ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 227 ขีดจำกัดและกฎเกณฑ์ (3)
บทที่ 227 ขีดจำกัดและกฎเกณฑ์ (3)
ซู่…
มีเสียงเนื้อละลายอันแผ่วเบา ลู่เซิ่งชักนิ้วกลับ นิ้วชี้ของเขาฝ่อลีบโดยสิ้นเชิง
สีหน้าเขาเคร่งขรึมลง ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นอีก
ในมุมที่ผู้อาวุโสใหญ่มองไม่เห็น นิ้วกลางของเขาเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็ว ใหญ่ขึ้นและเป็นสีดำ เล็บกลายเป็นแหลมคมสุดเปรียบปานราวกับคมมีด
นี่เป็นสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง หลังจากฝึกฝนวิชาลับ ลู่เซิ่งก็ควบคุมกายเนื้อมัดเล็กได้คล่องขึ้น ในที่สุดก็ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายในขอบเขตเล็กๆ ได้
หยินหยางรวมเป็นหนึ่ง บวกกับการเผาไหม้ปราณภายใน!
ดวงตาลู่เซิ่งปรากฏความแน่วแน่
จะลองทั้งทีต้องจัดเต็ม ปัจจุบันสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง ปราณเหลวเผาไหม้ กายเนื้อในสภาพนี้สามารถบดขยี้ระดับอสรพิษสามขั้นกลางได้นานแล้ว ปัจจุบันแม้ไม่เคยเจอระดับสามขั้นบน กระนั้นลู่เซิ่งก็เดาว่าตนเองอาจใกล้เคียงกับระดับนั้น
‘ขอดูหน่อยเถอะว่าสภาพสุดกำลังของตัวเองเทียบกับผู้ใช้อาวุธแล้ว ต่างกันขนาดไหน’
เขายื่นนิ้วไปอีกรอบ
ซู่…
พลังงานอันยิ่งใหญ่ในอากาศสายนั้นหมุนช้าๆ
ลู่เซิ่งรู้สึกว่านิ้วมือของตนเหมือนกับถูกของหนักอึ้งกดทับ ในใจเกิดความเจ็บปวด รีบชักนิ้วกลับมาดู
นิ้วกลางถูกกัดกร่อนจนแห้งเหี่ยว กลายเป็นสีดำ แม้แต่พลังของปราณเหลวด้านในก็หายไปในพริบตา คล้ายหายไปอยากลึกลับ
‘นี่มัน…’ เขาบังเกิดความเย็นเยียบในใจ สัมผัสได้อย่างแท้จริงถึงความแตกต่างอันมหาศาลระหว่างพลังของคนและอาวุธเทพศัสตรามาร
‘นี่…ไม่เหมือนกับของที่เอาไว้ใช้ฝึกฝน!’ ลู่เซิ่งย้อนนึกถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ไร้อารมณ์เมื่อครู่ วิธีการสะท้อนกลับนั้นเหมือนกับกลไกตอบสนองบางอย่าง หมุนอย่างช้าๆ คล้ายกับฟันเฟืองเล็กๆ ที่ขอบเครื่องยนต์ยักษ์
‘หรือว่าอาวุธเทพศัสตรามารที่ว่านี่ความจริงเป็นอาวุธสงครามที่ตกทอดมาจากอารยธรรมก่อน’
ลู่เซิ่งมั่นใจในกายเนื้อของตัวเองมาก เขาเชื่อว่าในยุคสมัยนี้ ในโลกนี้ ต่อให้เป็นในตระกูลขุนนางและมารปีศาจ คนที่กายเนื้อแข็งแกร่งกว่าตน จะต้องมีน้อยนิดถึงขีดสุด
เขาแทบเป็นตัวแทนของคนที่กายเนื้อแข็งแกร่งที่สุดในโลกใบนี้ ระดับชั้นแบบนี้พอเผชิญกับพลังของชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ยังทนทานไม่ไหว
พลังของชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังสู้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เองไม่ได้ อาวุธศักดิ์สิทธิ์เดิมทีมีแค่อานุภาพหนึ่งส่วนของอาวุธเทพศัสตรามารเท่านั้น
