ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 237 วางแผน (1)
บทที่ 237 วางแผน (1)
หลังจัดการพรรคกระบี่ทรายเหลือง สำนักมารกำเนิดก็ได้รับการยอมรับจากสำนักที่เหลือว่าลู่เซิ่งมีคุณสมบัติต่อสู้กับทั้งสำนักของพวกเขาได้ด้วยตัวคนเดียว
ไม่มีคนยอมรับว่าตนเองสู้สำนักมารกำเนิดไม่ได้ กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเดินออกมาลงมือกับสำนักมารกำเนิดเป็นคนแรกเช่นกัน
หลังลู่เซิ่งจัดการพรรคกระบี่ทรายเหลืองเสร็จ ก็พาเหอเซียงจื่อกลับไปรอคอยผลลัพธ์ในคฤหาสน์
ตอนบ่ายเขาอยู่ว่างในคฤหาสน์ จึงใช้หินซัดห่านตัวหนึ่งร่วงลงมา ถอนขนและตั้งน้ำหม้อใหญ่ ใส่ยาที่พกติดตัวไม่น้อยเป็นเครื่องปรุง แล้วเริ่มต้นตุ๋นในหม้อ
เนื้อห่านอ้วนท้วนพลิกตัวในหม้อ กลิ่นหอมซึ่งฟุ้งกระจายจากน้ำแกงสีขาวน้ำนมที่ตุ๋นออกมาทำให้เหอเซียงจื่อที่อยู่ด้านข้างอดสูดจมูกไม่ได้
นางไม่ใช่คนชอบกิน แต่ว่าเนื้อห่านหม้อนี้น่ากินจริงๆ แค่ได้กลิ่นก็ทำให้คนน้ำลายสอแล้ว
“ห่านหม้อนี้หล่อเลี้ยงหยินเสริมไต ทำให้สายตากระจ่างและหล่อเลี้ยงตับ ผลเสียเพียงหนึ่งเดียวคือมีสรรพคุณแรงไปบ้าง คนทั่วไปไม่ได้ประโยชน์” ลู่เซิ่งทางหนึ่งปรับกำลังไฟ ทางหนึ่งคุยเล่นกับเหอเซียงจื่อ
“คือว่า….ศิษย์น้อง…ด้านนอกไม่น่าเป็นห่วงจริงๆ หรือ” เหอเซียงจื่อกลืนน้ำลาย สายตาเหลือบมองด้านนอก ด้านนอกสวนกล้วยไม้มีเสียงต่อสู้ดังตูมตามดังมาตลอดเวลา ไม่ทราบว่าใครสู้กันอยู่
“ไม่เป็นไร อย่างไรรอพวกเขาสู้กันจบแล้ว พวกเราค่อยออกไปก็ยังไม่สาย” ลู่เซิ่งพูดอย่างไม่นำพา
“มั่นใจดีนี่!” เงาคนสายหนึ่งพลันลอยพลิ้วมาจากด้านนอกประตูใหญ่ของสวนกล้วยไม้
“หอมจริง! หอมจริงหอมจัง หอมจริงๆ! สหายน้อยมาทำอาหารเลิศรสที่นี่คนเดียว การไม่สนใจชื่อเสียงสถานะเป็นเรื่องสุขสันต์อันดับหนึ่งในชีวิตจริงๆ!”
