ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 239 วางแผน (3)
บทที่ 239 วางแผน (3)
ทุกคนล้วนเพิ่งมาถึงที่นี่
รอบๆ เป็นลานพื้นหินกว้างขวาง รูปปั้นเต่ายักษ์ยาวสิบกว่าหมี่ สูงหลายหมี่วางอยู่มุมหนึ่ง สภาวะไม่ธรรมดา
บนกระดองเต่ามีคำว่าราบรื่นตัวใหญ่ติดอยู่
ซูเซียนยืนอยู่ข้างขาของเต่ายักษ์ตัวนี้ คนคนเดียวเผชิญหน้ากับสำนักมากมาย
ถึงทั้งหมดจะเป็นสำนักระดับสามขั้นล่าง ทว่าอย่างน้อยผู้นำก็อยู่ในระดับจตุลักษณ์ ยิ่งไปกว่านั้นคนและผู้นำที่อยู่ที่นี่ยังเป็นยอดฝีมือที่มาจากหลายเขต
ลานกว้างมีประตูเข้าออกห้าแห่ง ทุกประตูเท่ากับศิษย์สำนักที่เข้ามาจากทั้งห้าเขตย่อยพอดี
ทางด้านพวกลู่เซิ่ง หวงซือเฉิงเดินอยู่ด้านหน้า ถัดไปเป็นหลี่ซิ่วอิง ลู่เซิ่ง จากนั้นจึงเป็นศิษย์สำนักคนอื่นๆ ที่ติดตามมา
ประตูเข้าออกอีกสี่แห่งมีคนอีกสี่กลุ่ม แม้แต่กลุ่มของเขามยุเรศก็ยังไม่ยืนรวมอยู่กับซูเซียน
“นี่เป็นสถานการณ์อะไร” หวงซือเฉิงขมวดคิ้วขณะมองสถานการณ์ตรงหน้า
คนวัยกลางคนผู้หนึ่งในกลุ่มนักพรตนำทางตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“ทุกคนที่มาถึงก่อนหน้าเกิดความขัดแย้งส่วนหนึ่งเพราะการโต้เถียงบางอย่าง ใต้เท้าซูเซียนจากเขามยุเรศเพิ่งเลื่อนระดับ แต่ไม่ทราบว่าถูกสำนักตัวเองทิ้งให้โดดเดี่ยวเพราะอะไร จากนั้นก็กลายเป็นการลงมือภายใน การลงมือนี้ส่งผลต่อสำนักอื่นๆ…”
หวงซือเฉิงได้ยินในใจก็ลอบยินดี เขาสอดส่ายสายตา ไม่นานก็หาเงาร่างของเสิ่นโยวโยวในกลุ่มคนเจอ
ครั้งก่อนสตรีนางนี้เล่นงานเขาที่เพิ่งออกจากเขตย่อยกลับไป ครั้งนี้ถ้ามีโอกาสจะต้องแก้แค้นสักหนึ่งกระบี่
ระหว่างคุยกันอยู่ ทางนั้นก็เกิดปัญหาอีก
ผู้บำเพ็ญผมยุ่งมอมแมมคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ
“ที่แท้ซูเซียนเจ้าก็เลื่อนระดับเหมือนกัน พอดีเลยๆ พวกเรามาประมือกันสักครั้ง ดูว่าวิชาลับมยุเรศของเจ้าแข็งแกร่งหรือว่าวิชาลับบังตะวันของข้าร้ายกาจกว่า”
“หยวนปาหรือ” ลมกรรโชกบนร่างซูเซียนชะงักแล้วหยุดลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าอีกฝ่ายมอบแรงกดดันไม่น้อยให้นาง
“ลงมือเถอะ อย่าเอาแต่พิรี้พิไร!” หยวนปาพลิกมือชักลูกตุ้มทองแดงออกมาจากด้านหลัง แล้วพุ่งเข้าหาซูเซียน
“ลม!”
ขนนกด้านหลังซูเซียนพลันสว่างขึ้นสามเส้น ลมรุนแรงกลายเป็นพายุสีขาวเทา พัดใส่หยวนปา
โครม!
