ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 234 งานชุมนุม (6)
บทที่ 234 งานชุมนุม (6)
ทั้งสองเดินเข้าตำหนักจิตหยกภายใต้การนำทางของนักพรตหนุ่ม รอบๆ เห็นนักพรตนำทางให้คนในสำนักคนอื่นๆ ตลอดเวลา
คนในสำนักเหล่านี้บ้างก็สนทนากันอย่างเพลิดเพลินขณะร่วมทางกัน บ้างก็เขม่นเย็นชาใส่กันชนิดพร้อมชักดาบฟันใส่ ยังมีบางส่วนคุยกันเป็นคุ้งเป็นแคว
ภายใต้การชักนำของนักพรตนำทาง คนทั้งสองจากสำนักมารกำเนิดเดินเข้าลานตำหนักที่อยู่ลึกที่สุด ระหว่างทางพอมีคนในสำนักเห็นพวกเขา ก็จะมีคนถามสถานการณ์กันเป็นครั้งคราว
แต่หลังจากรู้ว่าเป็นคนของสำนักมารกำเนิด ถ้ามิใช่ไม่เคยได้ยินมาก่อนโดยสิ้นเชิง ก็เมินผ่านไป ไม่สนใจ
สำหรับพวกเขาแล้ว สำนักมารกำเนิดเป็นแค่สำนักเล็กๆ ซึ่งใกล้จะหลุดจากร้อยเส้นสายอยู่รอมร่อ ไม่โดดเด่นจนไม่มีค่าพอให้คุยด้วย
พวกลู่เซิ่งตัดทะลุลานสองสามแห่ง โครงสร้างของตำหนักจิตหยกคือมีเส้นทางใหญ่สายหนึ่งตัดผ่านตรงกลาง สองด้านของเส้นทางใหญ่เป็นคฤหาสน์ที่แต่ละสำนักใช้พัก
ลู่เซิ่งเห็นคนในสำนักคนอื่นๆ มีคนนำทางพาไปยังคฤหาสน์ที่พักเหมือนกับพวกเขาสองคน
ทว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มีแค่สองคน อย่างน้อยสุดก็มีเจ็ดแปดคน
“สวนกล้วยไม้อยู่ด้านในสุดของตำหนักจิตหยก ตอนนี้ตำหนักจิตหยกถูกแบ่งเป็นห้าเขต สำนักท่านอยู่เขตที่ห้า” คนนำทางแนะนำเบาๆ
“อืม แล้วเรื่องอาหารการกินเล่า” เหอเซียงจื่อถาม
“หอฟ้าจรุงจะจัดหาอาหารให้ สำนักระดับสามขั้นบนทั้งหมดมีคนคอยตรวจตรา ไม่มีทางเกิดปัญหาใดๆ จากนั้นในช่วงต่อสู้ภายใน การจัดการของห้าเขตใหญ่คือ สำนักทั้งหมดในห้าเขตสามารถท้าทายกันได้ตามใจ ทุกคนประลองได้ห้ารอบ จำนวนครั้งที่ถูกคนอื่นท้าไม่นับในจำนวนแข่งขันของตัวเอง ผู้ใดชนะมากที่สุด ก็จะเป็นอันดับหนึ่ง…” คนนำทางแนะนำสถานการณ์เกี่ยวกับการแข่งขันในงานชุมนุม
ระหว่างทางไปสวนกล้วยไม้ ผ่านคฤหาสน์ไม่น้อย ผู้คนกำลังจัดที่พักกันอยู่ คนในสำนักบางคนเดินลาดตระเวน ตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ
เดินไปถึงครึ่งทาง หางตาลู่เซิ่งพลันเหลือบเห็นบุรุษสตรีเยาว์วัยสองคนกำลังวางหมากอยู่ด้านข้าง
บุรุษใส่อาภรณ์สีดำ แขนเสื้อยาวพัดพลิ้ว สวมกวนหยกสูง แขวนหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งไว้ตรงหน้าอก มีบุคลิกเหมือนบัณฑิตยุคโบราณ
สตรีอีกคนอายุไม่เกินยี่สิบ ตอนนี้กลับเหมือนพระพุทธรูปในวัด ใบหน้าน่าเกรงขาม บนเครื่องหน้าที่งดงามถึงกับปรากฏความเมตตากรุณา สตรีนางนี้ทั้งๆ ที่มีรูปร่างอ้อนแอ้น เผยขาหยกเรียวยาวกับองค์เอวที่คอดกิ่วมากกว่าครึ่ง กลับไม่ให้ความรู้สึกยั่วยวนแม้แต่น้อย
ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกระดานหมาก ผลัดกันวางหมาก สีหน้าดูเคร่งขรึมทั้งคู่
