ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 223 ปลอมแปลง (1)
บทที่ 223 ปลอมแปลง (1)
ทวนวงเดือนกลายเป็นสีแดงฉาน ส่องแสงสีแดงเจิดจ้าระยิบระยับ ใจกลางปรากฏลวดลายสามเหลี่ยมที่ซับซ้อน นั่นเป็นสัญลักษณ์ของอาวุธเทพศัสตรามาร บ่งบอกว่าอาวุธเล่มนี้ได้รับการส่องประกายเสริมพลังจากแสงแห่งอาวุธเทพ
อาวุธที่ได้รับการฉายรังสีพลังแห่งอาวุธเทพ น่ากลัวถึงขนาดไหนกันแน่
ผู้อาวุโสใหญ่สัมผัสได้อย่างรวดเร็ว
“ทวนอสรพิษเก้าเงาวายุ!”
ทวนวงเดือนในมือคนชุดดำหมุนเป็นพายุ พายุไร้รูปร่างเหมือนถูกมัดไว้รอบๆ ทวนเหมือนกับผืนผ้า ส่งเสียงหวีดหวิวเสียดหู ฟันใส่ผู้อาวุโสใหญ่
‘ป้องกันไม่ได้!’ ผู้อาวุโสใหญ่ทราบความร้ายกาจของการโจมตีนี้ดี ตอนที่ทวนอสรพิษเก้าเงาวายุแข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่ตอนฟันออกมา แต่เป็นพริบตาที่ทวนถูกขวางไว้อย่างแท้จริง
การฟันแบบนี้มิใช่เพื่อให้โดนตัว แต่เพื่อให้อีกฝ่ายป้องกันโดยขวางไว้ได้ง่ายกว่าเดิม
ถอย!
ผู้อาวุโสใหญ่ดีดตัวไปด้านหลัง กระโดดสุดกำลัง งอตัวเหมือนกับลูกหนังที่มีแผงคอสีดำกลุ่มหนึ่ง
“ไม่มีประโยชน์” คนชุดดำก้าวไปด้านหน้าอย่างแผ่วพลิ้ว ร่างโผล่ขึ้นด้านข้างผู้อาวุโสใหญ่เหมือนเคลื่อนย้ายในพริบตา แล้วฟันทวนวงเดือนในมือใส่
ด้วยความจนใจ ผู้อาวุโสใหญ่ได้แต่ยกสองมือขึ้น คิดจะจับคมทวน
แต่ว่าพอกำไว้ ม่านตาเขากลับหดตัวอย่างฉับพลัน
ทวนวงเดือนกลายเป็นกึ่งโปร่งแสง ทะลุสองมือของเขา พลังและความเร็วบนคมทวนทวีเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัวขณะฟาดลงมา
ฟุ่บ!
ทวนวงเดือนสีแดงฉานวาดเป็นม่านทวนสีแดงเข้มราวโลหิต
หมับ!
พลันถูกมือใหญ่สีดำแกมเขียวจับไว้อย่างมั่นคง
คมทวนวงเดือนห่างจากคอของผู้อาวุโสใหญ่ไม่กี่หลีหมี่ (เซนติเมตร) แต่ว่าไม่กี่หลีหมี่นี้กลับถูกมือใหญ่ที่เหมือนไม่ใช่ของมนุษย์จับไว้
“เล่นพอหรือยัง” ลู่เซิ่งเดินออกมาจากด้านหลังผู้อาวุโสใหญ่อย่างช้าๆ เขาชักมือข้างหนึ่งกลับจากด้านหลังศีรษะผู้อาวุโสใหญ่เบาๆ พร้อมประคองอาจารย์ที่ถูกเขาฟาดหมดสติไป
อีกมือหนึ่งจับปลายทวนวงเดือน เหมือนกับจับกิ่งไม้ที่เรียวเล็กและอ่อนแอ ก่อนหักเบาๆ
เปรี้ยง!
