ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 231 งานชุมนุม (3)
บทที่ 231 งานชุมนุม (3)
“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร ยังไปเดินเล่นหรือไม่” เสี่ยวฉินยังคงอยากเดินเล่นอยู่
เหยียนไคจนปัญญา มุมปากกระตุก
ศิษย์น้องเล็กคนนี้ดีไปหมดทุกอย่าง ไม่ได้เย็นชากับเขาเพราะเขามีพลังต่ำต้อย ไม่ใช่แม้แต่ระดับพันธนาการ แต่ว่าปัญหาเพียงหนึ่งเดียวคือเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
“ไปสิ…เจ้าอยากไปไหน” เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง สงบสติอารมณ์ ถามอย่างจนปัญญา
“ข้าอยากไปดื่มสุราผลไม้สักหน่อย สุราบ๊วยดอกท้อของที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลทีเดียว! จริงด้วย” สีหน้าของเสี่ยวฉินพลันเยือกเย็นลง “ข้าอยากถามอยู่พอดีว่าอาการบาดเจ็บบนตัวศิษย์พี่ท่านเกิดจากอะไรกันแน่!”
หมับ
นางใช้มือข้างหนึ่งคว้าแขนของเหยียนไคไว้ แล้วเปิดเสื้อตรงแขนท่อนปลายขึ้น
พลังของเหยียนไคสู้นางไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ถูกจับไว้จึงดิ้นไม่หลุด ได้แต่ปล่อยให้นางมองดูตรงๆ
เห็นแค่บนแขนท่อนปลายที่ตอนแรกขาวผ่องของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นสีม่วงเหมือนกับตะขาบ รอยแผลเป็นเหล่านี้ที่สั้นหน่อยยาวเท่าฝ่ามือ ที่ยาวหน่อยยื่นไปถึงบนบ่าในเสื้อผ้า
“เฮ้อ…เสี่ยวฉิน…” เหยียนไคจนปัญญา เห็นเพลิงโทสะในดวงตาศิษย์น้องแล้ว
“นังชั่วหรงหรงนั่นไม่ได้อยู่ข้างท่านพอดี ตอนนี้ศิษย์พี่เป็นของเสี่ยวฉิน” ศิษย์น้องยิ้มอย่างเฉิดฉันทันที กอดแขนเขาเขย่าไปมา
“ยังมี เหตุใดศิษย์พี่จึงรู้จักคนเมื่อครู่ เล่าให้เสี่ยวฉินฟังได้หรือไม่” รอยยิ้มของเสี่ยวฉินไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ
“ได้…ได้สิ…”
เหยียนไครู้จักนิสัยของศิษย์น้องดี ในสำนักนางถูกเรียกเป็นอัจฉริยะ และเป็นหนึ่งในบุคคลระดับสุดยอดในสายของพวกเขาได้ ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล ปัจจุบันนิสัยที่แตกแปลกแบบนี้เป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง
ทั้งสองผละออกจากที่เดิม เจอโรงสุราที่ขายเฉพาะสุราบ๊วยดอกท้อ เข้าไปเปิดห้องส่วนตัว จากนั้นก็ดื่มสุราผลไม้ไหหนึ่ง ผลัดกันรินผลัดกันดื่ม
“ทำไมข้าถึงรู้จักคนคนนั้น ต้องพูดถึงตอนแรกสุด ข้าไปหาประสบการณ์ที่แดนเหนือ เล่าตั้งแต่เรื่องราวเรื่องนั้นที่ได้เจอก็แล้วกัน…” เหยียนไคดื่มสุราไปแล้วสองสามจอก มองใบหน้าน้อยๆ ที่แดงก่ำแต่กลับเคร่งขรึมของศิษย์น้อง เล่าด้วยรอยยิ้มหนักใจ