“สองคนนั้นคือ?” ลู่เซิ่งเคยเห็นคนในสำนักและตระกูลขุนนางมามากมาย แต่คนที่มีลักษณะประหลาดอย่างสตรีผู้นั้นกลับเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก คนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่ต่างจากคนปกติ
นักพรตนำทางมองตามนิ้วของลู่เซิ่ง พลันหัวเราะ
“ทั้งสองคนนั้นคือฆราวาสชางซงจื่อของสำนักบัวสวรรค์ รวมถึงเทพธิดาเซ่ออั้นของสำนักง้าวเทวะ”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของสำนักระดับสามขั้นล่างหรอกหรือ” เหอเซียงจื่อถามอย่างสงสัยเล็กน้อย
“เป็นเช่นนั้น ทว่าสองคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกัน พักอยู่ที่นี่ ไม่เข้าร่วมการแข่งขันในงานชุมนุม” นักพรตนำทางตอบเบาๆ
พวกลู่เซิ่งได้ยินก็เข้าใจความนัย หมายความว่าสองคนนี้มีพลังแข็งแกร่งเกินไป เหนือกว่าขอบเขตของศิษย์ทั่วไป หากเข้าร่วมงานชุมนุมก็เป็นการรังแกเด็ก
ลู่เซิ่งอดมองสองคนนี้เพิ่มไม่ได้
“ไปต่อเถอะ”
“ขอรับ ข้าจะแนะนำต่อ” นักพรตนำทางต่อบทสนทนาก่อนหน้า
ระหว่างทางก็ฟังคำแนะนำไปด้วย ไม่นานทั้งสองก็ไปถึงสวนกล้วยไม้ของสำนักมารกำเนิด
แม้ว่าสำนักมารกำเนิดใกล้จะหลุดจากร้อยเส้นสาย แต่สุดท้ายก็ยังเป็นสมาชิกของสำนักร้อยเส้นสาย จึงได้รับการจัดสรรคฤหาสน์ที่จุคนได้หลายสิบคนเช่นกัน
คฤหาสน์นี้มีชื่อว่าสวนกล้วยไม้ มีตำหนักหลักหลังหนึ่ง ตำหนักรองสองหลัง รอบๆ มีห้องปีกอยู่หลายสิบห้อง
งานชุมนุมใหญ่ในตอนบ่าย ลู่เซิ่งคร้านจะไป จึงให้เหอเซียงจื่อไปแทน
ความจริงก็แค่คนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน แล้วให้นักพรตเฒ่าแห่งตำหนักจิตหยกที่ดูแลงานชุมนุมแนะนำการแบ่งเขตและตารางการแข่งขัน
ตัวเขาอยู่ในห้อง ตรวจสอบว่ามีเส้นทางลับที่เอาไว้ใช้สอดส่องหรือไม่ นอกจากนี้เป็นเพราะเขารู้สึกว่าหัวใจจิตมารของตัวเองกำลังจะฟักตัวเป็นครั้งที่สองแล้ว เขาคาดหวังมากว่าตนเองที่ฝึกฝนวิถีหทัยมารถึงขั้นที่เก้าจะไปถึงระดับไหน
หนำซ้ำกายเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนในสำนักมารกำเนิดเมื่อก่อนหน้าเหลือประมาณ ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้สารสกัดจากธารหมอกพิษที่เขาดูดซับไว้มีมากกว่าคนในสำนักมารกำเนิดทั่วไป
เขาเคยคำนวณเทียบกับความจุร่างกายของคนในสำนักทั่วไป สารสกัดจากธารหมอกพิษที่เขาดูดไว้อย่างน้อยก็มีมากกว่าศิษย์ธรรมดาสามสิบถึงห้าสิบเท่า
ยกตัวอย่างเช่นเหอเซียงจื่อ ลู่เซิ่งเคยถามอ้อมๆ ถึงสถานการณ์และรายละเอียดบางส่วนตอนที่นางฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุ
แล้วก็อนุมานระดับของสารสกัดจากธารหมอกพิษที่อีกฝ่ายดูดซับไว้ได้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้ลู่เซิ่งมีตัวเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัด
เหอเซียงจื่อเป็นตัวแทนไปเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ ลู่เซิ่งอยู่ในสวนดอกไม้ได้ไม่นานเท่าไหร่ ด้านนอกก็มีเสียงอึกทึกดังมา
ตึง!
