ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 236 เปลี่ยนแปลง (2)
บทที่ 236 เปลี่ยนแปลง (2)
วันต่อมา ช่วงเวลาฟ้าสาง ลู่เซิ่งกำลังฝึกฝนในตำหนักรอง ก็ได้ยินประตูคฤหาสน์ส่งเสียงเบาๆ ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเหอเซียงจื่อแอบออกไป
สุดท้ายนางก็เป็นยอดฝีมือที่สำเร็จวิชาไร้มูลเหตุ ต่อให้สู้ผู้นำของสำนักอื่นไม่ได้ แต่ยอดฝีมือทั่วไปยังพอรับมือไหว
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าเหอเซียงจื่อคิดทำอะไร เขาคร้านจะสนใจนาง ไม่ว่าอย่างไรหลังเหอเซียงจื่อทำอะไรลงไป เขาก็แก้ไขได้ทั้งนั้น ในเมื่องานชุมนุมไม่อนุญาตให้ฆ่าคน อย่างนั้นก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว
นั่งสมาธิต่อสักพัก หลังทำการบ้านโคจรวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานกับปราณขวดสมบัติประจำวันเสร็จ ลู่เซิ่งค่อยลุกไปกินอาหาร
มื้อเช้าเป็นวุ้นน้ำแกงกับเป็ดพะโล้ที่เลิศรส
ลู่เซิ่งนั่งลงรินน้ำชา แล้วเริ่มฉีกขาเป็ดกินอย่างช้าๆ
เมื่อคืนเขากำหนดตำแหน่งของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ขอแค่พลังที่แสดงออกมารักษาอันดับได้และไม่โดดเด่นเกินไป ก็ใช้ได้แล้ว
ระดับนี้ ลู่เซิ่งคิดจะกำหนดไว้ที่ฉลักษณ์
หลี่ตู้เป็นระดับจตุลักษณ์ เขากับศิษย์พี่ร่วมมือกัน มีแค่คนมีความสามารถส่วนหนึ่งที่แกร่งที่สุดในระดับจตุลักษณ์ถึงจะรับมือได้
นอกจากสำนักสามขั้นล่างที่อันดับสูงแล้ว ผู้นำส่วนใหญ่ก็แค่ระดับเบญจลักษณ์ มีไม่กี่คนที่เป็นฉลักษณ์ ถึงอย่างไรผู้นำระดับฉลักษณ์ก็เป็นระดับเฉลี่ยในสำนักสามขั้นกลาง
แค่แสดงพลังระดับฉลักษณ์ออกมา รักษาอันดับเอาไว้ก็ไม่ใช่ปัญหา ทั้งยังไม่สะดุดตาเกินไป
‘เพียงแต่เยื่อดำของศิษย์สำนักระดับฉลักษณ์แข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน อาจจะเทียบกับระดับของจ่านข่งหนิงได้ล่ะมั้ง…’ ลู่เซิ่งคาดคำนวณอย่างละเอียด
แอ๊ด
ทันใดนั้นประตูคฤหาสน์ค่อยๆ เปิดออก เงาคนสายหนึ่งพุ่งเซเข้ามา เป็นเหอเซียงจื่อ!