พื้นผิวของทวนวงเดือน ระเบิดออกเป็นแสงสีแดง จากนั้นก็แตกหัก
“เจ้า…!”
คนชุดดำทั้งสองคนแตกตื่น ถอยหลังไปพร้อมกัน
เหตุใดมนุษย์จึงใช้กายเนื้อต้านทานอาวุธที่แสงแห่งอาวุธเทพส่องใส่ได้
“มาร! พวกมันเก็บมารไว้หรือนี่?!” ไม่ไกลออกไปเงาคนต่ำเตี้ยสายหนึ่งถอยหลังติดต่อกัน น้ำเสียงแตกตื่นหวาดกลัว
“ไม่…เพียงแค่กายเนื้อแข็งแกร่งมากเท่านั้น” คนชุดดำอีกคนกล่าวเสียงทุ้ม เขม้นมองลู่เซิ่ง “ไม่ว่าท่านจะลงมือช่วยเหลือคนผู้นี้เพราะอะไร การล่มสลายของสำนักมารกำเนิดก็แก้ไขไม่ได้แล้ว งานชุมนุมเริ่มเมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น”
“มุสิกซ่อนหัวแต่ยังเผยหาง พูดกับพวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยง” ลู่เซิ่งโยนเศษทวนวงเดือนในมือทิ้ง
“ระดับอสรพิษหัวมังกุท้ายมังกรแค่สามคน…” ทันใดนั้นลู่เซิ่งงงงันเล็กน้อย มองไปยังที่ไกล
“อ้อ ผิดแล้ว ยังมีคนที่ใช้ได้อยู่อีกคนหนึ่ง” เขาหยีตาเล็กน้อย สีหน้ากระตือรือร้นขึ้น
“ไม่ได้ขยับเนื้อขยับตัวมานาน อย่าทำให้ข้าผิดหวังก็แล้วกัน”
“ถอย!”
คนชุดดำทั้งสามคนรีบถอยทันที
แต่สายไปแล้ว พื้นใต้เท้าลู่เซิ่งระเบิดออก พละกำลังอันน่าพรั่นพรึงจากวิชากระทืบพสุธาแสงมายาพลันแยกผืนดินเป็นร่องสีดำผืนใหญ่ อาศัยแรงดีดสะท้อน ความเร็วของลู่เซิ่งพุ่งทะยานถึงระดับที่น่ากลัว
เขาเพียงยกแขนขวาขึ้นขวางไว้ข้างตัวอย่างเรียบง่าย
ผัวะ!
คนชุดดำคนหนึ่งถูกฟาดตกลงมาเหมือนกับแมลงวัน อีกคนถูกลู่เซิ่งชนใส่กลางหลัง ลอยไปกระแทกใส่คนชุดดำต่ำเตี้ยที่อยู่ด้านหน้าเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่
ทั้งสามคนร่วงตกลงพื้นติดต่อกัน กระดูกบนร่างหักกร๊อบ เลือดเนื้อส่วนใหญ่ฟกช้ำ ถูกบีบอัดเป็นก้อน
เงาร่างของลู่เซิ่งโผล่ขึ้นมา ทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
เขาเพียงแค่ชนใส่ด้วยความเร็วสูงสุดเท่านั้น
แค่สภาพหยินโชติช่วงในปัจจุบันของเขาก็มีพลังสมบูรณ์ของระดับสามขั้นล่างแล้ว ความแข็งแกร่งของกายเนื้ออันน่าสะพรึงกลัวกับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่มีพลังทำลายล้างมหาศาล เพียงครู่เดียวก็ฟาดระดับอสรพิษสามคนลงมาได้อย่างสบาย
เพิ่งลงมาถึงพื้น แสงสีแดงหักเหสายหนึ่งก็พุ่งมา เป็นทวนวงเดือน!