“”เฉินชือ! ไสหัวออกมา!”
เสียงบุรุษแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังมาจากคฤหาสน์ข้างๆ เสียงฟังดูตุ้งติ้งแต่กลับทรงพลัง ทำให้คนรู้สึกถึงความย้อนแย้งที่อธิบายไม่ถูก
“เมื่อครู่เจ้าฟันแขนข้างหนึ่งของศิษย์น้องข้า ตอนนี้ เจ้าต้องออกมาฟันแขนสองข้างของตัวเอง หรือว่าจะให้ข้าบุกเข้าไปฉีกแขนฉีกขาของเจ้า” เสียงตุ้งติ้งนั้นกล่าวอย่างเย็นชา
“เฝิงจวินไห่ใช่หรือไม่ เจ้าไม่ไปร่วมงานชุมนุมใหญ่หรือ ก็ดี จะได้จัดการเจ้าไปด้วย กำลังรู้สึกอยู่พอดีว่าเขตนี้แออัดเกินไป” เสียงราบเรียบสงบนิ่งดังขึ้นตามมา
ลู่เซิ่งนั่งในตำหนักข้าง ได้ยินก็รู้ว่าด้านนอกกำลังจะมีเรื่องกัน
เดี๋ยวมีเสียงร้อง เดี๋ยวมีเสียงกระแทก จากนั้นเป็นเสียงระเบิด ไม่รู้ว่าใช้วิชาลับอะไร
สู้กันสักพักก็ยังไม่จบ
เขาคาดไม่ถึงว่าการต่อสู้จะเริ่มเร็วขนาดนี้ คนดูแลของที่นี่ก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยให้พวกเขาอาละวาด คล้ายกับนี่เป็นการอุ่นเครื่อง
โหวกเหวกกันสักพัก ด้านนอกก็เงียบสงบ
ลู่เซิ่งสงบจิตสงบใจ สัมผัสหัวใจจิตมารดวงที่สองที่กำลังจะฟักตัวต่อ ดวงแรกเป็นงูหัวคน คล้ายกับมีผลต่อจิตใจ เขากลับค่อนข้างคาดหวังต่อดวงที่สอง ไม่รู้ว่าตนจะฟักความสามารถแบบไหนออกมาได้
การฟักหัวใจจิตมารในวิถีหทัยมารของแต่ละคนล้วนแตกต่าง นี่เป็นเพราะทุกคนมีนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน
‘หัวใจจิตมารทั่วไปเมื่อฟักออกมา ตามการบันทึกบนคัมภีร์ ดวงแรกส่วนใหญ่จะเป็นงูพิษอาฆาต’ ลู่เซิ่งมองงูหน้าคนที่ลอยช้าๆ อยู่ด้านข้างตน มันเป็นงูพิษอาฆาตจริงๆ มีรูปร่างและความสามารถตามที่บันทึกบรรยายไว้
‘ความสามารถของงูพิษอาฆาตคือการรบกวนจิตใจ ทำให้ตั้งสมาธิไม่ได้ ถือว่ามีประโยชน์น้อยที่สุด ต่อจากนี้ถ้าไม่อยู่เหนือความคาดหมาย รูปแบบทั่วไปน่าจะเป็นราชสีห์โทสะ ราชสีห์โทสะที่แบกรับอัคคีพิษสีดำช่วยในการต่อสู้จริงได้ อานุภาพขึ้นอยู่กับระดับพลังฝึกปรือ’
ลู่เซิ่งหลับตา ไอสีดำเริ่มลอยวนเวียนรอบๆ ตัว ไม่นานก็หยุดอยู่ด้านหน้าเขา ปรากฏหัวใจสีดำขนาดเท่าหัวคนดวงหนึ่ง
กลางหัวใจเป็นอักขระมารเทพสีแดงส่องแสงระยิบระยับ
‘ชักนำจิตใจตัวเอง ควานหาความปรารถนา ความกระหาย และส่วนที่อยู่ลึกที่สุดในความทรงจำของตนเองออกมาเพื่อสัมผัสอย่างสงบ’
ลู่เซิ่งตั้งสมาธิกลั้นลมหายใจ เริ่มใช้จิตใจฟักหัวใจจิตมารตามขั้นตอนในคัมภีร์
ตึง!