นางหูหายไปข้างหนึ่ง บนน่องขาข้างขวามีรูขนาดใหญ่ มองตรงๆ จะสามารถเห็นภาพด้านหลังได้ ตอนนี้ล้มกองกับพื้นพร้อมร่างโชกเลือด
ลู่เซิ่งถอนใจอย่างจนปัญญา รีบลุกขึ้นเข้าไปหา
“ศิษย์พี่ท่านไม่เป็นไรกระมัง ท่านไม่ใช่ไปสืบข่าวหรอกหรือ เหตุใดกลายเป็นแบบนี้”
เขารีบประคองนางขึ้นมา
“ไม่เป็นไร…ข้า…ข้าไม่แพ้” เหอเซียงจื่อยิ้ม ฝืนกล่าวหนึ่งประโยค แล้วสลบไสลไป
ลู่เซิ่งจนใจ ได้แต่อุ้มนางไปวางบนเตียงของตำหนักรองเพื่อให้พักผ่อน
จากนั้นป้อนยารักษาให้นาง พอเห็นปากแผลงอกเนื้อด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้ จึงค่อยวางใจลง
เขากลับมาถึงประตูตำหนักรอง มองด้านนอกที่คึกคัก
‘ดูเหมือนต้องเปิดเผยพลังแล้ว ไม่งั้นไม่ว่าใครก็กล้ามาหาเรื่อง’ เขาทบทวนระดับเยื่อดำของจ่านข่งหนิงอย่างตั้งใจ ไอสีดำทะลักออกมาบนร่าง จากนั้นกลายเป็นเยื่อดำอย่างรวดเร็ว ปรับแต่งสักพัก เยื่อดำของเขาก็เริ่มบางลง ไอสีดำที่อยู่ด้านในน้อยลงกว่าก่อนหน้ามากโข
‘ประมาณนี้แหละ…ความแข็งแกร่งนี้น่าจะไม่มีปัญหา ใกล้เคียงกับความแข็งแกร่งของจ่านข่งหนิง’ ลู่เซิ่งพอใจกับผลลัพธ์การปรับแต่งของตัวเองมาก
พอเตรียมงานเรียบร้อย เขาก็มองท้องฟ้า ยังเช้าอยู่ ยังไม่ถึงเที่ยงวัน
‘พอดีเลย จัดการให้เร็วหน่อย กลับมายังกินข้าวเที่ยงได้อีก’ เขาคิดพลางสาวเท้าเดินไปยังประตูใหญ่ของสวนกล้วยไม้
ผลักประตูออก ด้านนอกมีสภาพเคร่งเครียดชนิดชักกระบี่ง้างหน้าไม้แล้ว
สำนักเบิกอาทิตย์ หุบเขาน้ำแข็ง พรรคกระบี่ทรายเหลือง ในสำนักห้าสำนักของเขตนี้มีสามสำนักออกหน้าแล้ว
พวกเขาแบ่งเป็นสามกลุ่ม คุมเชิงกันบนถนนใหญ่ตรงกลาง
ถนนใหญ่เป็นถนนที่ตัดทะลุตำหนักจิตหยก พื้นที่กว้างมาก จุคนได้หลายสิบคน
คนของสำนักเบิกอาทิตย์มีสภาวะคุกคามคน แต่ละคนฮึกเหิม ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าถือลูกตุ้มสองอัน บนลูกตุ้มเต็มไปด้วยหนามแหลมน่ากลัว เป็นหวงซือเฉิงผู้นำของสำนักเบิกอาทิตย์
ทางด้านหุบเขาน้ำแข็ง หลี่ซิ่วอิงที่เป็นผู้นำหน้างามเย็นชา ถือกระบี่หักเล่มหนึ่ง บนตัวเห็นรอยเลือดรางๆ แสดงว่าสถานการณ์ก่อนหน้าไม่สู้ดี
คนที่อยู่ด้านหน้าของพรรคกระบี่ทรายเหลืองคล้ายเป็นคุณชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ใบหน้าดุจกวนหยก ผมยาวประไหล่ ถือกระบี่ยาวที่บางเหมือนกับหนามแหลม ชายฉกรรจ์สวมหมวกคลุมหน้าสีดำหกคนยืนเป็นระเบียบอยู่ด้านหลัง
ทั้งสามฝ่ายรวมตัวกัน ดูท่าทางก่อนหน้านี้ต่อสู้กันไปแล้ว
“อ้อ? คนของสำนักมารกำเนิดออกมาอีกแล้ว” คุณชายสูงศักดิ์ของพรรคกระบี่ทรายเหลืองพอเห็นลู่เซิ่งออกมา ก็ยิ้มอย่างประหลาดใจ “ก่อนหน้านี้สำนักมารกำเนิดกำจัดสำนักจุดพิสดารไป ดูเหมือนมีความสามารถอยู่บ้าง”
ลู่เซิ่งกวาดตามองทุกคน เห็นเยวี่ยเซิ่งหย่าอยู่ท่ามกลางเหล่าสตรีจากหุบเขาน้ำแข็งถลึงตามองมาทางนี้ คล้ายบอกให้เขาถอยกลับไป
ทว่าในเมื่อเขาตั้งใจออกมาจัดการเรื่องจัดอันดับแล้ว ย่อมไม่ถอยกลับไปง่ายๆ
เขากวาดตามองรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาไปหยุดบนร่างคุณชายสูงศักดิ์ของพรรคกระบี่ทรายเหลือง
“ช่างเถอะ เลือกเจ้าก็แล้วกัน”
“หา?” รอยยิ้มบนใบหน้าคุณชายสูงศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นชะงักค้าง “เมื่อครู่…เจ้าพูดอะไร”
ลู่เซิ่งคร้านจะพูดจาไร้สาระ ต่อปากต่อคำกับคนระดับจตุลักษณ์ เบญจลักษณ์พวกนี้ไปทำไม ไม่ยอมก็เหลือแค่คำคำเดียว จัดการ!
