ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 248 ขั้นตอน (2)
บทที่ 248 ขั้นตอน (2)
ลู่เซิ่งมองดูหลุมยักษ์หลุมหนึ่งบนพื้นอยู่ห่างๆ อย่างเงียบงันไม่พูดอะไร
ไม่ใช่เพราะเหตุใดอื่น เป็นเพราะหลุมนี้ใหญ่เกินไป
เส้นผ่าศูนย์กลางเกินยี่สิบหมี่ ภายในหลุมเรียบเนียนดุจกระจก กรวดหินดินทรายถูกอุณหภูมิสูงหลอมละลาย จับตัวกันกลายเป็นผลึกสีดำอันแปลกประหลาด
ควันดำหลายสายลอยออกมาจากหลุม
กลุ่มตรวจสอบที่ประกอบด้วยคนของสำนักร้อยหลอมและระดับสามขั้นบนสองสามคนคุยกัน เหมือนแยกแยะอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลุม
มีคนมากมายรวมตัวกันรอบๆ ตรวจสอบร่องรอยหลงเหลือในหลุม ลู่เซิ่งกวาดตามอง เหมือนกับพบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
เป็นเหยียนไคที่เจอกันที่เมืองเก้าประสาน คนผู้นี้กำลังฉุดดึงเด็กสาวที่งดงามคนหนึ่งพลางพูดอะไรบางอย่าง เพียงแต่เด็กสาวคนนั้นยื่นหน้าเข้าใกล้ฝูงชนอยางตื่นเต้น ไม่สนใจอย่างอื่นแม้แต่น้อย
คล้ายกับสัมผัสสายตาของเขาได้ เหยียนไคมองซ้ายแลขวาอย่างอึดอัด จากนั้นก็สบตากับลู่เซิ่งที่อยู่ไม่ไกลอย่างไม่รู้ตัว
หยุดนิ่งสองวินาที
เหยียนไคตัวสั่น หมุนตัวหนี ฉุดลากเด็กสาวนางนั้นวิ่งออกไป ไม่นานก็หายลับไปกับฝูงชน
“…”
รอยยิ้มแข็งทื่อบนใบหน้าลู่เซิ่ง เดิมยังคิดจะทักทายอีกฝ่าย ตอนนี้ดูเหมือน…
ลูบใบหน้าอย่างประหลาดใจ เขาน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ ตอนนั้นยังเคยช่วยศิษย์พี่ศิษย์น้องเหยียนไค ตอนนี้พริบตาเดียวกลับโกยแน่บอย่างกับเห็นผี นี่หมายความว่าอะไร
ไม่สนใจเหยียนไคอีก ลู่เซิ่งมองตำแหน่งของพวกอาจารย์ลิ่วซานจื่ออยู่ห่างๆ พวกเขาคล้ายพูดคุยแนะนำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหลุม
พอเห็นพวกเขาเหมือนไม่สนใจตัวเอง ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้หลุม นั่งยองๆ ลง แล้วยื่นมือไปลูบส่วนขอบของหลุมอย่างแผ่วเบา
แข็ง ร้อนลวก เกลี้ยงเกลาเหลือประมาณ ความรู้สึกสามอย่างที่ต่างกันแล่นผ่านปลายนิ้วมาอย่างรวดเร็ว
ชักนิ้วกลับมา ลู่เซิ่งมองนิ้วชี้ของตัวเอง ด้านบนมีสีขาวเทาจางๆ ติดอยู่ คล้ายกับเปื้อนฝุ่นขาวบางอย่าง
สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ฝุ่นขาวนี้ยังถูกผิวหนังดูดซับอย่างต่อเนื่อง ผิวหนังที่ดูดซับฝุ่นขาวกลายเป็นยับย่นอย่างรวดเร็ว สูญเสียความเปล่งปลั่ง เหมือนกับนิ้วของคนแก่อายุเจ็ดแปดสิบปี
‘นี่เป็นพลังของขวานต้านเวลาหรือ’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว เขาอยากรู้ว่าพลังของอาวุธเทพกับพลังของตนมีความแตกต่างมากขนาดไหน