คนชุดดำคนหนึ่งอาศัยเวลาชั่วพริบตาที่กำลังตกไปที่พื้น แทงทวนวงเดือนออกมาสุดกำลัง วิชาที่ใช้คือวิชาลับก่อนหน้านี้
“เหมือนวิชาลับที่ใช้เพิ่มความเร็วและพละกำลัง” ลู่เซิ่งยื่นมือไปคว้าไว้ แต่คมทวนกลายเป็นภาพลวงตาอย่างฉับพลัน ทะลุแขนของเขา แทงใส่ทรวงอก
ตึง!
ปลายทวนแทงใส่ทรวงอกลู่เซิ่งอย่างแรง
“เจ้ารู้จักลูกเจี๊ยบไหม” ลู่เซิ่งยิ้มพลางส่ายหน้า มองดูคนชุดดำที่อยู่ใกล้แค่คืบ “ลูกเจี๊ยบตัวเดียวกับสามตัว มันก็เหมือนกันหมด”
หมับ!
ลู่เซิ่งจับคอคนชุดดำไว้ดุจสายฟ้าแลบ
“ทวนเจ้าอ่อนแอเหมือนกับลูกเจี๊ยบ”
โอ้ว…!
คนชุดดำปล่อยทวนวงเดือนในมือ คิดดิ้นให้หลุดจากมือลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง ทว่าความต่างระหว่างพละกำลังอันมหาศาลในมือที่เหมือนเหล็กกล้าข้างนั้นทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่ได้
เขารู้สึกว่าเลือดทั่วร่างของตนกำลังลุกไหม้และร้อนลวก เหมือนกับข้างใต้มีเตาไฟกำลังเผาอยู่
ลู่เซิ่งนอกจากเสื้อที่ถูกฟันขาดตรงหน้าอกแล้ว อีกฝ่ายไม่อาจทำลายผิวหนังของเขาได้
“คนที่รบกวนการพักร้อนของข้าหรือว่าจะเป็นแบบนี้กันหมด” ลู่เซิ่งลากคนชุดดำไปกับพื้น เดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปหาคนสองคนที่กำลังคืบคลานขึ้นมา
“พวกเจ้ายังไม่รู้สึกอีกหรือ ข้าเองก็เป็นสามขั้นล่างเหมือนกัน ขอบเขตเท่ากัน ทำไมพวกเจ้าอ่อนแอขนาดนี้” ลู่เซิ่งยกคนในมือขึ้น แล้วถ่ายเทวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเข้าไป
อ๊าก!
คนชุดดำครวญครางอย่างเจ็บปวด เยื่อดำทั่วร่างกะพริบอย่างรุนแรง คิดขัดขวางการบุกรุกของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ทว่าพลังยุทธ์พันปีของลู่เซิ่งเหี้ยมหาญถึงเพียงไหน พลังงานธาตุหยางอันน่ากลัวไม่ทันไรก็เผาเยื่อดำเป็นรูพรุน จากนั้นก็ชำแรกเข้าไป
“เจ้า… เจ้าตัวประหลาด!” คนชุดดำอีกคนกำลังตัวสั่น เขากำทวนวงเดือนแน่น กลับถอยหลังติดต่อกันโดยไม่รู้ตัว
“นั่นเป็นเพราะเจ้าอ่อนแอเกินไป” ลู่เซิ่งโยนคนชุดดำในมือทิ้งไป ร่างของอีกฝ่ายกำลังลุกไหม้ ดิ้นพล่านๆ ด้วยความเจ็บปวดในกองเพลิงสีแดงฉาน
เขาผิดหวังมาก คนชุดดำที่บุกรุกเข้ามาเหล่านี้มีความเร็วและพละกำลังห่างชั้นกับเขาเกินไป พลังทำลายล้างเองก็น้อยนิด
ในฐานะระดับอสรพิษเหมือนกัน เฉาหลงคนเดียวยังสู้กับพวกเขาได้ถึงห้าคน
นอกจากการป้องกันและพลังฟื้นตัวอันกล้าแข็งที่ระดับอสรพิษควรมีแล้ว พวกเขาก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
ของเหล่านี้เจอกับคนอื่นอาจจะใช้ได้ แต่เมื่อเจอเขา พละกำลังอันยิ่งใหญ่ทำให้เขาเจาะทะลุการป้องกันได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือ แล้วพลังฟื้นตัวเล่า ปัจจุบันพลังทำลายล้างของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานแทบกล่าวได้ว่าเป็นดาวข่มของพลังฟื้นตัวที่อยู่ในสายเลือดด้วยซ้ำ
นี่เป็นสาเหตุที่ทั้งสองคนนี้เพลี่ยงพล้ำอย่างรวดเร็ว
“อ้อ ข้าผิดไป เหมือนพวกเจ้าประสานงานกันได้ไม่เลว แต่ว่าผลลัพธ์ก็เท่านั้น” ลู่เซิ่งมองคนทั้งสองที่เสียขวัญไปแล้วตรงหน้า พลันรู้สึกเบื่อหน่าย
เขาต้องการเข่นฆ่ากับศัตรูในระดับเดียวกัน เป็นการต่อสู้เป็นตาย เป็นสงครามมรณะที่สาแก่ใจ!