เป็นที่ทราบได้ว่า ผู้ถืออาวุธที่ควบคุมอาวุธเทพศัสตรามารมีพลังน่ากลัวขนาดไหน
“รู้สึกได้รึยัง อานุภาพของกฎเกณฑ์” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเสียงทุ้มด้านหลัง “ตระกูลขุนนางที่ใช้พลังแบบนี้ หรือพวกตระกูลขุนนางที่อาศัยพลังระดับนี้ยืนอยู่ในระดับไหน เจ้าคงจะเข้าใจแล้ว”
“อาจารย์ หรือว่าไม่มีวิธีต่อสู้กับตระกูลขุนนางจริงๆ” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
“อาวุธเทพศัสตรามารมีนิสัยกับความคิดเฉพาะ ควบคุมไม่ได้ ทว่าพลังแบบนี้เป็นพลังที่มนุษย์ไม่มีทางต้านทานได้ ดังนั้นพวกเราจึงทดลองสร้างอาวุธเทพศัสตรามารของตัวเอง หรือก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็น พวกเราล้มเหลว เพียงสร้างสิ่งของที่คลับคล้ายคลับคลา แม้จะพอฝืนควบคุมได้ แต่อานุภาพกับความปราดเปรียวด้อยกว่าพวกเขาโข” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าไม่มีทางจินตนาการถึงประวัติศาสตร์ช่วงนั้นออก เพื่อสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ร้อยเส้นสายจ่ายค่าตอบแทนที่ยากจินตนาการไปเท่าไหร่”
“สร้างอาวุธเทพศัสตรามารของตัวเองหรือ?” ลู่เซิ่งกล่าวทวน
“ถูกต้อง นี่เป็นวิธีเดียวที่ทำได้ อาวุธเทพศัสตรามารเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งรู้กันดีอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ ขุมกำลังที่ควบคุมพลังเช่นนี้แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้ายืนยัน
อาวุธสงครามแบบนี้…สู้ยากอย่างแท้จริง
ลู่เซิ่งมองบ่อน้อยสีน้ำเงิน เขาจินตนาการเห็นความยากลำบากและค่าตอบแทนในตอนที่สำนักต่างๆ ทุ่มเทเพื่อสร้างอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้
“อย่างนั้นวิชาลับเล่า” ลู่เซิ่งพลันถาม “ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งวิชาลับอยู่ในขอบเขตสูงสุด เมื่อเผชิญกับพลังแบบนี้…”
“บูรพาจารย์อวิ๋น ผู้ที่สำเร็จวิชาไร้มูลเหตุของสำนักมารกำเนิดเคยทำการศึกษาด้านนี้” ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ
“ข้อสรุปคือ สิ่งที่วิชาลับใช้คือพลังกำเนิดทั่วไป หากอาวุธเทพศัสตรามารเป็นตัวแทนพลังกฎเกณฑ์ระดับปฐม นี่น่าขำ เหมือนมนุษย์คิดอาศัยวรยุทธ์ต่อสู้กับภูตผีปีศาจ วรยุทธ์เมื่อฝึกถึงระดับสูงสุด ก็แค่ทำให้เหล่ามารปีศาจต้องเคี้ยวเพิ่มสองสามคำเท่านั้น”
“พลังกำเนิดทั่วไป? พลังกฎเกณฑ์ระดับปฐม? นี่เป็นการแบ่งอะไร” พอได้ยินการเปรียบเทียบนี้ ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อย ก่อนถามต่อ