หลังเงาคนทิ้งตัวลงบนพื้น แล้วยืนหยัดได้แล้ว จึงค่อยเห็นหน้าตาชัดเจนว่า เป็นนักพรตเฒ่าที่ใบหน้าเป็นมิตร ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่ง
เสื้อผ้าบนตัวนักพรตดูสกปรก เต็มไปด้วยรอยปะชุน รองเท้าผ้าทั้งสองข้างขาดเป็นรูสองรู เผยให้เห็นนิ้วหัวแม่เท้าทั้งสองข้าง
“ถึงว่าห่านที่ข้าเลี้ยงไว้เหตุใดอยู่ๆ ก็หายไปตัวหนึ่ง ที่แท้ถูกสหายน้อยซัดลงมาที่นี่นี่เอง!” ลูกตาเขากลอกกลิ้ง หลังเดินเข้าใกล้ก็กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
“ท่านผู้เฒ่ารู้ได้อย่างไรว่าห่านในหม้อของข้า เป็นตัวที่ท่านเลี้ยงไว้” ลู่เซิ่งถามกลับ
“เอ่อ…บนตัวมันมีสัญลักษณ์ที่ข้าทิ้งไว้ บนก้นมันมีปานสองปาน!” ชายชราชี้ก้นของห่านตัวใหญ่ที่พลิกอยู่ในหม้อ
ลู่เซิ่งกับเหอเซียงจื่อต่างหมดคำพูด
เนื้อใกล้จะสุกแล้ว หนังก็ถูกตุ๋นจนเปื่อย มองอะไรไม่เห็นอีก อย่าว่าแต่ปานสองปาน จะสามปานสี่ปาน ก็ไม่มีทางเห็น น้ำแกงที่เกิดจากยาเป็นสีขาว ทำให้หนังเนื้อแต่ละส่วนกลายเป็นสีขาวน้ำนมอ่อนๆ
เห็นพวกลู่เซิ่งไม่โต้ตอบ นักพรตเฒ่าพลันได้ใจ
“เหอะๆ หากไม่ต้องการให้ข้าเอาความ ขอแค่แบ่งเนื้อให้ข้าสักครึ่งหนึ่ง ข้ารับประกันจะไม่เล่าให้ใครฟัง!”
“ท่านไม่ใช่บอกว่านี่เป็นห่านของท่านหรอกหรือ” เหอเซียงจื่ออดโต้ตอบไม่ได้
“เอ่อ…” นักพรตเฒ่ารีบเอามือปิดปาก
“ถ้าท่านผู้เฒ่าอยากกิน ก็มากินด้วยกันเถอะ” ลู่เซิ่งยิ้มกล่าว
“ช่วยไม่ได้นะ!” นักพรตเฒ่ารีบเข้ามานั่งลงข้างกองไฟอย่างกระตือรือร้น
เพราะว่าไม่มีเตาไฟ ดังนั้นลู่เซิ่งจึงหาฟืนมาก่อกองไฟบนพื้นราบกลางสวนกล้วยไม้
ทั้งสามคนถือชามใหญ่ กินกันคนละชามก่อน
นักพรตเฒ่าถือชามใส่น้ำแกง สูดดมอย่างตั้งใจ พลันแสดงสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา จึงค่อยจรดชามที่มุมปาก แล้วซดเบาๆ
น้ำแกงอันโอชะที่แทรกกลิ่นยาเข้มข้นไหลเข้าปาก คล้ายกับเป็นรสชาติที่สุดยอดที่สุดในโลก
จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลอีก กินเนื้อมากกว่าครึ่งชามลงท้อง
“รบกวนขออีกชาม…อะไรกัน!?” นักพรตชราหันหน้ากลับมาเห็นลู่เซิ่งกำลังขูดก้นหม้อ พลันอ้าปากตาค้าง
“หมดแล้วเหรอ!?” เขาหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม มือที่ถือชามสั่นอย่างมิอาจควบคุม
ลู่เซิ่งมองเขาอย่างประหลาดใจ ตักน้ำแกงและเนื้อก้นหม้อช้อนสุดท้ายใส่ปาก แล้วกลืนลงไป
“เมื่อครู่ท่านว่าอะไรนะ”
นักพรตเฒ่าไร้คำพูดโต้ตอบ
เหอเซียงจื่อแอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง
นางเคยเห็นปริมาณอาหารของลู่เซิ่งมาก่อน กับข้าวมื้อหนึ่งเท่ากับหลายสิบเท่าของคนอื่น สุดที่คนทั่วไปจะจินตนาการออก
“เขาบอกว่าอยากจะเติมอีกชาม” เหอเซียงจื่ออธิบายให้ลู่เซิ่งฟังเบาๆ
“อ้อ ท่านพี่ผู้เฒ่าช้าไปหน่อย ครั้งหน้าก็แล้วกัน ครั้งหน้าข้าจะเหลือไว้ให้ท่าน” ลู่เซิ่งวางหม้อสูงเท่าครึ่งเอวไว้ด้านข้าง แล้วลูบท้อง
นักพรตเฒ่ามองหนังท้องที่ไม่ป่องแม้แต่น้อยของเขา ก่อนถอนใจยาวคำหนึ่ง
“ข้าที่แล้วมานึกว่ามีประสบการณ์โชกโชน แต่วันนี้ได้พบน้องชาย จึงรู้ว่าเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า”
“ท่านพี่ผู้เฒ่ากล่าวหนักไปแล้ว ข้าไม่มีความสามารถอื่น มีแต่กินจุไปบ้างเท่านั้น” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“การกินจุก็เป็นความสามารถเหมือนกัน” นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างจริงจัง “ช่างเถอะ วันนี้ขอบคุณแกงเนื้อของน้องชายแล้ว ภายภาคหน้ามีวาสนาพวกเราค่อยพบกันใหม่” เขาลุกขึ้นพร้อมถอนใจ
“อ้อ อย่างนั้นท่านพี่ผู้เฒ่าขอให้โชคดี” ลู่เซิ่งโบกมือ
นักพรตเฒ่าพยักหน้า หมุนตัวเดินไปสองก้าว ก่อนกระโดดเหินไปด้านนอกสวนกล้วยไม้อย่างแผ่วเบา ไม่นานก็หายไป
“นักพรตเฒ่าผู้นี้สมควรเป็นคนของสำนักบัวสวรรค์ ที่นี่อย่างไรก็เป็นตำหนักจิตหยก” เหอเซียงจื่อเดา “อาจจะเป็นผู้อาวุโสสักคนของสำนักบัวสวรรค์ก็ได้”
“ไม่แน่นัก” ลู่เซิ่งมองหม้อตรงหน้า “เตรียมตัว มีคนมาแล้ว ถ้าราบรื่น วันนี้สมควรจบช่วงแรกของการต่อสู้ภายใน ออกจากเขตย่อยได้”
“หา?” เหอเซียงจื่อไม่ทราบเหตุผล แต่ก็มีเสียงเคาะประตูที่ทุ้มหนักไม่เสียดแทงหูดังมาจากด้านนอกประตูคฤหาสน์ทันที
ลู่เซิ่งลุกขึ้น เตรียมจะไปเปิดประตู ทว่าเหอเซียงจื่อชิงพุ่งออกไปเปิดประตูก่อน
“ศิษย์น้องเจ้าเป็นผู้นำ สมควรแสดงบุคลิกของผู้นำ”
“เอ่อ…นี่ความจริงไม่สำคัญ” ลู่เซิ่งว่า
“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงภาพลักษณ์ของสำนัก จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด” เหอเซียงจื่อยืนยันพลางผลักประตู
บุรุษร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่งถือลูกตุ้มมีหนามแหลมยืนอยู่หน้าประตูใหญ่
“หวงซือเฉิงสำนักเบิกอาทิตย์ ตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากวิชาลับสำนักมารกำเนิด”
ด้านหลังหวงซือเฉินมีศิษย์จากหุบเขาน้ำแข็งและสำนักจุดพิสดารจำนวนมาก รวมถึงหลี่ซิ่วอิงผู้นำของพวกเขา และสตรีนามเหลิ่งเอ้าจากสำนักจุดพิสดารแยกกันยืนอยู่ ทั้งหมดมองมาทางนี้อย่างค่อนข้างคาดหวัง