ตั้งแต่ที่เขาเจอลู่เซิ่งจากตระกูลลู่ที่เมืองเก้าประสาน ไปถึงการจับผีช่วยคน จากนั้นก็เป็นการแย่งชิงภัยพิบัติมังกรสีชาด
“ภัยพิบัติมังกรสีชาดหรือ ท่านหมายถึงอาวุธเทพปลอมนั่นหรือ” เสี่ยวฉินอดพูดแทรกไม่ได้ “ร้อยเส้นสายไม่ใช่ตัดสินแล้วหรือว่านั่นเป็นอาวุธเทพปลอม”
“แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนไม่เชื่อ ในสงครามรัฐเมื่อก่อนหน้า ผู้ถืออาวุธของตระกูลเจินซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่แดนเหนือได้รับบาดเจ็บหลับไหล อาวุธเทพเสียหายทรุดโทรมไม่น้อย เข้าร่วมการแย่งชิง เกิดว่าอาวุธเทพปลอมนั้นเป็นแค่ข่าวลือ อย่างไรก็เป็นความหวัง ไม่ถือว่าแปลก”
เหยียนไคส่ายหน้าพูดต่อ “ส่วนขุมกำลังอื่นๆ ถึงข้าจะไม่รู้ แต่ก็ได้ยินคนพูดว่า เป็นขุมกำลังที่สับสนส่วนหนึ่งในแดนเหนือ ในนี้มียอดฝีมือจากตระกูลขุนนางที่ไปหยั่งเชิงด้วย อย่างไรอาวุธศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธเทพปลอมก็เป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดเหมือนกัน”
“ช่างย้อนแย้งจริงๆ ศิษย์พี่เล่าต่อ” เสี่ยวฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหยียนไคเล่าตั้งแต่ตนออกหาประสบการณ์อย่างไร ถึงตอนหลังค่อยทราบว่า คุณชายใหญ่ลู่แห่งตระกูลลู่เข้าพรรควาฬแดง รับตำแหน่งประมุขพรรควาฬแดงเหมือนเรือลอยขึ้นตามน้ำ ความแตกต่างระหว่างนี้เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์
เขานึกทบทวน จนตอนท้ายก็เล่าถึงเรื่องประหลาดของเจ้าบ้านไม่หัวเราะในครั้งนั้น
“ไม่หัวเราะหรือ” เสี่ยวฉินเลิกคิ้วงาม “ข้าเคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณว่า ในหมู่มารปีศาจมีการเล่าขานถึงกลุ่มองค์กรที่ชื่อสำนักไตรอริยะมาโดยตลอด องค์กรนี้ลึกลับยิ่ง หนำซ้ำยังกุมความลับยิ่งใหญ่ ดั่งเทพโผล่ผีหาย เจ้าบ้านไม่หัวเราะคล้ายจะอยู่ในคันฉ่องปีศาจของสำนักไตรอริยะ”
“น่าจะตัวเดียวกัน ครั้งนี้ข้าถูกดึงเข้าไปพัวพันกับปัญหาของสำนักไตรอริยะด้วย” เหยียนไคถอนใจอย่างอับจน “ถึงจะอาศัยบารมีของคนอื่นจนมีพลังเพิ่มขึ้น แต่เรื่องแบบนี้ข้าก็ไม่อยากจะเจออีกเป็นครั้งที่สอง ศิษย์พี่ว่านเหอจื่อก็คงเหมือนกัน”
“เจ้าว่านเหอจื่อก็อยู่ด้วย…” เสี่ยวฉินงุนงง
“ใช่…เจ้าจินตนาการไม่ออกหรอกว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะหลังผ่านการทดสอบในครั้งนี้ ” เหยียนไคถอนใจอีกครั้ง ในที่สุดก็เล่าความทรมานที่ได้เจอ ในที่อยู่ของเจ้าบ้านไม่หัวเราะ