“เป็นแค่นิยามการแบ่งง่ายๆ เท่านั้น” ผู้อาวุโสใหญ่ส่ายหน้า “อย่างเช่น ถ้าบอกว่าสิ่งที่พวกเราฝึกใช้เป็นไฟธรรมดา อย่างนั้นสิ่งที่อาวุธเทพใช้ก็เป็นเปลวเพลิงของพระอาทิตย์ เป็นอาวุธสังหารที่มีบันทึกอยู่แต่ในเทพนิยายเท่านั้น นี่คือความแตกต่าง”
ลู่เซิ่งพยักหน้า เข้าใจคร่าวๆ แล้ว
“พลังกำเนิดทั่วไปหมายถึงพลังงานหลังกำเนิดทั้งหมดที่สามารถใช้และฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นได้ อย่างเช่นปราณภายในของมนุษย์ หรือปราณมารของพวกเรา ส่วนพลังกฎเกณฑ์ระดับปฐมหมายถึงสิ่งที่ไม่อาจถูกใช้ มีอานุภาพแข็งแกร่งสุดขีด ระดับและคุณสมบัติเหนือกว่าพลังงานของพลังกำเนิดทั่วไปมาก ไม่ใช่ระดับเดียวกันอยู่แล้ว เหมือนกับกระถางติ่งสามหยาง ศัสตรามารที่ก่อให้เกิดภัยแล้งในแคว้นเมฆา ด้านในของสิ่งนี้กักเก็บควันสามหยางอันไร้สิ้นสุด พลังของประมุขตระกูลอยู่ต่อหน้ามันก็ถูกมองข้าม ไม่ต่างจากธารน้ำด้านหน้ามหาสมุทร ตระกูลขุนนางมากมายในแคว้นเมฆาถูกทำลายเช่นนี้ ภายหลังผู้ถืออาวุธของพวกเขาที่ไปที่อื่นก็ไปที่อื่น ที่กลับได้ก็กลับมา ร่วมมือกับตระกูลขุนนางด้านนอก ค่อยสะกดกระถางติ่งสามหยางได้ ตอนนั้นพูดได้ว่าเมฆแดงกระจายเต็มฟ้า ผืนแผ่นดินแห้งผาก ไอน้ำลอยคละคลุ้ง ดินแดนรกร้างเป็นพันลี้ยังถือว่าน้อยไป” ผู้อาวุโสใหญ่สะท้อนใจ
“เอาล่ะ พูดไปไกลแล้ว ที่เล่ามากมายขนาดนี้ อาจารย์เพียงอยากบอกเจ้าว่า สิ่งที่วิชาลับฝึกฝนคือพลังกำเนิดระดับทั่วไป ส่วนคุณสมบัติของอาวุธเทพศัสตรามารเป็นพลังกฎเกณฑ์ระดับปฐม เจ้าฝึกฝนจนแข็งแกร่ง ก็เพียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังกำเนิดเท่านั้น ระหว่างพลังกำเนิดกับพลังกฎเกณฑ์เป็นคนละสิ่ง ไม่ว่าจะมีพลังกำเนิดขนาดไหน มีพลังกำเนิดแข็งแกร่งเพียงไร เมื่อเผชิญกับพลังกฎเกณฑ์ ก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนเจ้าเป่าลมใส่เหล็กกล้า ทำให้เหล็กกล้าผุได้หรือ”
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่บอกกับเขา ทั้งหมดเป็นความจริงที่สำนักได้มาหลังการศึกษาอันยาวนาน เป็นประสบการณ์การสั่งสอนที่ทดลองใช้พลังของคนต่อสู้กับอาวุธเทพ สละชีวิตคนนับไม่ถ้วนจนได้มา
เขาในปัจจุบันก็อาจเดินอยู่บนเส้นทางของผู้อาวุโสเหล่านี้เช่นกัน
ครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสำนักอย่างแท้จริง
พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน ทำการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เพื่อสลัดหลุดจากโลกที่อาวุธเทพศัสตรามารควบคุมเหมือนกัน
“เอาล่ะ น่าจะเพียงพอแล้ว เจ้าได้เห็นพลังแห่งกฎเกณฑ์แล้ว พวกเราออกไปก่อนเถอะ” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจกล่าว
“ขอรับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