ในตอนนี้เอง มีเสียงดังเสียงหนึ่งขัดสมาธิของเขา
เสียงไม่ได้ดังมามาจากที่อื่น หากมาจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์สวนกล้วยไม้
“พวกไม่ได้ความของสำนักมารกำเนิด ไสหัวออกมา!” เสียงที่คุ้นหูเสียงหนึ่งดังสะท้อนบนสวนคฤหาสน์อย่างหยิ่งยโส
ลู่เซิ่งนิ่วหน้า ลุกขึ้นอย่างโมโห
เขาแค่อยากเข้าร่วมงานชุมนุมอย่างสุขสงบ จากนั้นรักษาอันดับไว้ ทำไมจึงมักมีขยะมาหาเรื่องเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนต่อสู้เปรียบวรยุทธ์อย่างมีน้ำใจไม่ได้หรือ
‘ต้องเอาให้หนัก แต่จะฆ่าก็ไม่ได้…อืม…ยุ่งยากจริงๆ’ ลู่เซิ่งเดินอย่างเชื่องช้าออกจากตำหนักข้างพลางมองไปยังกลางคฤหาสน์
บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ กวาดตามองซ้ายแลขวา เป็นหลี่ตู้ที่ก่อนหน้านี้เจอกันในโรงเตี๊ยม
อีกคนหนึ่งเหมือนจะเป็นศิษย์น้องของเขา สวมเสื้อคลุมและกระโปรงยาวสีน้ำเงินเข้ม สะพายเกาทัณฑ์สีดำสนิทคันหนึ่งไว้ด้านหลัง ผมยาวพัดพลิ้ว บุคลิกน่ามองอยู่บ้าง
“คนของสำนักมารกำเนิดใช่หรือไม่” หลี่ตู้มองแวบเดียวก็จดจำลู่เซิ่งได้
เดิมทีสำนักเก้ากระดิ่งต้องการหน่วยหลักและอาณาเขตของสำนักมารกำเนิด สำนักจุดพิสดารของพวกเขาจึงต้องถอยออกมาจากการแย่งชิง ถึงอย่างไรพลังของสำนักจุดพิสดารก็สู้สำนักเก้ากระดิ่งไม่ได้
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ สำนักเก้ากระดิ่งก็อ่อนแอลง ครั้งนี้ส่งศิษย์มาเข้าร่วมพอเป็นพิธีเท่านั้น
เมื่อเป็นแบบนี้ ในใจหลี่ตู้จึงเกิดแผนการ สำนักจุดพิสดารเป็นสำนักที่ขึ้นชื่อในเรื่องการฝึกจุดพิสดารห้าจุดเป็นหลัก
พวกเขาปักใจเชื่อว่าจุดห้าจุดนี้เป็นประตูชีวิตที่สำคัญที่สุดบนร่างกายของผู้ครองสายเลือด ขอแค่ฝึกฝนพวกมัน เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่พวกมัน ก็จะได้รับวิชาลับที่น่าเหลือเชื่อ และบึงมารของสำนักมารกำเนิดก็มีผลกระตุ้นจุดลมปราณในระดับหนึ่ง
ลุงของหลี่ตู้เป็นเจ้าสำนักจุดพิสดาร สำหรับคนอื่นๆ แล้วเขาเป็นเจ้าสำนัก แต่ในฐานะญาติ เขาย่อมใส่ใจความรุ่งเรืองของสำนัก
สำนักระดับสามขั้นล่างสองสามแห่งให้ความสนใจหน่วยหลักของสำนักมารกำเนิดอยู่บ้าง ดังนั้นพอได้ยินข่าว ก็รู้สึกเหมือนเป็นโอกาส รีบมาเพื่อไม่ให้คนอื่นชิงตัดหน้า
“เจ้าคือลู่เซิ่งหรือ” หลี่ตู้พิจารณาอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา
นักศึกษาอ่อนแอ
นี่เป็นภาพประทับใจแรกตอนที่เขาเห็นลู่เซิ่ง
ใบหน้าซีดขาว มองดูก็รู้ว่าเลือดลมไม่พอ ถ้าหากเป็นสำนักอื่นๆ เขาหลี่ตู้คงกริ่งเกรง แต่สำนักมารกำเนิดนอกจากควันพิษเล็กน้อยกับความสามารถโจมตีที่เลวร้ายสุดขีดแล้ว วิชาลับของพวกเขายังเหลืออะไรอีก
“เป็นข้าเอง” ลู่เซิ่งได้ยินคำถามก็พยักหน้าเบาๆ
“เหอเซียงจื่อผู้นำของพวกเจ้าเล่า” หลี่ตู้กวาดตามอง คิดจะหาตัวเหอเซียงจื่อ
“เจ้าหานางมีเรื่องอะไร ข้าแจ้งแทนได้” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง
“ไม่มีอะไร แค่อยากจะให้พวกเจ้าสำนักมารกำเนิดออกจากงานชุมนุมครั้งนี้ อย่างไรพวกเจ้าก็ไม่ได้อันดับอะไรอยู่แล้วมิใช่หรือ” หลี่ตู้หัวเราะเย็นชา
ถอนตัวหรือ
ลู่เซิ่งครุ่นคิด แล้วยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว
“ตาดวงหนึ่ง ขาสองข้าง”
“อะไร” หลี่ตู้งุนงง ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร
กรี๊ด!