เขาก้าวยาวๆ เข้าหาคนของพรรคกระบี่ทรายเหลือง
“เด็กน้อยผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ” คุณชายสูงศักดิ์ทำหน้าประหลาดพิกล ถอยหลังไปหนึ่งก้าว “เจี่ยนอี เจ้าไปทดสอบเขาดู”
“ขอรับ”
คนสวมหมวกคลุมหน้าคนหนึ่งด้านหลังเขาขานรับ แล้วเดินออกมาหาลู่เซิ่ง
ตั้งแต่ประตูใหญ่สวนกล้วยไม้ ถึงตำแหน่งที่คนของพรรคกระบี่ทรายเหลืองยืนอยู่ เป็นระยะทางทั้งหมดไม่ถึงร้อยก้าว
ไม่ทันไรคนสวมหมวกคลุมหน้าก็เผชิญหน้ากับลู่เซิ่งที่เดินมา
กระบี่ด้านหลังเขาพลันพุ่งออกมาจากฝัก แล้วตกลงใส่มือเขาดุจสายฟ้าฟาด
“วิชาลับ กรวดถั่งโถม!”
ฉัวะ!
คมกระบี่กลายเป็นแสงสีเหลืองผืนใหญ่ เหมือนหนามแหลมคม แทงใส่ลู่เซิ่งราวเม็ดฝน
จุดแสงเหมือนอัญมณีกระพริบบนปลายกระบี่ที่แหลมคมภายใต้เส้นแสง ถึงขั้นมีแสงสีเหลืองอ่อนๆ ฟุ้งกระจาย ไม่ใช่ฝนกระบี่ธรรมดาเป็นแน่
ฟู่ว…
ลู่เซิ่งอ้าปาก พ่นไอสีดำออกมา ปราณมารที่เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุถูกกระตุ้น กระจายออกมาช้าๆ
เคร้งๆๆๆ…
คมกระบี่มากมายแทงใส่ตัวลู่เซิ่ง แต่ทั้งหมดถูกเยื่อดำชั้นหนึ่งกันไว้ เงากระบี่ที่เหมือนหยดฝนมีสะเก็ดไฟกระเด็นออกมา
“นี่คือ!?” ม่านตาของคนสวมหมวกคลุมหน้าหดตัว เขาไม่เชื่อว่าตนเองถึงกับทำลายแม้แต่เยื่อดำของลู่เซิ่งไม่ได้
วิชาลับของเขาเน้นความเร็วเป็นหลัก ความเร็วที่มากพอ บวกกับกระบี่ทรายเหลืองที่คมกริบมากพอ สามารถทำให้คู่ต่อสู้ทุกคนกลัวเกรง ทว่าตอนนี้…
“เหอเซียง ดูให้ดีว่าเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุใช้อย่างไร…” ลู่เซิ่งพลันส่งเสียง
มือของเขาคล่องแคล่วว่องไว พุ่งเฉียดข้างลำตัวของคนสวมหมวกคลุมหน้าไป ไม่โดนอีกฝ่าย เพียงแค่เฉียดผ่านอีกฝ่ายอย่างเรียบง่าย
ทว่าวินาทีที่เฉียดผ่านนี้ ปราณมารที่เหมือนกับเส้นเชือกก็เกาะติดร่างของคนสวมหมวกคลุมหน้าเหมือนสิ่งมีชีวิต
ที่ประตูสำนักมารกำเนิด เหอเซียงจื่อไม่ทราบยันตัวเดินออกมาตอนไหน กำลังพิงประตูมองมาทางนี้
พอได้ยินเสียงของลู่เซิ่ง ใบหน้าของเหอเซียงจื่อก็เคร่งเครียดขึ้น อ้าปากคิดกล่าวอะไรแต่ก็หยุดไว้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตอนนี้ลู่เซิ่งเฉียดผ่านร่างคนสวมหมวกคลุมหน้าไปแล้ว
คนสวมหมวกคลุมหน้าที่ตอนแรกทุกอย่างปกติดี เดินไปด้านหน้าสองสามก้าว กำลังจะหมุนตัวมาโจมตี สีหน้ากลับดำคล้ำ ไอออกมาอย่างรุนแรง
แค่กๆๆ!
