ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 222 สามคืน (4)
บทที่ 222 สามคืน (4)
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปจะกดมือลงบนประตู
สุดท้ายเขาก็ยังลังเล
ความจริงตั้งแต่แรกเริ่ม หลังจากรู้จักงานชุมนุมร้อยเส้นสาย เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าร่วม การล่มสลายของสำนักมารกำเนิดเป็นสิ่งที่แน่นอนแล้ว นี่เป็นการคัดสรรโดยธรรมชาติ ต่อให้เขาช่วยได้ชั่วคราว ก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากว่าเขาจะปฏิวัติทั้งสำนักโดยสิ้นเชิง
แต่ว่าลู่เซิ่งก็ไม่มีความคิดแบบนี้
เขาเป็นแค่แขกที่ผ่านทางมา เป้าหมายที่เข้าร่วมสำนักมารกำเนิดก็ไม่มีอะไรนอกจากเพื่อร่ำเรียนวิชาลับ ศึกษาความลับของตระกูลขุนนางและสถานการณ์ในปัจจุบันให้มากกว่าเดิม
หยุดยั้งลง ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจอย่างเงียบเชียบ สองมือออกแรงผลักประตูช้าๆ
ครืนๆ…
ประตูที่หนักอึ้งและขึ้นสนิมส่งเสียงเสียดสีกันอย่างรุนแรงตอนถูกผลักออก
พร้อมกับที่ประตูค่อยๆ เปิด สายตาลู่เซิ่งก็ไปอยู่ที่หลังประตู
“อ้อ? มีคนออกมาจากตรงนี้จริงๆ หรือนี่” คาดไม่ถึง เงาคนสูงใหญ่ห่อหุ้มตัวในผ้าสีดำ กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นด้านนอกประตูด้วยความเบื่อหน่าย
หลังประตูเหล็กเป็นถ้ำใต้ดินที่แห้งผากและโล่งเตียน จากตรงนี้เห็นแสงสว่างสีขาวด้านนอกถ้ำได้
แต่ว่าตอนนี้ทางออกเพียงหนึ่งเดียวของเส้นทางนี้กลับถูกคนขวางไว้
ลู่เซิ่งเพ่งมองคนผู้นี้ ไม่มีปฏิกิริยาอยู่ชั่วขณะ
“หือ? อึ้งไปเลยหรือ” เงาคนสูงใหญ่ค่อยๆ ลุกจากพื้น สะพายดาบประหารมารเล่มใหญ่เล่มหนึ่งไว้ด้านหลัง “ไม่แปลก คนที่เห็นข้าใต้เท้าหมีปีศาจ จะตกใจก็ถือว่าปกติ”
เขาพลิกมือชักดาบใหญ่จากด้านหลังออกมา แล้วสาวเท้าเดินเข้าหาลู่เซิ่ง
“จำเอาไว้ คนที่ฆ่าเจ้าคือ เทพสัญจร สยง!”
กระแสอากาศไร้สีกลุ่มหนึ่งกระจายออกมาจากร่างของเขา เงามืดของร่างที่สูงเกือบสองหมี่กว่าๆ บดบังลู่เซิ่งไว้ ดาบยาวสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งบนมือเขายกขึ้นช้าๆ ตัวดาบขนาดยักษ์ถึงขั้นที่ด้านข้างก็กว้างเท่าลำตัวของลู่เซิ่ง
“ตายซะ!”
ดาบคมถูกชูสูงขึ้น แล้วฟันลงใส่ศีรษะลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมองดาบคมที่ฟันเข้ามาหา พลันแสยะยิ้ม เห็นฟันแหลมเล็กเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายบางชนิด
เขาพลันยกมือขึ้น
ตูม!
เสียงดังอึงอล กระแสอากาศอันรุนแรงพัดกระจายระหว่างคนทั้งสอง คลื่นเสียงที่กระเพื่อมขึ้นเพราะพละกำลังอันมหาศาลสั่นสะเทือนจนถ้ำสั่นไหว
“เจ้า…!?” เทพสัญจรหมีปีศาจหยีตา มองดูลู่เซิ่งที่ใช้มือรับดาบของตนไว้
“นี่ดาบหรือว่าไม้จิ้มฟัน” อีกด้านของดาบคม ลู่เซิ่งสายตาเคร่งขรึม บีบเบาๆ
กร๊อบ
เศษคมดาบเล็กละเอียดร่วงตกพื้น ดาบใหญ่อันทนทานถูกเขาบีบเป็นช่องช่องหนึ่ง
“อ้าว แตกเสียแล้ว” ลู่เซิ่งมองเศษดาบในมืออย่างประหลาดใจ แล้วโยนทิ้ง “เดิมคิดจะไปอยู่แล้ว น่าเสียดาย…ไม่ใช่ข้าไม่อยากไป แต่ว่า…” เขาเลียริมฝีปาก ในดวงตาปรากฏประกายดุร้าย
“ข้าเกลียดขยะที่เอาของเล่นออกมาอวดไปทั่วอย่างเจ้าที่สุด!”