พายุถูกหยวนป่าทุบสลายไป สภาวะการพุ่งเข้ามาของเขาก็ถูกหยุดไว้เช่นกัน ซูเซียนฉวยโอกาสรักษาระยะห่าง
ทั้งสองคนทางด้านนี้ไม่พูดพล่ามทำเพลงก็สู้กัน คนของสำนักอื่นๆ ชมดูอย่างออกรส
ทว่าไม่นานก็มีคนของสำนักบัวสวรรค์ออกหน้ามาไกล่เกลี่ย ทั้งสองค่อยจำใจหยุดลง
สำนักบัวสวรรค์ส่งนักพรตมาคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้าง แนะนำกฎด้วยเสียงกระจ่าง
“กฎในครั้งนี้เป็นแบบเดิม” นักพรตพูดด้วยเสียงอันดัง “การคำนวณชัยชนะมีผู้เชี่ยวชาญทำการคำนวณ ทุกท่านเลือกว่าจะแยกตัวอยู่ตามลำพังหรืออยู่ด้วยกันก็ได้ จะสู้เป็นกลุ่มหรือสู้เดี่ยวก็ได้ คำนวณผลแพ้ชนะตามสำนัก นอกจากสำนักจะยอมแพ้เอง หรือสมาชิกทั้งหมดพ่ายแพ้ ไม่เช่นนั้นยังไม่นับว่าแพ้ ทุกๆ สำนักมีคนเข้าร่วมได้มากสุดสามคน
การเปลี่ยนกฎทำให้คนของสำนักจำนวนมากปั่นป่วน คนส่วนหนึ่งเริ่มจ้องมองสำนักคู่อริที่มีความแค้นอย่างประสงค์ร้าย คนบางส่วนก็ไม่สนใจเพราะมีพลังฝึกปรือสูงล้ำ หากมองคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันที่ตนให้ความสำคัญมาโดยตลอด
ลู่เซิ่งและเหอเซียงจื่ออยู่กับพวกหลี่ซิ่วอิง ลู่เซิ่งปกป้องหลี่ซิ่วอิงขณะไปท้าสู้ในฐานะผู้คุ้มกัน
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ หลี่ซิ่วอิงเอาชนะได้ติดต่อกัน ชนะไปแล้วสองครั้ง อีกฝ่ายก็เหมือนไม่อยากสู้ต่ออีก พอเจอนางลองหยั่งเชิงดูสักหน่อย ก็ขอยอมแพ้
ทางหลี่ซิ่วอิงก็ไม่มีสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย ทำท่าเหมือนอยู่ในความคาดหมาย
“ไม่ต้องประหลาดใจ” เยวี่ยเซิ่งหย่ากล่าวด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ ลู่เซิ่ง “นี่เป็นศึกนอกสนามที่ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเราเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ก่อนที่จะสู้กัน ศิษย์พี่ใหญ่ได้ตกลงกับคู่ต่อสู้ไม่น้อยไว้แล้ว”
ลู่เซิ่งใคร่ครวญดู ไม่ใช่ว่าเหมือนตัวเองหรอกหรือ ผลแพ้ชนะไม่แน่จะต้องใช้พลังยุทธ์
แต่ละสำนักเริ่มท้าสู้คู่ต่อสู้ หลังจากหลี่ซิ่วอิงชนะทุกครั้ง ลู่เซิ่งก็พาเหอเซียงจื่อเดินไปนั่งชมการต่อสู้อย่างสงบอยู่ด้านข้าง
เขาไม่ไปท้าสู้คนอื่น สำนักอื่นๆ ต่อให้อยู่ว่างก็ไม่มากวนเขา การสงวนพลังภายในเผื่อว่าถูกท้าสู้เป็นสิ่งที่ควรกระทำ
ผู้นำของแต่ละสำนักจับคู่กันต่อสู้ คนที่ไม่ได้ทำอะไรทั้งหมดถอยออกไป เหลือแต่สามคนที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละสำนัก
ตอนนี้ซูเซียนกับหยวนปาสู้กันอีกครั้ง อาณาเขตรอบๆ ตัวทั้งสองเกิดหลุมบ่อมากมาย