เดิมทีเจ้าบ้านไม่หัวเราะเป็นแค่การเริ่มกลไก หลังจากคนในพิธีโลหิตมีมากพอ มันก็จะเปิดแดนฝันที่มีวัฏจักรไร้สิ้นสุด
แดนฝันนี้เหมือนจริงเหมือนปลอม ด้านในซ่อนประตูไว้สองบาน บานหนึ่งเชื่อมสู่ความจริง บานหนึ่งเชื่อมสู่โลกปริศนาอันลึกลับ
“โลกใบนั้น…ตามคำพูดของสหายคนหนึ่งที่รอดมาด้วยกันกับข้า พวกเขาเรียกประตูบานนั้นว่าประตูแห่งความเจ็บปวด ด้านในเป็นโลกอีกใบที่ต่างจากโลกของพวกเราโดยสิ้นเชิง เป็นสถานที่ที่มารปีศาจต้องการช่วงชิง” เหยียนไคเอ่ยเสียงแผ่ว
“สำนักไตรอริยะ…ข้าเข้าใจแล้ว…ที่แท้นี้เป็นความหมายของสำนักไตรอริยะ…หมายถึงประตูอริยะสามบานกระมัง” เสี่ยวฉินพลันอึ้งงัน ก่อนจะตอบสนอง
“ที่แท้ยังมีความหมายแบบนี้อีกหรือ” เหยียนไคงงงวย “สหายผู้นั้นช่วยข้าไว้สามครั้ง สามชีวิต ดังนั้นข้าจึงช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่”
“เขาเป็นมารปีศาจใช่หรือไม่” เสี่ยวฉินพลันถาม
“…ใช่” เหยียนไคเงียบขรึมลงเล็กน้อย แล้วตอบกว่า “แต่ว่าเขาไม่กินคน”
“ศิษย์พี่ ท่านเล่าต่อเถอะ” เสี่ยวฉินพยักหน้า
“ต่อมาพวกเราแก้ไขปริศนามากมาย สุดท้ายก็ไปถึงขั้นทดสอบพลังยุทธ์ ในฐานะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนั้น ลู่เซิ่งถูกแดนฝันดึงเข้าไป กลายเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในการเฝ้าด่าน”
“สหายคนนั้นของข้าเล่าว่า คนที่เข้าไปแดนฝันซ้ำๆ พลังจะมีแค่ครึ่งหนึ่งของยามปกติ ลู่เซิ่งเป็นแค่ผู้มีอำนาจจากพรรคมนุษย์ สมควรผ่านได้ง่ายๆ จากนั้น…จากนั้น เขาก็เข้าไป…”
พูดถึงตรงนี้ เหยียนไคก็ลูบใบหน้า มีสีหน้าเจ็บปวด
“สุดท้าย…สุดท้ายข้า…ทันแค่ดึงขาข้างหนึ่งของเขาออกมา…”
เสี่ยวเฉินเห็นดังนั้น ก็ลูบมือของเหยียนไคเบาๆ
“มิน่าตอนศิษย์พี่เห็นคนผู้นั้น…”
“พละกำลัง ความเร็ว ผิวเหล็กที่ทำลายไม่ได้ แล้วยังมีเสียงแผดคำรามที่น่ากลัวนั่นอีก เจ้าจินตนาการไม่ออกหรอกว่า แค่คลื่นเสียงก็สั่นสะเทือนให้คนตายทั้งเป็นได้แล้ว บุรุษผู้นั้น…นี่ยังเป็นแค่พลังครึ่งเดียวของบุรุษผู้นั้น…” เหยียนไคกุมหน้า ถ้าไม่ใช่เขาเจอที่หลบซ่อนในแดนฝันที่สหายคนนั้นบอกเขา เขากับศิษย์พี่ว่านเหอจื่อคงไม่รอดออกมา
“หรือว่ายังแข็งแกร่งกว่าคนในตอนนั้นอีก”
เสี่ยวฉินไม่เชื่ออยู่บ้าง
“คนในตอนนั้น…” เหยียนไคหลับตา เงียบลงสักพัก
“ไม่…แข็งแกร่งกว่าคนผู้นั้นเกินไป ลู่เซิ่งผู้นี้ข้าสงสัยว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์อยู่แล้ว…”
…
ลู่เซิ่งนั่งพิงหน้าต่างโรงเตี๊ยม มองดูขบวนรถม้ามากมายที่ผ่านทางด้านล่าง