เขาก้มเอว ทรุดล้มลงกับพื้น ไอเสียงดัง กระอักเลือดออกมาหลายคำ
“ปราณมารหมอกพิษของสำนักมารกำเนิดหรือ” คุณชายสูงศักดิ์สีหน้าเคร่งขรึมลง “ข้าอยากจะลองด้วยตัวเองดู” เขาชักกระบี่ช้าๆ พลางเดินไปหาลู่เซิ่ง
“วิชาลับ ทรายระเบิด!” เขาเดินออกไปสองสามก้าว ยิ่งเดินยิ่งเร็ว ยังไม่ได้เข้าประชิดตัว ก็ชักกระบี่ออกอย่างรุนแรง ประกายกระบี่สีเหลืองที่คลุ้มคลั่งกว่าคนสวมหมวกคลุมหน้าก่อนหน้านี้ทิ่มแทงใส่จุดอ่อนของลู่เซิ่งประดุจหยดฝน
ดอกหญ้าพืชพรรณใกล้ๆ ที่โดนประกายกระบี่พริบตาเดียวถูกบดขยี้กลายเป็นสีเหลือง ขาดน้ำ คล้ายถูกพายุทรายของจริงม้วนใส่ แม้แต่น้ำในตัวก็โดนดึงออกไปจนแห้งเหี่ยว
หลังจากเดินข้ามคนสวมหมวกคลุมหน้า ลู่เซิ่งก็เดินเข้าหาคุณชายสูงศักดิ์ต่อ
“คู่ต่อสู้เป็นคนละคน จำเป็นต้องใช้วิธีรับมือที่แตกต่าง เหมือนอย่างประเภทนี้ ท่านสามารถควบคุมให้ละเอียดขึ้นได้ เป้าหมายคือควบคุมปราณมารให้มุดเข้าไปในช่องว่างจากด้านหลังเขา แน่นอนว่าการกัดกร่อนของเยื่อดำไม่ได้เห็นผลเร็วนัก ท่านจำเป็นจะต้องควบคุมท่าร่างที่คล่องแคล่วมากพอ คอยหลบหลีกเพื่อถ่วงเวลา ส่วนท่าร่างจำเป็นต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆ ตลอดเวลา มีข้อจำกัดมากมาย วิธีการที่ดีที่สุดคือสู้ศึกระยะยาว ค่อยๆ ทำลายเยื่อดำของอีกฝ่าย”
ลู่เซิ่งเดินไปถึงด้านหน้าประกายกระบี่พายุทรายผืนใหญ่
จากนั้นก็ลงมือออกไปหนึ่งฝ่ามือ
พริบตาเดียวแขนของเขาก็หายเข้าไปในประกายกระบี่
ตูม!
เกิดเสียงดังอึงอล
ประกายกระบี่ที่กระจายทั่วฟ้าหายสาบสูญ คุณชายสูงศักดิ์ไม่ทราบหายไปไหน เหลือแค่รูใหญ่ทรงกลมรูหนึ่งบนกำแพงด้านข้าง
ลู่เซิ่งชักมือกลับมา
“แต่นั่นจะต้องเป็นวิธีของท่าน ข้าไม่ต้องพิจารณามากมายขนาดนั้น”
“…” เหอเซียงจื่ออ้าปาก ไร้คำพูดโต้ตอบ ได้แต่มองภาพเหตุการณ์นี้อย่างงงงัน
สำนักที่เหลือเงียบงันเป็นเป่าสาก
ในกลุ่มของหุบเขาน้ำแข็ง เยวี่ยเซิ่งหย่ายกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องอุทานที่ควบคุมไม่ได้เอาไว้
ผู้นำของหุบเขาน้ำแข็งกับผู้นำของสำนักเบิกอาทิตย์ต่างเงียบขรึม ทั้งสองลองเปลี่ยนมุมมองดู ถ้าหากพวกเขาเป็นคนเผชิญฝ่ามือเมื่อครู่ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ศิษย์สำนักคนอื่นๆ ค่อยรู้สึกตัว เสียงอุทานเริ่มดังขึ้น สายตาที่ยำเกรงมากมายอยู่บนร่างลู่เซิ่ง พละกำลังและความเร็วนั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆ ไม่มั่นใจว่าจะรับมือได้
“ประมุขน้อย!” คนของพรรคกระบี่ทรายเหลืองค่อยรู้สึกตัว รีบตามออกไปในรูกลม พริบตาเดียวหายตัวไปหลายคน คนสวมหมวกคลุมหน้าที่เหลืออีกสองคนเหมือนจะเป็นผู้อาวุโส คนหนึ่งในนี้มองลู่เซิ่งอย่างล้ำลึก
“พรรคกระบี่ทรายเหลืองของเรา ขอยอมแพ้!” อีกฝ่ายประสานมือให้ลู่เซิ่ง แล้วหมุนตัวพาคนตามไป
“ดังนั้นบนโลกใบนี้จึงไม่มีวิชาลับที่อ่อนแอ มีแต่คนใช้ไม่เป็น” ลู่เซิ่งมองเหอเซียงจื่ออย่างสงบ
“วิชาลับสำนักมารกำเนิดว่ากันว่าอ่อนแอยิ่ง แต่เมื่ออยู่ในมือข้า มันก็แข็งแกร่งที่สุด!”