ลมคลั่งกับลูกตุ้มทองแดงส่งเสียงหวีดหวิวขณะปะทะกัน มองแต่ไกลรู้สึกได้ถึงสภาวะยิ่งใหญ่ คนที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดไม่กล้าเข้าใกล้
“พวกเราต้องทำศึกชุลมุนแบบนี้หรือ” เหอเซียงจื่อถามอย่างซึมเซา เป็นเพราะไม่เคยผ่านเขตย่อยมาก่อน ดังนั้นนางจึงสับสน ขณะมองภาพที่วุ่นวายก็ไม่รู้จะทำอะไรดี
ลู่เซิ่งหยิบน้ำบ๊วยขวดหนึ่งที่ได้รับแจกจ่ายจากในถุงสะพายหลังของนาง แล้วเปิดดื่ม
“มีคนของสำนักบัวสวรรค์บันทึก ท้าสู้กับคู่ต่อสู้ที่เราต้องการก็พอ เดิมทีกฎก็ตั้งได้หยาบอยู่แล้ว พอสู้กันก็เลยกลายเป็นศึกชุลมุนไป” เขาตอบ
พวกเขาอยู่ที่ขอบลานกว้าง หาสถานที่ที่ร่มเย็นนั่งลงพักผ่อน ทางหนึ่งดื่มน้ำบ๊วย ทางหนึ่งชมดูการต่อสู้ในลานอยากสนุกสนาน
กล่าวไปก็ประหลาด คนที่อยู่รอบๆ ทั้งที่ไม่ว่าใครก็มีพลังไม่ธรรมดาทั้งนั้น ยามสู้กันสมควรเหมือนสายฟ้าอัสนีบาตพื้นดินลุกไหม้ สภาวะยิ่งใหญ่ พลังทำลายล้างน่าสะพรึงกลัวถึงจะถูก กระนั้นทุกคนตรงหน้าพอลงมือ สภาวะกลับอ่อนแอกว่ายามปกติมาก
เต่ายักษ์ที่อยู่บนลานกว้างกำลังปล่อยคลื่นไร้รูปร่างที่บิดเบี้ยวสายหนึ่งออกมาสะกดอานุภาพวิชาลับของทุกคน
ต่อให้เป็นวิชาลับที่มีพลานุภาพรุนแรงสุดขีด พลังโดนพื้นจนอิฐแตกละเอียด ก็ยังด้อยกว่าพลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นที่อื่นในยามปกติ
ลู่เซิ่งมองรูปปั้นเต่ายักษ์ตัวนั้นเหมือนนึกอะไรอยู่
ทั้งสองคนนั่งกันอยู่นาน ในที่สุดก็มีคนมาท้าสู้กับพวกเขา
“สำนักเมฆามหาหยินหยาง จ้าวเฉิง ตั้งใจมาท้าสู้ทั้งสองท่านจากสำนักมารกำเนิด” ผู้มาเป็นเด็กหนุ่มที่ยังดูไร้เดียงสาคนหนึ่ง เพิ่งอายุสิบห้าสิบหกขวบ หน้าตาดูมีไหวพริบ กลิ่นอายบนร่างค่อนข้างอ่อนแอ แสดงว่าคิดจะเอาชัยจากพวกลู่เซิ่ง
หรือกล่าวได้ว่าเหมือนกับสำนักเบื้องหลังส่งเขามาหยั่งเชิงดู
เหอเซียงจื่อได้ยินก็ลุกขึ้นทันที
“ที่แท้เป็นจ้าวเฉิงราชาทวารน้อย เสียมารยาทแล้ว ข้าเหอเซียงจื่อ ขอรับคำชี้…”
นางยังไม่ทันพูดจบก็ถูกลู่เซิ่งกดให้นั่งลงอีกครั้ง
“พวกเรายอมแพ้” ลู่เซิ่งพูดกับจ้าวเฉิงอย่างจริงจัง
“หา?” จ้าวเฉิงกำลังจะชักดาบลงมือ กลับนึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งพออ้าปากกลับพูดคำนี้ พลันอึ้งงัน
อีกฝ่ายกล่าวคำว่ายอมแพ้อย่างง่ายดาย นี่ไม่เหมือนมาเข้าร่วมงานประลอง สำนักอื่นๆ ใช้ทุกความสามารถที่มีเพื่อให้สำนักตัวเองไต่ไปถึงอันดับที่สูงกว่าเดิมทั้งนั้น ทว่าลู่เซิ่งกลับตรงกันข้าม
“นี่…ก็ได้…” เขาถอยออกมาด้วยความจนปัญญา อีกฝ่ายยอมแพ้แล้วยังอยู่ทำอะไร