แค่พลัง เขาย่อมเทียบไม่ได้ มองดูหลุมใหญ่ที่เส้นผ่าศูนย์กลางเกินยี่สิบหมี่ก็รู้ว่า นี่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในครั้งเดียว ไม่ใช่เกิดจากการทุบซ้ำหลายครั้ง
ด้านในจนถึงตอนนี้ยังหลงเหลือร่องรอยเหมือนกับฝุ่นขาวอมเทาชนิดนี้ ร่องรอยนี้…
‘เหมือนกับเศษชิ้นส่วนในบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์เมื่อตอนนั้นเลย…กายเนื้อของเราไม่มีพลังต่อต้านมันแม้แต่น้อย’ ลู่เซิ่งยื่นนิ้วนางออกมา ปราณมารกับปราณภายในโคจรถึงนิ้วมือพร้อมกัน จากนั้นก็ควบคุมให้นิ้วกลายเป็นสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่งในอาณาเขตที่เล็กถึงขีดสุด
นิ้วมือมนุษย์ที่เดิมเรียวยาว กลายเป็นนิ้วแหลมซึ่งมีเล็บสีดำอันน่ากลัวราวมีดคม
ฉวยโอกาสที่คนอื่นๆ ไม่สนใจ ลู่เซิ่งแตะร่องด้านในหลุมลึก
ผงขาวที่ติดมาในครั้งนี้ไม่ต่างจากครั้งก่อนมากนัก
เขาอยากเห็นว่าหากเจอพลังที่ยังหลงเหลือของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ตอนอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด จะมีผลลัพธ์แบบไหน
น่าเสียดายเขาผิดหวังแล้ว
นิ้วในสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง กระตุ้นปราณมารกับปราณภายในพร้อมกัน เพียงทนได้นานกว่าก่อนหน้านิดหน่อยเท่านั้น
ก่อนหน้านี้หลังจากผงขาวติดมา นิ้วก็ใช้เวลาห้าอึดใจในการเหี่ยวลง ตอนนี้ใช้หกอึดใจ
ฟื้นฟูนิ้วอย่างรวดเร็ว ถ่ายปราณขวดสมบัติปริมาณมากเข้าไป ฟื้นฟูนิ้วชี้นิ้วนางที่เสื่อมสภาพ เนื่องจากไม่ได้เสียหายโดยสมบูรณ์เพราะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเท่ากับตัดนิ้วแล้วงอกใหม่ จำเป็นต้องใช้ปราณขวดสมบัติมากมาย จึงฟื้นฟูกลับมาได้
ลู่เซิ่งใช้พลังยุทธ์เกือบหนึ่งส่วน จึงค่อยฟื้นฟูนิ้วมือได้
‘แตกต่างกันอึดใจเดียว’ ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้สีหน้าเขาบูดบึ้งอยู่บ้าง ‘นี่หมายความว่าพลังทั้งหมดของเราในวันนี้พอเผชิญกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าคนของตระกูลขุนนางทั่วไปเท่าไหร่ พูดง่ายๆ คือเมื่อเจอกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เราก็ไม่ต่างจากตระกูลขุนนางคนอื่น เป็นขยะเหมือนกัน’
นี่ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
อารมณ์ที่เบิกบานเพราะฝึกฝนวิถีหทัยมารสำเร็จ และอีกไม่นานจะสำเร็จวิชาลับสำนักมารกำเนิด เคร่งเครียดขึ้นอย่างรวดเร็ว
‘หากศัตรูที่มาโจมตีทีหลังนั่น พกอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาลงมืออย่างง่ายดายแบบนี้ ปัญหาต่อจากนั้นจะตามมาอีกมากแน่ จำเป็นต้องรีบเตรียมตัวให้เร็วที่สุด’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงการคุกคาม เขาลุกขึ้นมองดูผู้นำสามคนระดับสามขั้นบนกำลังสนทนากัน ทั้งสามต่างหน้านิ่วคิ้วขมวด แสดงว่าปวดหัวเพราะเรื่องนี้