ไม่ใช่กากเดนที่ไร้ความหมายแบบนี้
“ช่างเถอะ จบเร็วๆ ดีกว่า อ่อนแอจนไร้คุณสมบัติชมการต่อสู้”
เสียงเพิ่งขาดลง พื้นใต้เท้าลู่เซิ่งก็ระเบิดขึ้น เขาพลันปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของคนชุดดำอีกคนในชั่วพริบตา อาศัยสภาวะฝ่ามือขวาวาดขึ้นด้านบน
ตูม!
แสงสีดำกะพริบบนร่างคนชุดดำอย่างบ้าคลั่ง ลวดลายที่เหมือนกับอักขระหลายสายเปล่งแสงวุ่นวายบนตัว คล้ายกับกำลังมีผลกับเกราะป้องกัน
กระนั้นพละกำลังของลู่เซิ่งก็แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ พลังฝ่ามือที่เหมือนเขาลูกย่อมๆ กระแทกออกไป
ลวดลายแสงทั้งหลายระเบิดกระจุย คนชุดดำชะงักการเคลื่อนไหว ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงด้านหลังเขาอย่างแผ่วเบา อีกมือหนึ่งจับคนชุดดำร่างเตี้ยด้านหน้าไว้
คนผู้นั้นคิดหนี แต่ว่าแค่ถูกเขาแตะ ก็ตกใจจนร่างอ่อนระทวย
“อย่า… อย่าฆ่าข้า! ข้าคือหงชิงเจ้าสำนักเก้ากระดิ่ง!” เงาร่างต่ำเตี้ยตะโกน
“สำนักเก้ากระดิ่งหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
ฟุ่บ!