กระโดดตามผู้อาวุโสใหญ่อย่างแผ่วพลิ้ว ไม่นานทั้งสองก็กลับมาถึงปากถ้ำที่เข้ามา
ระหว่างทางกลับ ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกวิตกอยู่บ้างเพราะงานชุมนุมใกล้จะเริ่มแล้ว จึงถือโอกาสเอ่ยถึง
“ใกล้จะถึงงานชุมนุมแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราต้องเข้าร่วม ศิษย์พี่เหอเซียงของเจ้าก็เหมือนกัน ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองคนต้องรับมือกับการตำหนิไม่น้อย ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดของพวกเราทรุดโทรม จะต้องดึงดูดคนที่มีใจมุ่งร้าย อยากได้ทรัพยากรของสำนักมาไม่น้อย ไม่ว่าจะอย่างไร เสี่ยวเซิ่งเจ้าต้องประเมินพลังของตนเองให้ดี ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ทรัพยากรเป็นของตาย คนจึงสำคัญที่สุด ทรัพยากรสิ่งของยังแย่งมาได้ แต่คนพอหายไป ก็หายไปอย่างแท้จริง!”
ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างขึงขัง
ผู้อาวุโสใหญ่พูดต่อ “ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดของเราเหลือพวกเจ้าสองคน วิชาลับที่สมควรถ่ายทอดข้าก็ถ่ายทอดให้เจ้าหมดแล้ว จะฝึกฝนอย่างไร ถ้าเจ้ามีปัญหาในสายวิชาสดับสงัด ก็มาถามข้าได้ แต่ว่าสายอื่นทำอะไรไม่ได้ ข้ารู้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์เกินคน แต่ก็ต้องประเมินกำลังตน ให้ความสำคัญกับอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนจึงจะประสบความสำเร็จกว่าเดิม”
“ศิษย์จะจำไว้” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเคารพ แม้ว่าพลังของผู้อาวุโสใหญ่จะสู้เขาไม่ได้ แต่การชี้แนะสั่งสอนที่แล้วมาก็ช่วยเหลือเขาไม่น้อย ลดเส้นทางอ้อมไปได้มาก ดังนั้นจึงเคารพอีกฝ่ายเป็นอาจารย์อย่างจริงจัง
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว วันหน้า…วันหน้า…เฮ้อ…” อนาคตพร่ามัว ผู้อาวุโสใหญ่ไม่รู้จะพูดอะไรชั่วขณะ
…
เมืองหมอกโดดเดี่ยว
ตระกูลหลิน
ชายคาสีฟ้าของหอยักษ์ที่สูงหลายร้อยหมี่แขวนไว้ด้วยเครื่องประดับผ้าไหมหลากหลาย
หอยักษ์เหมือนกับขยายตึกในตระกูลคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่า ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง เป็นสิ่งก่อสร้างที่ขึ้นชื่อและสะดุดตาที่สุด
หอคอยสูงเสียจนสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้วนต่ำกว่าช่วงหนึ่ง
ที่ดาดฟ้าบนชั้นสูงสุดของหอ บุรุษร่างสูงชะลูดแขนเสื้อยาวพัดพลิ้ว สวมอาภรณ์สีขาวกำลังก้มมองถนนและบ้านเรือนกลุ่มใหญ่เบื้องล่าง
บุรุษมีใบหน้าไม่นับว่าหล่อเหลา แต่แค่เย็นชาเหลือแสน หนำซ้ำโครงหน้ายังเป็นทรงสี่เหลียมขนมเปียกปูน เพียงแต่องคาพยพที่ธรรมดายิ่งอย่างนี้ เมื่อรวมเข้าด้วยกัน กลับมีเสน่ห์ที่เย็นชาเป็นพิเศษ