ในฐานะหัวหน้าของขบวนกลุ่มนี้ พวกเขาไม่มีทางนึกออกว่า สำนักร้อยหลอมที่กดดันให้ศัตรูใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์โจมตีได้ซุกซ่อนความลับไว้ไม่น้อย
เพียงแต่จะเผชิญหน้ากับสำนักร้อยหลอม ขุดค้นเนื้อหาที่ตนอยากจะรู้อย่างไร นี่เป็นปัญหาหนึ่ง
สำนักที่ถูกอาวุธศักดิ์สิทธิ์โจมตีแต่เสียหายไม่มาก คล้ายกับซ่อนอยู่ในม่านหมอกหนาทึบ
ลู่เซิ่งเข้าใกล้พวกอาจารย์ ได้ยินพวกเขากำลังพูดถึงสำนักร้อยหลอมอยู่พอดี
“…ในรถม้าคันที่สองปิดม่านบังไว้ตลอด ไม่มีใครออกมาด้านนอก ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ลอบโจมตี คนหนุ่มหน้าซีดขาวที่นั่งในรถม้าผู้นั้นคงจะไม่ออกหน้า” เหอเซียงจื่อรายงานสถานการณ์อย่างตั้งใจ
“สิ่งที่รับมืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน รถม้าที่ปิดลงกลอนไว้ของสำนักร้อยหลอมจะต้องมีความลับใหญ่อยู่แน่ ก่อนหน้านี้คนที่อยู่ในกลุ่มตรวจสอบบอกว่าต้องการตรวจค้น ทว่าภายหลังก็เปลี่ยนใจบอกว่าไม่ตรวจแล้ว จนกระทั่งถึงตอนนี้ เรื่องทุกอย่างก็จบลงโดยปริยาย” จ่านข่งหนิงกล่าวเสริม “หลังจากสำนักร้อยหลอมแสดงพลังระดับนี้ สำนักระดับสามขั้นบนคงไม่กล้าล่วงเกินพวกเขา”
“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้สำนักร้อยหลอมไปแดนเหนือ ไม่ทราบว่าได้วาสนาอะไรมาจากแดนเหนือหรือไม่” เจ้าสำนักหยกกังวานมาถึงแล้วเช่นกัน เป็นสตรีอาภรณ์สีแดงที่งดงามบอบบาง ถือพัดทรงกลมสีแดงเล่มหนึ่ง ด้านบนปักรูปใบไม้เขียว ใช้ปิดปากยามไอตลอดเวลา คล้ายกับไม่สบาย
“ชิงเยี่ยท่านยังไม่หายดีมิใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องตามมาก็ได้ ที่นี่มีรังสีรุนแรงมาก ไม่ส่งผลดีต่อการฟื้นฟูของท่าน” ลิ่วซานจื่อกล่าวอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร” ชิงเยี่ยเจ้าสำนักหยกกังวานกล่าวด้วยรอยยิ้ม คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางเป็นเหล่าสตรีเช่นเยวี่ยเซิ่งหย่ากับหลี่ซิ่วอิง
เยวี่ยเซิ่งหย่าพอเห็นลู่เซิ่ง ก็ขยิบตาให้เขาอย่างซุกซน
ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ นับว่าทักทายตอบ
คนจากสองสามสำนักรวมตัวกัน เริ่มศึกษาร่องรอยรังสีที่เหลืออยู่ในหลุมยักษ์ พวกเขาทดลองใช้นิ้วแตะผนังหลุม ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนกับลู่เซิ่ง ไม่มีข้อแตกต่างประการใด นิ้วของทุกคนเหี่ยวย่นลงและไม่อาจฟื้นฟู
ได้แต่ตัดนิ้วทิ้ง แล้วให้มันงอกขึ้นใหม่