เหอเซียงจื่อได้ยินก็รู้สึกพลุ่งพล่าน ถึงขั้นตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ศิษย์น้อง…”
…
ตระกูลซั่งหยาง
ถ้ำวิญญาณอาทิตย์อุทัย
“ข้าเคยบอกแล้วว่านี่เป็นครั้งสุดท้าย” ใบหน้าที่อ่อนโยนน่าเวทนาของซั่งหยางเฟยตอนนี้บูดบึ้ง มือของนางถึงขั้นลูบไล้ดาบโค้งที่เอวเบาๆ
“พวกเราเองก็เคยบอกแล้วว่า การโยกย้ายตุลาการเจ็ดสิบสองคน พวกเรามีสิทธิ์สอดมืออยู่แล้ว”
ในโพรงถ้ำสีแดงฉาน ท่ามกลางเตาหลอมกระบี่ ชายชราหนวดแดงสามคนนั่งขัดสมาธิในค่ายกลทรงกลมบนพื้น
“แต่พวกท่านกลับสอดมือในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้!” ซั่งหยางเฟยสัมผัสถึงเพลิงโทสะที่ไม่อาจระบายในทรวงอก จึงกดทับไว้ แต่อาจระเบิดได้ตลอดเวลา
เปลวเพลิงลุกไหม้ในเตาหลอมกระบี่สีแดงฉาน อุณหภูมิที่สูงเติมเต็มบรรยากาศร้อนทุกส่วนของที่นี่
แค่อากาศที่ร้อนเร่าของที่นี่ ถ้าคนธรรมดาสูดเข้าไป พริบตาเดียวปอดอาจถูกเผาจนพัง ยิ่งอย่าว่าแต่อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน
ที่นี่เป็นหนึ่งในถ้ำลับใจกลางตระกูลซั่งหยาง เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามสำหรับหลอมชิ้นส่วนอาวุธเทพ ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสใหญ่สามคนแห่งตระกูลซั่งหยางพักอยู่ด้วย
ทว่าอากาศร้อนลวกของที่นี่ยังไม่ร้อนเท่าเพลิงโทสะที่แสบร้อนกลางอกซั่งหยางเฟย
“พวกเราไม่สอดมือในตอนนี้ หรือจะให้นั่งดูเจ้าโยกย้ายตุลาการไปต่อสู้กับเทพนางแอ่นของตระกูลหลิน เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นสร้างความเสียหายขนาดไหน”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวอย่างเชื่องช้า
“ซั่งหยางเฟย เจ้าต้องตระหนักว่า การบ่มเพาะและความหวังที่ตระกูลมอบให้เจ้าไม่ใช่เงินทุนที่เจ้าจะเอามาใช้ตามใจ”
ซั่งหยางเฟยกำด้ามดาบแน่น
“ออกไปเถอะ ที่นี่เป็นพื้นที่หวงห้าม ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา” ผู้อาวุโสเอ่ยอย่างเฉยชา
ซั่งหยางเฟยไม่เคยชิงชังเฒ่าไม่ตายที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดในตระกูลเหล่านี้ เท่าตอนนี้มาก่อน
‘ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนแปลง ใต้หล้ากำลังเปลี่ยนแปลง ต้าซ่ง…ก็กำลังเปลี่ยนแปลงเช่นกัน มีแต่พวกท่าน…’
นางสีหน้าไร้อารมณ์ หมุนตัวเดินไปยังประตูอย่างเงียบๆ
บางที ตระกูลซั่งหยางอาจจำเป็นต้องการการปฏิวัติโดยสมบูรณ์สักครั้ง
……………………………………….