บางทีทั้งสองคนคงหวังให้ลู่เซิ่งกับหวงซือเฉิงสู้กันจนบาดเจ็บทั้งคู่ จึงจะมีโอกาสให้ฉกฉวย
หวงซือเฉิงเอาชนะหลี่ซิ่วอิงจากหุบเขาน้ำแข็งได้ ทั้งยังหักหาญปราบสำนักจุดพิสดารที่ไร้ผู้นำไปแล้ว สุดท้ายไม่ยอมมอบตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งให้โดยไม่ได้ทดลอง ดังนั้นจึงมาเรียกด้านหน้าประตูสำนักมารกำเนิด
ช่วงเวลาตั้งแต่ลู่เซิ่งลงมือจนกินข้าวเที่ยงเสร็จ ข่าวลือที่สำนักมารกำเนิดปรากฏยอดฝีมือคนหนึ่งก็แพร่หลายออกไปแล้ว
สำนักระดับสามขั้นล่างไม่น้อยเริ่มรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับตัวลู่เซิ่ง มีบางสำนักไม่ใส่ใจ สำนักมารกำเนิดจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็มีแค่สองคน รุมโจมตีก็ผลาญพลังพวกเขาจนตายได้แล้ว
กระนั้นไม่ว่าสำนักอื่นจะคิดอย่างไร ถึงอย่างไรหวงซือเฉิงก็ต้องการทดลองสู้กับลู่เซิ่งสักครั้ง ไม่อย่างนั้นอันดับหนึ่งของเขตนี้ก็เป็นไปได้ที่สุดว่าจะเป็นของอีกฝ่ายแล้ว
ถึงอย่างไรสำนักอื่นๆ รวมถึงเขาก็มีรอบที่แพ้ สำนักเบิกอาทิตย์ที่เขาอยู่แพ้ไปแล้วสอง แต่ชนะเก้า นี่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
หุบเขาน้ำแข็งชนะเจ็ดครั้ง
พรรคกระบี่ทรายเหลืองชนะห้าครั้ง
คนของสำนักจุดพิสดารชนะสามครั้ง
ถึงแม้โดยทฤษฎีแล้วศิษย์ของแต่ละสำนักจะมีสิทธิ์ท้าสู้ห้าครั้ง แต่เป็นเพราะไม่ได้จำกัดจำนวนคนเยอะนัก ดังนั้นแทบทุกสำนักจึงใช้ประโยชน์จากกฎนี้ในการดำเนินกลยุทธ์รุมจู่โจม
ให้ศิษย์จำนวนมากท้าสู้คนคนเดียวพร้อมกันจนกลายเป็นรูปแบบการกลุ้มรุม
ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายที่ถูกท้าสู้ก็จะส่งคนออกมาให้เท่ากันเพื่อรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ จึงกลายเป็นศึกตะลุมบอนไป
ฝ่ายที่คนน้อยกว่าจึงเสียเปรียบ ดังนั้นการแข่งขันในงานชุมนุมจึงมีข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนคนอยู่ นั่นคือทุกๆ สำนักจะมีคนได้ไม่เกินยี่สิบคน
หมายความว่าบางสำนักดูเหมือนคนมากกว่าสภาวะมากกว่า ทว่าส่วนใหญ่พามาอำพราง หรือไม่ก็ทำหน้าที่เป็นแนวหลัง ให้คนไม่รู้ว่าสำนักเขามีใครออกศึกบ้าง เกิดประสิทธิผลปิดบังข้อมูล
ทว่าสิ่งที่ทำให้หวงซือเฉิงจนใจคือ การเผชิญกับสำนักมารกำเนิดเบื้องหน้า
เขาเองก็เคยคิดจะใช้วิธีกลุ้มรุมเช่นกัน แต่นึกย้อนถึงพละกำลังกับความเร็วของลู่เซิ่ง เขาก็รู้สึกว่าคนมากไปก็ใช่จะมีประโยชน์
ในทางตรงกันข้ามกลับมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้คนที่จะออกจากเขตย่อยถูกมัดมือมัดเท้า ดังนั้นเขาจึงเลือกคนมาสามคนเพื่อร่วมมือกับตัวเองรับมือกับคนประเภทลู่เซิ่ง