“จะว่าไปสหายลู่ท่านเป็นคนจากแดนเหนือไม่ใช่หรือ เคยได้ยินเรื่องของสำนักร้อยหลอมหรือไม่” จ่านข่งหนิงถามลู่เซิ่งเบาๆ
ลู่เซิ่งส่ายหน้า “สิ่งที่ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยในเวลานั้นส่วนใหญ่เป็นขุมกำลังของคนธรรมดา ไม่ได้ข้องแวะกับระดับชั้นนี้มากนัก”
“ข้าได้ยินข่าวมาว่า ก่อนหน้านี้หลุมหลุมนี้เกิดขึ้นเพราะคนจากสำนักร้อยหลอมใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ไปปะทะซึ่งหน้า” จ่านข่งหนิงคล้ายกับไม่อยากให้ใครรู้ เล่าให้ลู่เซิ่งฟังด้วยเสียงแผ่วต่ำ
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันหรือ…” ลู่เซิ่งเอะใจ แดนเหนือ คนหนุ่มหน้าซีดขาว เขานึกได้แค่ความเป็นไปได้เดียว
“ก่อนหน้านี้สำนักร้อยหลอมอยู่ในระดับไหน” เขาถาม
“สามอันดับแรกของระดับสามขั้นล่าง” จ่านข่งหนิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“หมายความว่า หลังจากพวกเขาไปแดนเหนือ พอกลับมาพลังก็พุ่งพรวดขึ้นใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถามเพื่อยืนยัน
“น่าจะใช่…” จ่านข่งหนิงใคร่ครวญ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
ลู่เซิ่งหรี่ตา พลันนึกถึงตระกูลเจินที่เล่าลือกันว่าหนีไปแล้ว
ตอนนั้นตระกูลเจินอยู่ๆ ก็ละทิ้งพรรควาฬแดงและกิจการในแดนเหนือทั้งหมด ก่อนจะนำภัยพิบัติมังกรสีชาดหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง ว่ากันว่าไปต่างประเทศแล้ว
กระนั้นเขาสงสัยในเรื่องนี้มาก พึงทราบว่าหากจะไปต่างประเทศจากแดนเหนือ มีอยู่สองเส้นทางเท่านั้น หนึ่งคือไปรัฐมหาเกียรติ อีกหนึ่งคือโดยสารเรือออกทะเลไปยังส่วนลึกของมหาสมุทร
ตัวเลือกสองตัวเลือกนี้ เขาไม่ได้รับเบาะแสะใดๆ ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเป็นเพราะตระกูลขุนนางมีความสามารถและวิธีการเร้นลับมากมาย ตอนนี้พอสัมผัสมากเข้า ก็ทราบคร่าวๆ ว่าวิชาลับของตระกูลขุนนางล้วนมาจากอาวุธเทพศัสตรามาร ไม่ใช่ว่าอัศจรรย์พันลึก ทั้งหมดมีร่องรอยให้สืบสาว
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเคลือบแคลงว่า ตระกูลเจินในตอนนั้นอาจจะไม่ได้ไปต่างประเทศ แต่ว่าซ่อนตัวอยู่ในสถานที่อื่น
‘แต่เกี่ยวอะไรกับเราล่ะ’ ลู่เซิ่งพลันสลัดความคิด ‘ไม่ว่าตระกูลเจินจะซ่อนตัวในสำนักร้อยหลอม หรือไปที่อื่น ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา’
ลู่เซิ่งครุ่นคิด หยิบกล่องหยกใบหนึ่งที่เตรียมไว้แล้วออกมา ขูดเอาผงส่วนหนึ่งจากขอบหลุม แล้วบรรจุใส่กล่องหยก ก่อนปิดอย่างระมัดระวัง
พลังกฎเกณฑ์ระดับปฐมของอาวุธเทพศัสตรามารแข็งแกร่งขนาดไหน อาจจะเริ่มทำความเข้าใจจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอาวุธเทพในแบบที่อ่อนแอลงได้