หากขอยอมแพ้ถึงห้าครั้ง ก็จะเสียสิทธิ์ท้าสู้โดยอัตโนมัติ เป้าหมายที่เขาต้องการชัยชนะก็บรรลุแล้วเช่นกัน
“ศิษย์น้องลู่…นี่…” เหอเซียงจื่อไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าลู่เซิ่งคิดอะไร จึงทำหน้างุนงง
ลู่เซิ่งถอนใจ รู้ว่าเหอเซียงไม่ทราบสภาพในปัจจุบันของสำนักมารกำเนิด
ปัญหาที่สำนักมารกำเนิดเผชิญในตอนนี้ไม่ใช่อันดับ ซึ่งความจริงสำนักมารกำเนิดที่เข้าสู่ช่วงที่สอง มีจำนวนชัยชนะเหนือกว่าอดีต ไม่ใช่สำนักในระดับชั้นต่ำสุดอีกต่อไปแล้ว รักษาอันดับที่หกสิบได้อย่างสบายๆ
เป็นเพราะหลังจากมาถึงที่นี่ พวกหวงซือเฉิงที่ออกมาด้วยกันก็ชนะแค่ไม่กี่ครั้ง กำลังหลักถูกผู้นำและรองผู้นำของสำนักอื่นๆ เล่นงานทันที นี่ทำให้อันดับของพวกเขาไม่แตกต่างจากในช่วงแรกเท่าไหร่นัก
ดังนั้นสู้หรือไม่สู้ก็ไม่มีความแตกต่าง
ผู้ที่ลู่เซิ่งเป็นห่วงจริงๆ คือเทพสัญจรที่ลอบลงมือก่อนหน้านี้ หลังสูญเสียยอดฝีมือระดับอสรพิษสามคนที่สำนักมารกำเนิด อีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ
ส่วนการจัดอันดับ ขอแค่รักษาการสืบทอดเอาไว้ได้ งานชุมนุมในภายหลังค่อยแก้ตัวก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน
“ศิษย์พี่ พวกเราขอแค่เจอไป๋ชิงถาง ลงมือถ่วงเวลานางไว้ ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับหลี่ซิ่วอิงก็พอ”
ลู่เซิ่งมองคนของหุบเขาน้ำแข็ง
หลี่ซิ่วอิงกับเยวี่ยเซิ่งหย่าต่างเจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ตกลงกันไว้แล้วด้านนอกสนาม แต่เป็นยอดฝีมือสำนักที่ลงมือกับพวกนางจริงๆ
ทั้งสองคนต่อสู้อย่างยากลำบาก ดูท่าทางความพ่ายแพ้จะเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
ลู่เซิ่งมองข้ามพวกนางไปทางฝั่งเขามยุเรศ
เครื่องแบบของเขามยุเรศมีความเฉพาะตัว ประกอบด้วยศิษย์สตรีมากมาย ต่างสวมอาภรณ์สีม่วง ด้านหลังมีลวดลายเหมือนปีกนกยูง
ลักษณะพิเศษของไป๋ชิงถางเด่นชัดยิ่ง นางเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเขามยุเรศ และเป็นสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดนอกจากซูเซียนซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่
ลู่เซิ่งมองนางแต่ไกล ครั้นยืนยันสถานะได้ ก็ลุกขึ้นยืน
“ศิษย์พี่ท่านรออยู่ที่นี่ อย่าเพ่นพ่าน ถ้ามีคนมาท้าสู้ ก็ให้ยอมแพ้ซะ ลงมือไปก็ไม่มีความหมายใดๆ คนที่มานี่ได้ทั้งหมดแข็งแกร่งกว่าท่านทั้งนั้น คนที่อ่อนแอกว่าท่านก็มีมากเช่นกัน”