ตูม!
แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน ลู่เซิ่งร่างขยายจนใหญ่ยักษ์ พริบตาเดียวก็สูงถึงสามหมี่กว่าๆ เขาฟาดฝ่ามือใส่เอวของหมีปีศาจ
หมีปีศาจยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รู้สึกฟ้าดินหมุน ถูกตบกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับผนังหินเหมือนกระสุนปืนใหญ่
ตูม! อ๊าก!
หมีปีศาจอ้าปาก ตัวจมลงไปในผนัง ลูกตาแทบถลนออกจากเบ้า พ่นน้ำลายออกมา ร่างบิดงอเหมือนกับกุ้งแห้ง
เทียบกับลู่เซิ่งที่สูงสามหมี่กว่าๆ หมีปีศาจที่สูงแค่สองหมี่เหมือนกับเด็กยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ อ่อนแอเหลือประมาณ
“อือ…ไม่ได้เหยียดเนื้อเหยียดตัวมานาน หดตัวมาตลอด กระดูกถูกเบียดจนอึดอัดไปหมด…” ลู่เซิ่งขยับแขนและไหล่ คล้ายกับพึงพอใจกับสภาพในตอนนี้มาก
สภาพสูงสามหมี่กว่าๆ นี้ความจริงเป็นสภาพปกติที่แท้จริงของเขา ร่างสูงเท่าคนปกติเมื่อก่อนหน้าคือเขาใช้วรยุทธ์ประเภทวิชาหดกระดูดบีบร่างเอาไว้ ทำให้ตนดูไม่เตะตา เหมือนกับคนทั่วไป
แต่ความจริงที่เหมือนกับคนธรรมดานั่น ต้องเดินหลังงอ ไม่ดีต่อร่างกาย
กร๊อบ
หินย้อยที่ใหญ่เท่าขาหลายท่อนบังไม่ให้ลู่เซิ่งขยับแขน ขา ถูกเขาชนหัก
“เจ้า…เจ้า! เป็นตัวอะไร” หมีปีศาจที่ตัวฝังอยู่ในรูบนผนังถ้ำเบิกสองตา ใบหน้าแตกตื่นหวาดกลัว
ตอนนี้ปากเขาเต็มไปด้วยเลือด ตา หู จมูกมีเลือดไหลออกมาด้านนอกไม่หยุด
ครั้งนี้ลู่เซิ่งเหมือนโจมตีธรรมดา ทว่าความจริงแค่พิษอัคคีจากวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่โคจรโดยอัตโนมัติก็ทำให้หมีปีศาจป้องกันไม่ไหวแล้ว บวกกับผลทิ่มแทงของปราณขวดสมบัติ เข้าไปคว้านอวัยวะภายในร่างเขาจนแหลกเหลว ยังกล่าววาจาต่อได้โดยไม่ตาย ถือว่าหมีปีศาจมีพลังฟื้นตัวน่าทึ่งแล้ว
“ข้าหรือ” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปจับคอเขา แล้วยกขึ้นมา “ข้าก็แค่มาพักร้อน”
เขายกหมีปีศาจมาด้านหน้าตัวเอง
“ทำไมแต่ละคนต้องบังคับข้าด้วย ทำงานเหนื่อยมานาน ลาพักร้อนก็ผิดหรือ”
“ข้า…พวกเรา คือว่า…” หมีปีศาจคล้ายสังหรณ์อะไรบางอย่าง จิตใจเต้นรัว รีบร้อนอ้าปากกำลังจะพูด
“คนที่ขัดขวางการพักร้อนของข้า ล้วนต้องตาย!” ลู่เซิ่งไม่รอให้เขาพูดจบ ก็จับศีรษะเขาแล้วบีบอย่างแรง
โผละ
ศีรษะของหมีปีศาจถูกเขาบีบแหลก แล้วกระชากลงมา
ฟุ่บ! ศพลุกไหม้ ไม่กี่ลมหายใจก็กลายเป็นฝุ่นดำ
โยนฝุ่นดำในมือทิ้ง
ลู่เซิ่งกวาดตามอง นอกจากคนผู้นี้คล้ายไม่มีคนอื่นอีก จึงแค่นเสียง กลับสู่สภาพเดิม
‘ถึงอย่างไรก็ยังเหลือเวลา เรายังอ่านหนังสือไม่จบ ไปแบบนี้ก็เสียการเตรียมตัวมากมายก่อนหน้านี้ไปฟรีๆ’
คล้ายกับหาเหตุผลที่ไม่เลวให้ตัวเองได้ ลู่เซิ่งเห็นผ้าสีดำทนทานบนร่างอีกฝ่าย ผ้าสีดำตกอยู่บนพื้น บางส่วนฉีกขาด แต่อย่างน้อยก็สภาพดีกว่าผ้าขี้ริ้วบนตัวเขา
จึงหยิบมาคลุมร่างโดยไม่ลังเล