พลังกำเนิดกับระดับปฐมแตกต่างกันขนาดไหน นี่จึงเป็นสิ่งที่ลู่เซิ่งอยากจะรู้
หลังจากตรวจสอบร่องรอยที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์เหลือไว้จบแล้ว สำนักมารกำเนิด สำนักสวนปลอดโปร่ง รวมถึงสำนักหยกกังวานก็ผละออกจากขบวน แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
ต่อให้เป็นพวกเขาสองสามสำนักก็ไม่ได้รวมกลุ่มกัน แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน
ผลลัพธ์เป็นอย่างที่พวกเขาคาด การเดินทางราบรื่น ไม่เกิดปัญหาใดๆ
เพียงแต่พวกลู่เซิ่งไม่รู้เลยว่า สาเหตุจริงๆ ที่ไม่เกิดปัญหาไม่ใช่เพราะเป้าหมายของอีกฝ่ายมิใช่พวกเขา แต่มีอีกสาเหตุหนึ่ง
…
ซ่าๆ
ละอองน้ำสาดกระเซ็น
คนที่ตัวเปียกชุ่มคนหนึ่งค่อยๆ คลานออกมาจากในแม่น้ำ ถือขวานที่ส่องแสงประหลาดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ สัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมกะพริบอยู่บนหัวขวาน
คนผู้นี้เป็นบุรุษ บนตัวเต็มไปด้วยบาดแผลที่เน่าเปื่อยดำเกรียม ที่น่าตระหนกที่สุดคือบนหนังศีรษะยังมีหนามพิษสีเขียวที่มาจากหนอนแมลงบางชนิดติดอยู่แท่งหนึ่ง คล้ายกับแทงทะลุศีรษะทั้งใบ
เขาคืบคลานถึงขอบฝั่ง แล้วพลิกตัวอย่างยากลำบาก นอนแผ่ลงบนชายฝั่งพลางพ่นลมหายใจยาวๆ
เขาคือหลินหวนเต้าที่มุ่งหน้าไปวังวารีลวง
“พวกฉงเยวี่ยจื่อตายแล้ว…นึกไม่ถึง เพื่อชัยชนะ นายน้อยจะทำถึงขั้นนี้…” เขาเงยหน้ามองฟ้างามเมฆขาว พลันถอนใจอย่างหดหู่อยู่บ้าง
“เพราะเจ้าอวดดีเกินไป ไม่รู้จักรับความหวังดี จะโทษใครได้”
ด้านหลังเขา สตรีประหลาดชุดขาวและชุดดำสองคนโผล่ออกมา พวกนางเหมือนยืนอยู่ตรงนั้นแต่แรก เพียงแต่เปลี่ยนจากซ่อนตัวเป็นปรากฏตัวขึ้น
“ถูกแล้ว…ข้าอวดดีเกินไป นึกว่าด้วยความทะนงตนของนายน้อย คงจะไม่ทำถึงขั้นนี้” หลินหวนเต้ายิ้มฝาดเฝื่อน “ดูเหมือนข้าจะประเมินเขาสูงไป”
“เจ้ายังมีคำสั่งเสียอะไรอีกหรือไม่” สตรีชุดดำกล่าวอย่างราบเรียบ
“คำสั่งเสียหรือ” หลินหวนเต้าส่ายหน้า “ไม่มี นายน้อยเป่ยไคจัดการเองเถอะ เขานึกว่าฆ่าข้าไปแล้วทุกเรื่องจะราบรื่น ไม่ได้รู้เลยว่าขุมกำลังที่ผู้อาวุโสในตระกูลครอบครองอยู่ แข็งแกร่งขนาดไหน ไม่เห็นด้วยตา เขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ตลอดกาล…”
“ความหมายของเจ้าคือ ข้างกายนายน้อยไม่ได้มีเจ้าแค่คนเดียวใช่หรือไม่” สตรีชุดขาวขมวดคิ้วถาม
หลินหวนเต้ายิ้ม “ให้ข้าไปสบายหน่อย หลินหวนเต้าตายในการลอบจู่โจมวังวารีลวง บันทึกแบบนี้ก็นับว่าไม่เลว ยังผลักความผิดไปที่วังวารีลวงได้”
สตรีชุดดำเงียบขรึม
“ตามที่เจ้าต้องการ” นางเดินอย่างเชื่องช้าเข้าหาหลินหวนเต้าที่อยู่บนพื้น
……………………………………….