เขาถือรายชื่อของงานชุมนุมในครั้งนี้ ด้านบนทำสัญลักษณ์ไว้ว่าสำนักมารกำเนิดของพวกเขาอยู่ในตำแหน่งไหน
“พวกเราเป็นกลุ่มที่ต้องลงสู้เร็วที่สุด สนามสาม อันดับยี่สิบเจ็ด” เขาวางรายชื่อไว้บนโต๊ะ
เหอเซียงจื่อนั่งอยู่ตรงข้ามเขา สตรีกางร่มอิงอิงก็อยู่ด้านข้างด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แล้วยังมีคนของพรรควาฬแดงเฝ้าอยู่ด้านนอก พวกนิ่งซานเริ่มคุมสถานการณ์ในเมืองกระดิ่งขาวได้แล้ว ใช้เงินทุนของพรรค สร้างบ่อนพนันเล็กๆ แห่งหนึ่ง นับว่าใช้วีธีที่พรรควาฬแดงคุ้นชินดี
พอมีตระกูลซั่งหยางคอยดูแล บ่อนพนันเล็กๆ ก็หากำไรกับค่าใช้จ่ายประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย
เหอเซียงจื่อมองบริวารที่เป็นมนุษย์ธรรมดาสองสามคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก อดประหลาดใจไม่ได้
“นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วต้องให้ขุมกำลังมนุษย์ของศิษย์น้องคอยดูแล”
“ศิษย์พี่พูดอะไรกัน ในเมื่อตอนมากำหนดให้ข้าเป็นผู้นำ เรื่องเล็กๆ แบบนี้ก็เป็นสิ่งสมควรแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ปัจจุบันหัวใจจิตมารแปดดวงของเขากำลังฟัก แม้ว่าสภาพหยินโชติช่วงจะสะกดกลิ่นอายเอาไว้ ทว่าความรู้สึกกดดันอย่างรุนแรงที่มองไม่เห็นนั้นอย่างไรก็ปิดบังไว้ไม่มิด
ตอนพวกนิ่งซานพบเขา แค่ยืนอยู่ต่อหน้าก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวแล้ว หลังผ่านไปสักระยะก็ถึงขั้นรู้สึกสยดสยองวิงเวียนศีรษะ
นั่นเป็นเสียงพึมพำอันมุ่งร้ายซึ่งกระจายออกมาอย่างเงียบเชียบจากหัวใจจิตมารที่กำลังฟักของลู่เซิ่ง เสียงพึมพำชนิดนี้ผสมกับความคิดและความปรารถนาทั้งหมดของลู่เซิ่ง หลังจากถูกปราณมารกำเนิดบ่มเพาะและขยายขึ้นหลายเท่าตัว เสียงที่เกิดขึ้นก็เป็นความถี่ที่หูมนุษย์ไม่อาจได้ยิน อีกทั้งประสิทธิผลยังแปลกประหลาดชั่วร้ายสุดขีดด้วย
ความจริงไม่ใช่แค่คนธรรมดาในพรรควาฬแดงอึดอัดเท่านั้น แม้แต่เหอเซียงจื่อที่นั่งอยู่ข้างลู่เซิ่งก็รู้สึกตึงเครียดเช่นกัน
ส่วนสตรีกางร่มเนื่องจากเป็นความประหลาดลี้ลับ จึงรู้สึกดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็ก้มหน้าไม่กล้าพูดกับเขามาก เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าใช่สิ่งที่ออกมาจากตัวลู่เซิ่งหรือไม่
ลู่เซิ่งเห็นปฏิกิริยาของคนทั้งสอง ก็ระวังตัวมากขึ้น มีแต่ตอนตั้งใจปิดบัง เขาจึงจะสะกดปรากฏการณ์ประหลาดนี้ได้ เกิดว่าผ่อนคลาย ก็จะกระจายออกมาเองโดยธรรมชาติ ต่อให้เป็นสภาพหยินโชติช่วงก็ทำอะไรไม่ได้