ทันใดนั้นด้านข้างหลี่ตู้แว่วเสียงกรีดร้อง เขารีบหันไปมอง ตอนนี้ศิษย์น้องที่มาด้วยกันกับเขาใช้นิ้วแทงเข้าไปในดวงตาของตัวเองทั้งสองข้าง
เลือดมากมายทะลักออกมาจากเบ้าตา ก่อนหยดลงบนพื้น
“ศิษย์พี่! ช่วยข้าด้วย!” ศิษย์น้องร้องไห้อย่างหวาดกลัว แต่ไม่อาจควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเอง นิ้วมือหมุนควงอยู่ในเบ้าตา
“ข้า…!!??” หลี่ตู้แตกตื่น แต่ก็ได้สติทันที “เจ้ารอก่อน ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”
พูดจบก็วิ่งมาถึงตรงหน้าศิษย์น้อง
จากนั้น
ก็แทงนิ้วเข้าไปในดวงตาทั้งสองของตัวเอง
สวบ
อ๊าก!
หลี่ตู้ควักลูกตาตัวเองออกมา
“ศิษย์น้อง!” เขาตะโกน “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์น้อง?! เหตุใดข้ามองไม่เห็นอะไรแล้ว?!”
ครู่ต่อมา…
ทั้งสองคนไร้ดวงตาแล้ว ได้แต่ใช้มือคลานออกจากประตูใหญ่สำนักมารกำเนิดอย่างยากลำบาก
“ศิษย์น้อง!”
“ศิษย์พี่!”
ลู่เซิ่งค่อยๆ ปิดประตูใหญ่ มองงูหน้าคนที่ลอยวนเวียนรอบๆ ตัวเองอย่างระอาใจอยู่บ้าง
เขาเพียงแค่ปล่อยสิ่งนี้ออกมาทดลองดู สุดท้ายนึกไม่ถึงว่ามันจะมีพลังวิปริตขนาดนี้
‘คำอธิบายบอกว่างูหน้าคนมีความสามารถในการปั่นป่วนจิตใจและสร้างความสับสนเล็กน้อย’ เขารู้สึกว่าตัวเองอ่านคัมภีร์ปลอมไป ทำให้คนสับสนจนควักลูกตาตัวเอง ฟันสองขาของตัวเอง ความสามารถแบบนี้เรียกเล็กน้อยหรือ
หลี่ตู้ถึงอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือพันธนาการระดับจตุลักษณ์ ต่อให้เป็นระดับของสำนัก ที่อ่อนแอกว่าตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง ก็เป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดที่สูงส่งในสายตาคนทั่วไปอยู่ดี
‘ถ้าหากว่าแม้แต่คนระดับนี้ก็ยังป้องกันการรบกวนจากงูหน้าคนที่เราปล่อยออกมาไม่ได้ อย่างนั้นถ้าคนธรรมดาเจอความสับสนแบบนี้ จะมีผลถึงขนาดไหน’ ลู่เซิ่งสีหน้าเคร่งขรึมลง เป็นเพราะเขาทราบว่าความสามารถของงูหน้าคนไม่ใช่เพียงส่งผลเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่ว่าปลดปล่อยพลังได้เป็นวงกว้าง…
……………………………………….