คนที่เห็นเขา จะนึกเชื่อมโยงถึงไพลินที่ถูกแช่แข็งอย่างช่วยไม่ได้
“หลินหวนเต้า ความสูญเสียทางเทพสัญจรเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าต้องการคำอธิบายอย่างละเอียดจากเจ้า!” บุรุษมองทิวทัศน์เบื้องล่าง แต่สนทนากับคนคนหนึ่งทางด้านหลัง
“คุณชายไค เพียงแค่แผนการเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เท่านั้น การลงมือของเทพสัญจรพบเจออุปสรรค เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว” คนที่อยู่ด้านหลังเป็นชายฉกรรจ์อาภรณ์แดงที่ไว้เคราข้างแก้ม รูปร่างกำยำสูงใหญ่ พอได้ยินคำถาม สีหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปลง เพียงตอบอย่างสงบ “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าสำนักเหล่านั้นยังกล้าเรียกตัวเองว่าเทพสัญจรหรือ ก็แค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น ตายก็ตายไป อย่างไรร้อยเส้นสายก็มีขยะแบบนี้มากมาย”
“ตัวเบี้ยต่อให้แย่อย่างไร ก็ยังแข็งแกร่งกว่าขยะด้านนอก” หลินเป่ยไคกล่าวอย่างเย็นชา หันกลับไปจ้องชายฉกรรจ์เบื้องหลัง “เทพสัญจรเป็นขุมกำลังที่ข้าก่อตั้งขึ้นกับมือ พวกเจ้ายื่นมือยาวเกินไปแล้วหรือไม่”
“ขุมกำลังของนายน้อย ไม่ใช่ขุมกำลังของตระกูลหรอกหรือ หวนเต้าใช้ก็สมเหตุสมผลกระมัง นายน้อยทำไมต้องโกรธขนาดนี้ ส่วนความสูญเสียเล็กๆ…” หลินหวนเต้ายังพูดไม่จบ กระดาษแผ่นหนึ่งก็ฟาดกับใบหน้า
“นี่เป็นความสูญเสียเล็กๆ ที่เจ้าว่าหรือ” ร่างหลินเป่ยไคเกิดจิตสังหาร ผู้อาวุโสในตระกูลเหล่านี้ยิ่งมายิ่งใช้ไม่ได้ แม้แต่ขุมกำลังลับของเขาก็ยังกล้าสอดมือเข้ามาก้าวก่าย คิดว่าเขาไม่กล้าลงมือหรือ
หลินหวนเต้าเอากระดาษลง ไม่มีโทสะ คลี่ออกอ่านดู
“ที่ตำหนักวารีลวงพบอุปสรรค เทพสัญจรสองคนได้รับบาดเจ็บ ที่สำนักบูรพาวิจิตรคนหายไปสามคน ที่สำนักมารกำเนิดคนหายไปสามคน รวมถึงที่สำนักร้อยหลอมก็สูญเสีย…หือ?!!” หลินหวนเต้าอ่านถึงตรงนี้ ดวงตาหยีลงเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งขรึม
“ข้าใช้เทพสัญจรทั้งหมดสิบสามคน ยังมีแม่ทัพเหมันต์เจ็ดคน ในนี้มีระดับอสรพิษแปดคน คิดไม่ถึงแค่สำนักร้อยหลอมจะสูญเสียไปถึงเก้าคน”
“นี่เป็นความสูญเสียเล็กๆ ของเจ้าหรือ” หลินเป่ยไคจ้องเขาด้วยดวงตามุ่งร้าย
“แผนการในครั้งนี้คือการร่วมมือกำจัดสำนักที่มีความสำคัญสุดกำลัง ที่ดึงเป็นพวกได้ก็ดึงเป็นพวก ไม่อาจเข้าแทนที่และควบรวม แผนการเดิมก็เป็นนายน้อยไควางไว้ แม้จะสูญเสียมากไปสักหน่อย แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่นายน้อยรับได้มิใช่หรือ”
……………………………………….