‘คุณภาพไม่เลว หดได้ยืดได้ ดูเหมือนคนจากตระกูลขุนนางจะเจอเรื่องกระอักกระอ่วนแบบนี้บ่อยๆ เหมือนกัน เลยทำขึ้นเป็นพิเศษ เดี๋ยวค่อยให้ซั่งหยางจิ่วหลี่ทำให้เราสักตัว’ ลู่เซิ่งค้นพบอย่างประหลาดใจว่าอาภรณ์สีดำนี้แข็งแรงมาก มีความยืดหยุ่นถึงขีดสุด
เขาตรวจสอบของอื่นๆ ที่กระจายอยู่เต็มพื้น
หมีปีศาจเป็นแค่ตัวละครเล็กจ้อย เทพสัญจรที่เขาพูดถึงก่อนหน้านี้คล้ายเป็นชื่อองค์กร และในเมื่อเป็นองค์กร จะต้องมีสหายร่วมงาน
‘ดูเหมือนที่อาจารย์จัดให้เราใช้เส้นทางลับตรงนี้คงเพราะคาดเดาได้ว่าจะมีศัตรูมาจู่โจม เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีคนถูกจัดมาเฝ้าไว้ แม้คนที่เฝ้าทางจะเป็นไก่อ่อนก็ตามที แต่ข้อมูลลับแบบนี้จะต้องมีคนแพร่งพรายแน่’
ลู่เซิ่งเก็บของที่กระจายเต็มพื้นขึ้นมาจนหมดโดยใช้เวลาไม่นาน
นอกจากแผ่นป้ายแขวนเอวแตกหักส่วนหนึ่ง ก็เหลือแค่ถุงเงินที่ขาดเป็นรู ด้านในบรรจุเงินดำส่วนหนึ่ง ยังมีผ้าสีขาวเหมือนกับผ้าพันคออีกผืนหนึ่งด้วย
“กลับไปค่อยว่ากัน” ลู่เซิ่งยัดทุกอย่างใส่กระเป๋าด้านนอกของอาภรณ์สีดำ ก่อนหมุนตัวก้าวยาวๆ กลับทางเดิม
เขาคุ้นกับเส้นทางเส้นนี้แล้ว จึงเหินบินด้วยความเร็วสูง หลังจากฝึกฝนวิชาแสงมายากระทืบพสุธาสำเร็จ ความเร็วในการระเบิดก็เหนือกว่าสภาพปกติมาก เร็วกว่าเมื่อก่อนหน้าไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า
…
ตำหนักวิชาลับ
“วิชาลับ สัตย์ราตรี!” ผู้อาวุโสใหญ่ฟันมือขวาออกไปดุจดาบ สองขากระโดดขึ้นด้านบนอย่างแผ่วเบา ตอนแรกงอตัว จากนั้นถีบเท้าออกอย่างแรง
ขณะเดียวกัน ในร่างเขาก็ระเบิดไอสีดำที่เข้มข้นเหมือนกับน้ำหมึกออกมา นี่เป็นไอมารพิษร้ายที่เขากักเก็บไว้ในกาย ฝึกฝนมาหลายปี
แต่ก็ไร้ประโยชน์
คนชุดดำสองคนประสานกันอย่างมั่นอกมั่นใจ หลีกหลบหนึ่งดาบหนึ่งเท้าของเขาได้อย่างสบาย พวกเขามีท่าร่างที่เร็วมาก ผู้อาวุโสใหญ่ใช้วิชาลับไปครึ่งหนึ่ง พริบตาเดียวพวกเขาก็เปลี่ยนวิธีรับมืออีกแบบแล้ว
ทั้งสองคนนี้ไม่ว่าใครก็สู้พลังของผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้ ได้แต่ฝืนก้าวข้ามขอบเขตระดับอสรพิษ
แต่พอทั้งสองร่วมมือกัน อานุภาพที่บังเกิดขึ้นแม้แต่เจ้าสำนักประสบการณ์มากที่อยู่ในระดับสามขั้นล่างมานานเช่นผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังสู้ไม่ได้ ได้แต่เพลี้ยงพล้ำอย่างต่อเนื่อง
อสรพิษดำมารหยินถูกโจมตีจนสลายไป ราชสีห์มารหยินที่สิงร่างเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งก็หายไปจนหมดสิ้น
ทั้งสามคนปะทะกันไปมาในลานลงทัณฑ์ ดูไม่ต่างจากยอดฝีมือในยุทธจักรทั่วไปประมือกัน แต่ว่าอันตรายสุดที่ยอดฝีมือในยุทธจักรจะจินตนาการได้
ทั้งสองฝ่ายเพียงสะกิดกันครั้งเดียว ไม่ว่าจะหักกระดูกหรือเฉือนเนื้อ ก็ฟื้นฟูสู่สภาพเดิมได้ด้วยความเร็วสูงสุด ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างทั้งสามจึงกลายเป็นการผลาญพลังไป