“สหายลู่ สำนักมารกำเนิดวางแผนให้ท่านออกศึกคนเดียวหรือสู้พร้อมกับเหอเซียงจื่อ” หวงซือเฉิงกระแอมสองสามครั้ง ถามทั้งๆ ที่ทราบดี
เหอเซียงจื่อบาดเจ็บสาหัส มองแวบเดียวก็รู้ว่าลงมือไม่ได้ คำถามนี้เขาเพียงถามพอเป็นพิธี เพื่อปกปิดความละอายใจให้ตัวเอง
ถึงอย่างไรสำนักเบิกอาทิตย์ก็วางแผนจะให้คนสี่คนกลุ้มรุมลู่เซิ่ง ล่ำลือกันไปก็หมดศักดิ์ศรีอยู่ดี
“ข้าคนเดียว” ลู่เซิ่งลุกขึ้น “พวกท่านได้ผลแพ้ผลชนะแล้วหรือ”
“ถูกต้อง ตอนนี้เหลือแต่สำนักมารกำเนิดแล้ว” หวงซือเฉิงกระดากอยู่บ้าง “ขอให้สหายลู่ชี้แนะ ยั้งมือไว้ไมตรีด้วย”
“พูดได้ดีๆ” ลู่เซิ่งยิ้ม “แบบนี้นับว่าพวกท่านท้าสู้กับข้าถูกต้องหรือไม่”
หวงซือเฉิงพยักหน้า คนสามคนด้านหลังเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องซึ่งยังเหลือแรงต่อสู้อยู่ ถ้าหากว่าครั้งนี้จัดการลู่เซิ่งไม่ได้ แม้จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ใหญ่ไม่มาก แต่ชื่อเสียงกลับป่นปี้ไปแล้ว
แม้สำนักมารกำเนิดจะแข็งแกร่ง ทว่าแต่ละคนมีสิทธิ์ท้าสู้ห้าครั้ง ถ้าทุกคนไม่ไปท้าสู้พวกเขา อย่างมากสุดก็ให้พวกเขาชนะสิบครั้ง สำนักอื่นๆ มีศิษย์มาก ตอนสุดท้ายชนะสิบรอบกลับไม่ถือว่ามาก
ทว่าสิ่งที่หวงซือเฉิงต้องการไม่ใช่สิ่งนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือชัยชนะที่ตรงไปตรงมา สิ่งที่ได้ไปด้วยคือชื่อเสียงผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดของตน
เขามองลู่เซิ่งที่ลุกขึ้นพร้อมกับสูดหายใจเฮือกหนึ่ง
“สำนักเบิกอาทิตย์ของข้ามีวิชาลับวิชาหนึ่ง สามารถกลืนกินไขกระดูก กัดกินเลือดสดๆ ฆ่าคนโดยมองไม่เห็นได้ ถ้าสหายลู่ผ่านกระบวนท่านี้ไปได้ เช่นนั้นพวกเราขอรับความพ่ายแพ้”
“อ้อ ได้สิ” ลู่เซิ่งยืนอยู่ห่างจากหวงซือเฉินสิบกว่าก้าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อยแล้ว” หวงซือเฉิงโบกมือ คนด้านหลังพลันพุ่งออกมา ล้อมลู่เซิ่งไว้ แล้วเริ่มวิ่งด้วยความเร็วสูง
เขาก็เข้าไปในวงล้อมด้วย ท่าเท้ามีความเร็วไม่มากนัก แต่ว่ามีความถี่สูง ปากท่องเคล็ดวิชา จุดแสงสีทองอ่อนๆ เริ่มกระจายออกมาบนร่าง
จุดแสงบนร่างคนทั้งสี่ไม่ทันไรก็ยิ่งมายิ่งมาก ยิ่งมายิ่งแน่นขนัด เริ่มพุ่งใส่ลู่เซิ่ง
วิชาลับวิชานี้มีชื่อวิหคทะยาน เป็นกระบวนท่าของสำนักเบิกอาทิตย์ที่แข่งแกร่งที่สุดซึ่งประสานกับค่ายกลขนาดเล็ก วิชาลับเหมือนกันสามารถให้ศิษย์หลายคนใช้พร้อมกันได้ อานุภาพจะทวีขึ้น น่าพรั่นพรึงสุดขีด
……………………………………….