนั้นก็เป็นทางเชื่องระเบียงที่ไม่มีพื้น
ลู่เซิ่งมองกำแพง รอยเท้าก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
‘นี่เป็นการทดสอบความทรงจำมั้ง’
เขาไม่ลังเล กระโดดขึ้น สะกิดเท้าใส่ตำแหน่งเดิมบนกำแพงติดต่อกันหลายครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงพื้นฝั่งตรงข้ามอย่างแผ่วเบา
มุ่งหน้าต่อไป ก็เป็นด่านสุดท้าย เรือนน้อยเมื่อก่อนหน้า
แกร่ก
ลู่เซิ่งผลักประตู ดาบยาวที่เสียบอยู่ในหินเมื่อก่อนหน้านี้เข้าสู่คลองจักษุอีกครั้ง
‘มาร…หรือ’ เขาสีหน้าไร้อารมณ์ เดิมทีหลังมาถึงที่นี่ก็สมควรเพียงพอแล้ว ขอแค่กลับไปก็จะสำเร็จ
เพียงแต่ลู่เซิ่งไม่คิดจะกลับไปง่ายๆ
เขาเดินเอื่อยๆ ไปยังดาบยาวในก้อนหิน ยื่นมือออกไปกำเบาๆ
จากนั้นถอนออกมา
โฮก…
เสียงทุ้มต่ำอันแปลกประหลาดราวสัตว์ป่าคำรามดังออกมาจากข้างใต้ดาบ
เรือนทั้งหลังเริ่มสั่นสะเทือนน้อยๆ
พร้อมกับที่ลู่เซิ่งดึงดาบออกช้าๆ พื้นเรือนก็สั่นสะเทือนมากกว่าเดิม หมอกดำประหลาดที่บิดเบี้ยว เต็มไปด้วยเสียงพึมพำอันมุ่งร้าย แผ่พุ่งออกมาจากด้านล่างหินสีดำ
เสียงทุ้มต่ำ ยิ่งใหญ่ และสั่นไหวดังขึ้นช้าๆ
“ข้าหลับลึกมาห้า…”
ตูม!
ลู่เซิ่งปักดาบกลับที่เดิม
“ไม่เป็นไร ข้าแค่มาดูดาบนี้” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “นอนต่อไปเถอะ”
หมอกดำเหมือนสายน้ำที่ถูกดูดเข้าสู่วังวน ไม่ทันไรก็ถูกดูดลงไปในร่องแยกด้านล่างหินสีดำทั้งหมด การสั่นไหวของเรือนทั้งเรือนหายไป
เสียงที่ไม่ยินยอม เดือดดาล อัดอั้น เจ็บปวดกลายเป็นเสียงหึ่งๆ เบาหวิว หมายจะส่งออกมาจากพื้นดิน
แต่ว่าไร้ประโยชน์ ดาบยาวคล้ายกับตราผนึกที่แข็งแกร่ง ผนึกเสียงและอารมณ์ไว้ด้านในได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ลู่เซิ่งมองดาบ พบว่าถึงแม้จะยังมีปราณหยิน แต่เหมือนจะไม่เข้มข้น
ดาบนี้นอกจากจะมีพลังประหลาดที่กล้าแข็งบางอย่างเหนือกว่าหน้ากากใบหน้าคน ทว่าปราณหยินห่างชั้นกับหน้ากากใบหน้าคนมาก
ดังนั้นเขาจึงปักกลับลงไปอย่างแน่วแน่
ถึงแม้ตอนปักกลับลงไปจะมีแรงต้านอันมหาศาล แต่แรงต้านแค่นี้ไม่มีผลอะไรสำหรับเขาที่พละกำลังกายเนื้อสูงจนน่ากลัว
หากเป็นคนธรรมดา หรือแม้แต่คนของตระกูลขุนนางกับศิษย์ในสำนัก ก็ไม่แน่ว่าจะมีแรงปักดาบกลับลงไป
กระนั้นสำหรับลู่เซิ่ง ไม่ต่างจากการถอนไม้จิ้มฟัน
‘เอาล่ะ ควรกลับได้แล้ว’ ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลดาบยาวที่ใช้เป็นตราประทับอีก หมุนตัวก้าวฉับๆ ออกจากเรือน
……………………………………….