การต่อสู้ของสำนักสายเลือดตระกูลขุนนางส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ นอกจากพลังแตกต่างกันมาก ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจจบลงอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่!?” ไหล่ผู้อาวุโสใหญ่ถูกฟันเป็นแผลสายหนึ่งอีกครั้ง คมทวนแหวะเลือดเนื้อ ตัดกระดูกในพริบตา ของที่เหมือนกับโคลนสีดำจำนวนมากจากบนทวนวงเดือนเกาะติดปากแผล ห้ามการสมานตัว
“พวกเราคือเทพสัญจร” คนชุดดำคนหนึ่งพลิกตัวชักทวนวงเดือนกลับไป ตอบเสียงแผ่วต่ำ
“ลิ่วซานจื่อ จำจดหมายสามเหลี่ยมสีดำที่ได้รับก่อนหน้านี้ได้หรือไม่” อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างราบเรียบ “ถ้าหากว่าตอนนั้นเจ้าตอบรับ อย่างนั้นวันนี้จะกลายเป็นสมาชิกของพวกเรา ไหนเลยมีจุดจบเช่นนี้”
ผู้อาวุโสใหญ่พลันงุนงง ก่อนจะนึกถึงเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ได้เจอก่อนหน้า
ตอนนั้นเขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้านบนเขียนไว้ว่าขอเชิญเขาเข้าร่วมองค์กรลึกลับองค์กรหนึ่ง ต่อสู้เพื่อรักษาความสงบในสำนักร้อยเส้นสาย
ตอนนั้นเขานึกว่ามีคนล้อเล่นกับเขา จึงไม่ได้ใส่ใจ และไม่สนใจการติดต่อในภายหลังของอีกฝ่าย ตอนนี้นึกไม่ถึง…
เขาคว้านเนื้อรอบๆ ปากแผลทั้งหมดออก ร่างกายเริ่มงอกเนื้อและกระดูกขึ้นมาใหม่ ซึ่งตาเนื้อเห็นได้
ราชสีห์มารหยินมอบความเร็วและพลังทำลายล้างให้เขามากกว่าเดิม โดยเฉพาะอัคคีพิษสีดำชนิดนั้น เป็นอัคคีหมอกพิษที่มีเฉพาะในวิชาสดับสงัดอันเป็นวิชาลับมารกำเนิด ถึงขั้นก่อเกิดการคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อสายเลือดที่ประกอบด้วยอาวุธเทพศัสตรามารของตระกูลขุนนาง
ทว่าคนชุดดำสองคนนี้เป็นตัวประหลาด พวกเขาไม่สนใจการคุกคามจากอัคคีพิษ ความเร็วก็ไม่ต่างจากเขามาก มีพลังทำลายล้างไม่เยอะนัก แต่ร่วมมือกันได้อย่างน่ากลัว ไม่ว่าครั้งไหนก็ป้องกันสภาวะโจมตีของเขาได้หมด ให้ความรู้สึกเหมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็กกล้า
“ทั้งสองท่านรีบจัดการเขาเถอะ พวกเราจะเสียเวลาที่นี่นานไม่ได้” คนชุดดำต่ำเตี้ยตะโกนเร่ง
“ก็ได้” คนชุดดำคนหนึ่งถอยหลังอย่างฉับพลัน “ทำให้จบเร็วก็ดีเหมือนกัน” เขาหมุนทวนวงเดือนในมือด้วยความเร็วสูง ปลายทวนส่องแสงสีแดงแยงตา
ความรู้สึกถูกคุกคามอันรุนแรงพลันเกิดขึ้นในใจผู้อาวุโสใหญ่ เขามองการเคลื่อนไหวของคนชุดดำในเวลานี้ สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ นึกอะไรได้
‘วิธีเคลื่อนไหวแบบนี้…หรือว่า…!!?” เขาอ้าปาก เปลวเพลิงสีดำทั่วร่างกลายเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ด้านหน้า หมายจะขัดขวางอีกฝ่าย
……………………………………….