“ครั้งนี้ยังคงเป็นตำหนักหมื่นสุข เรือนสุดประจิม และสำนักรองรับฟ้าจัดงาน สำนักสามสำนักนี้เป็นสำนักใหญ่สามอันดับแรกในร้อยเส้นสาย พวกเขาเป็นผู้นำมาตั้งแต่สองสามปีก่อนแล้ว” เหอเซียงจื่ออธิบาย “สำนักมารกำเนิดของพวกเราอยู่ในสำนักสามขั้นล่าง ครั้งนี้คู่ต่อสู้ของพวกเราคือสำนักเก้ากระดิ่ง แต่เพราะว่าเจ้าสำนักของพวกเขาไม่ทราบหายตัวไปไหน ดังนั้นคู่ต่อสู้ในตอนนี้ของพวกเราจึงกลายเป็นสำนักจุดพิสดาร”
“สำนักจุดพิสดารหรือ” ลู่เซิ่งไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน
“สำนักจุดพิสดาร สำนักเบิกอาทิตย์ ป่ากระบี่อาภรณ์แดง นี่เป็นคู่ต่อสู้เก่าของพวกเรา ก่อนหน้านี้ตอนที่สำนักมารกำเนิดยังไม่เลว พวกเราต่อสู้กับพวกเขาหลายต่อหลายครั้งภายใต้การนำของอาจารย์” พูดถึงตรงนี้ อยู่ๆ เหอเซียงจื่อก็เห็นคนขบวนหนึ่งที่ผ่านด่านล่างโรงเตี๊ยมด้านนอกหน้าต่าง
“ดูสิ บังเอิญจริง คนกลุ่มนั้นคือคนของสำนักเบิกอาทิตย์ ผู้นำของพวกเขาอี้เฉินซานมีพลังแข็งแกร่ง ทุกครั้งจะเก่งกาจกว่าพวกเราขั้นหนึ่ง”
ลู่เซิ่งมองตามนิ้วของเหอเซียงจื่อ
เห็นบุรุษสตรีสวมอาภรณ์สีดำกลุ่มหนึ่งกำลังเดินอย่างช้าๆ บนทางเท้าข้างถนน มีคำว่าดวงอาทิตย์ตัวใหญ่อยู่ด้านหลัง สัญลักษณ์ชัดเจนจดจำได้ง่าย
“นี่เป็นคู่ต่อสู้เก่าของสำนักมารกำเนิด สำนักมารกำเนิดเป็นหนึ่งในสำนักร้อยเส้นสาย ย่อมมีแวดวงสังคมของตัวเอง”
“เหอเซียงจื่อใช่หรือไม่ ในที่สุดพวกเจ้าก็มากันแล้วหรือ!?” ครั้งนี้ที่บันใดด้านในโรงเตี๊ยมมีคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา สตรีวัยกลางคนในกลุ่มมองมาทางสำนักมารกำเนิดด้วยความตกใจระคนยินดี
“อวิ๋นเซียงหรือ” เหอเซียงจื่อรีบลุกยืน ใบหน้าตกใจระคนยินดีเช่นกัน
คนกลุ่มนั้นรีบเดินมา ผู้นำกลุ่มเป็นสตรีวัยกลางคนผู้นั้น สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ หลังจากคนกลุ่มนี้ขึ้นมา ทั้งหมดล้วนเป็นผู้หญิง ตั้งแต่อายุมากไปถึงอายุน้อย มีทั้งหมดเจ็ดแปดคน
“ข้าขอแนะนำ” เหอเซียงจื่อรีบแนะนำสถานะของอีกฝ่ายแก่ลู่เซิ่ง
“นี่คือลู่เซิ่งศิษย์น้องของข้า เป็นคนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ของสำนักมารกำเนิด นี่เป็นผู้นำสำนักหยกกังวานซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักมารกำเนิดของพวกเรามาโดยตลอด เฉินอวิ๋นเซียง”
“ที่แท้เป็นศิษย์น้องลู่” เฉินอวิ๋นเซียงพยักหน้าให้ลู่เซิ่งเล็กน้อย นับว่าทักทาย
ลู่เซิ่งลุกขึ้นยิ้มตอบ จากนั้นก็แสดงมารยาทกับสตรีที่เหลือ ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง
……………………………………….