เหอเซียงจื่อจนปัญญาเล็กน้อย แต่เข้าใจว่าลู่เซิ่งพูดถูก จึงได้แต่พยักหน้า
“ก็ได้ อย่างนั้นศิษย์น้องเจ้าจะไปไหน”
“ข้าหรือ ไปจะทดลองดูว่าจะทำตามข้อแลกเปลี่ยนของหลี่ซิ่วอิงได้หรือไม่” ลู่เซิ่งเหยียดเนื้อเหยียดตัว พร้อมเดินไปยังทิศทางของเขามยุเรศ
“เอ๋? รอเดี่ยว ข้าไปด้วย!” เหอเซียงจื่อลุกตามไปอย่างรีบร้อน
…
ตอนนี้ด้านนอกลานกว้าง ในหอของตำหนักจิตหยกมากมายที่โอบล้อมสนาม ศิษย์สำนักระดับสามขั้นล่างที่มาชมการต่อสู้ ยืนอยู่ด้านในหอชั้นสูงๆ จนเต็ม
คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเป็นสำนักที่พ่ายแพ้จากศึกช่วงชิงในเขตย่อย
ข้างหน้าต่างบานหนึ่งในหอแห่งนี้
“รีบดูทางนั้น!” เฉินอวิ๋นเซียงพลันอุทาน จ่านข่งหนิงกับจ่านหงเซิงที่อยู่ด้านข้างถูกนางเรียก มองตามนิ้วของนางไป
“นั่นมัน…ศิษย์น้องลู่เซิ่งจากสำนักมารกำเนิดไม่ใช่หรือ” จ่านข่งหนิงกล่าวอย่างประหลาดใจ
“ลู่เซิ่งที่นึกว่าตัวเองสุดยอดจนจมูกชี้ฟ้านั่นหรือ” จ่านหงเซิงงุนงงเช่นกัน “เขาออกจากเขตย่อยเข้าสู่ช่วงที่สองได้หรือ”
นางรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แม้แต่นางกับพี่ชายยังถูกคัดทิ้ง
พวกเขาอยู่ในเขตย่อยเดียวกับหยวนปา หยวนปาเป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดระดับเดียวกับซูเซียน โดยเฉพาะไม่กี่วันมานี้เพิ่งเลื่อนสู่ระดับสัตตะลักษณ์
ไม่ใช่คนที่ยอดฝีมือระดับฉลักษณ์อย่างจ่านข่งหนิงจะสู้ได้อีกแล้ว
ในระดับพันธนาการ ระหว่างระดับฉลักษณ์กับระดับสัตตะลักษณ์มีความแตกต่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นพิษในพลังของเยื่อดำ หรือว่าการเพิ่มขึ้นทางปัจจัยโดยรวมเช่นความเร็วและพละกำลังก็มีข้อแตกต่างทางคุณสมบัติเช่นกัน
“หรือว่าดูผิดไป” จ่านหงเซิงไม่ยินยอมอยู่บ้าง
จ่านข่งหนิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน “ดูไม่ผิด เป็นสหายลู่จริงๆ” เขาก็ไม่กล้าเชื่อเช่นกัน “บางที…บางทีสำนักในเขตย่อยที่สำนักมารกำเนิดอยู่คงค่อนข้างอ่อนแอกระมัง…”
“ใช่แล้ว ข้ารู้ว่าหุบเขาน้ำแข็งที่ขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนแออยู่เขตเดียวกับพวกเขา” เฉินอวิ๋นเซียงพยักหน้าบอก
นางอยู่เขตเดียวกับซูเซียน ถูกสตรีนางนั้นคัดออกทั้งหมดทันที ไม่มีโชคแม้แต่น้อย
“อาจเป็นเพราะเขตย่อยที่เหลือถูกคนที่แข็งแกร่งที่สุดเล่นงาน พวกเขาเลยหลบรอด แล้วหาช่องโหว่เจอพอดีกระมัง” จ่านหงเซิงกล่าวอย่างอึดอัด
“อาจจะ…เริ่มแล้ว สหายลู่จะลงมือแล้ว เขาดูเหมือนจะไปยังเขามยุเรศ” จ่านข่งหนิงกล่าวเสียงแผ่วต่ำ
……………………………………….