ศีรษะถึงเท้าของคนชุดดำก่อนหน้านี้แยกเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน ก่อนจะลุกไหม้กลายเป็นฝุ่นดำอย่างรวดเร็ว
“ดูเหมือนจะมีประโยชน์นิดหน่อย” ลู่เซิ่งทดลองถ่ายปราณขวดสมบัติเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย
หงชิงไม่ขัดขืนโดยสิ้นเชิง ปลดพลังป้องกันอย่างให้ความร่วมมือ ปล่อยให้ปราณขวดสมบัติพุ่งตรงเข้ามาจับตัวเป็นข่ายกระเรียนหยินที่ซับซ้อนเหมือนใยแมงมุงในร่างของเขา
ภายใต้การถ่ายปราณหยินของลู่เซิ่ง ข่ายกระเรียนหยินจับตัวกับเลือดเนื้อและกระดูกบนร่างของหงชิงอย่างแนบแน่น หนำซ้ำยิ่งจับยิ่งแข็งแรง
แต่พอนึกได้ว่าพลังฟื้นตัวของระดับอสรพิษแข็งแกร่ง ต่อให้ร่างกายเสียเลือดเนื้อไปมากกว่าครึ่งก็งอกกลับมาใหม่ได้ ลู่เซิ่งก็ถ่ายวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานอีกส่วนหนึ่งให้
เป็นเพราะหงชิงไม่ได้ฝึกปราณภายใน ขณะโคจรพลังในข่ายกระเรียนหยิน วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานไม่นานก็ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง
ขอแค่เขามีปัญหา ลู่เซิ่งเพียงใช้ความคิด ก็กระตุ้นปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน เพื่อให้มันเผาไหม้จากด้านในจนหงชิงตายทั้งเป็นได้
แม้ว่าเยื่อดำระดับอสรพิษจะมีอานุภาพสูงสุด เพราะจับตัวเป็นรูปงูได้ ทว่าพลังป้องกันหลักๆ อยู่ด้านนอก ไม่มีการป้องกันแข็งแกร่งอะไรต่อด้านในร่างกาย
“พวกเจ้ายังมีอีกกี่คน” ลู่เซิ่งถาม
“เรียน…เรียนใต้เท้า พวกเรามีเทพสัญจรสามคน ท่านฆ่าไปสอง ยังเหลืออีกหนึ่ง ความจริงเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด จัดเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของเทพสัญจร” หงชิงรีบตอบ
“นอกนั้นเล่า” ลู่เซิ่งมองผู้อาวุโสใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้น ความจริงเขาคิดจัดการคนที่ดูเหมือนแข็งแกร่งมากทางด้านนั้น ไม่แน่ว่าจะใช้สภาพหยางโชติช่วงได้
แต่ดูแล้ว เขาเป็นห่วงว่าเมื่อตนจากไป อาจารย์จะโดนคนอื่นหาช่องโหว่กำจัดทิ้ง
“สองคนนี้เป็นหนึ่งในเจ้าสำนักหรือ” เขาถามลอยๆ
พลังระดับอสรพิษ ย่อมไม่ใช่ชนชั้นไร้ชื่อ
“ขอรับ พวกเขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักธวัชราชินี” หงชิงตอบเบาๆ
ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง เขาเพียงถามไปเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าสำนักสองคนจริงๆ
ร้อยเส้นสายนี้ น่าสนใจเล็กน้อย
เขามองทิศทางของกลิ่นอายที่อยู่ไกลออกไป กลิ่นอายที่ต่างจากสำนักมารกำเนิดโดยสิ้นเชิงที่ลอยมาจากด้านนั้นเหมือนกับเปลวเพลิงลุกไหม้
หลังมาถึงขั้นประสาทสัมผัสปราดเปรียวอย่างพวกเขา ก็จะสัมผัสการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติซึ่งเกิดในสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้ และเมื่ออยู่ๆ สภาพแวดล้อมมีสิ่งผิดปกติโผล่มา ก็ย่อมทราบอย่างชัดเจน
“ต้องขอพบหน้าสักหน่อย”
ลู่เซิ่งชักทวนวงเดือนที่ปักบนพื้นขึ้นมาเบาๆ
…
คนชุดดำเดินเอื่อยๆ บนทางหลักของสำนักมารกำเนิด บนหน้าผาหินที่สูงชันและขุระขระทั้งสองฟากบางครั้งก็เห็นอักขระที่สลักอยู่มีขนาดแตกต่างกันมากมาย
ตำแหน่งที่เขาอยู่เห็นศิษย์สองสามคนที่กำลังสู้กับเหอเซียงจื่อซึ่งอยู่ไกลออกไปได้พอดี นั่นเป็นศิษย์ที่เขาสอนด้วยตัวเอง พาออกมาเพื่อฝึกให้ชินกับเลือด
ส่วนเทพสัญจรอีกสองคนที่ร่วมทาง ล้วนไม่ชมชอบอยู่กับเขา เขาแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเกินไป แค่ยืนกับเขา ก็ทำให้คนรู้สึกถึงแรงกดดันแล้ว
……………………………………….