ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 268 มหันตภัย (4)
บทที่ 268 มหันตภัย (4)
ปราณมารกำเนิดกลายเป็นปราณขวดสมบัติอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ถูกดีปบลูซึ่งเป็นเครื่องมือปรับเปลี่ยนใช้เป็นแหล่งพลังงานที่เอาไว้ยกระดับร่างมารรกร้างด้วยความเร็วสูง
ลู่เซิ่งเพียงแค่ต้องยืนอยู่กับที่พร้อมกับปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ดีที่วิธีการฝึกฝนซึ่งเหมือนการผสมผสานรูปแบบนี้ ใช้พลังงานในแต่ละระดับไม่มากนัก ทำให้ลู่เซิ่งย่นเวลาในการชดเชยปราณมารได้มากพอ
รูปแบบการผสมผสานต่างๆ เกิดขึ้นในร่างของลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะสลายไป
ขณะที่การผสานรวมตัวและสลายไป ร่างกายของลู่เซิ่งก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ปราณมารกำเนิดสีดำสนิทขนาดใหญ่หลายสาย เริ่มทะลักออกมาจากรอบๆ ตัวเขา ปราณมารเหล่านี้ไหลเข้าไปในอัคคีพิษที่ลุกไหม้กลางฝ่ามือของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ซู่…กล้ามเนื้อขนาดใหญ่สองกลุ่มนูนขึ้น ค่อยๆ กางออกไปสองฟากจากด้านหลังลู่เซิ่ง จากนั้นก็ยืดขยายและกว้างขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับปีกเนื้อคู่หนึ่ง
ในที่สุด หลังผ่านไปสองวันกว่าๆ การยกระดับการผสานลำดับที่สามสิบเก้าก็จบลง
พิษอัคคีขยายใหญ่ขึ้นในมือลู่เซิ่ง จากนั้นก็มืดสลัวลงอย่างรวดเร็ว
‘เหมือนไม่มีข้อแตกต่างจากก่อนหน้า’
เขาขมวดคิ้ว สำรวจการเปลี่ยนแปลงของอัคคีพิษอย่างละเอียด
นอกจากสีที่เข้มขึ้นเล็กน้อยและจับตัวกันมากขึ้นนิดหน่อย ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก
‘กลายเป็นร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว…’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เซลล์ทุกเซลล์ กล้ามเนื้อทุกกลุ่ม และองค์ประกอบทุกส่วนของกายเนื้อในสภาพหยางโชติช่วงได้อาบปราณมารกำเนิดพิษร้ายจำนวนมาก
พละกำลังและความเร็วของกายเนื้อ ไปจนถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในล้วนแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
‘สมุนไพรกระตุ้นเสริมร่างกายผ่านพิษร้ายหรือ’
ลู่เซิ่งมองกรอบด้านบนเครื่องมือปรับเปลี่ยน
[วิชาลับมารรกร้าง: ระดับสามสิบเก้า ผลพิเศษ: มนุษย์พิษระดับสามสิบเก้า สัมผัสแห่งความรกร้างระดับเก้า]
‘การเพิ่มคุณสมบัติร่างกายให้แข็งแกร่งน่าจะเป็นผลพิเศษของมนุษย์พิษนี้’
หลังจากฝึกฝนร่างมารร่างนี้สำเร็จ ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าปราณมารกำเนิดทั่วร่างคล้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขาก็อธิบายไม่ถูก
‘เหมือนว่าคุณสมบัติของปราณมารกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง’ เขาสัมผัสอย่างละเอียด ‘ความสามารถหลักของร่างมารรกร้างยังคงเป็นพิษรุนแรง’
เขายื่นนิ้วชี้ออกมาแตะผนังหินด้านข้างเบาๆ
ฉ่า…
แม้ไม่ได้ใช้แรง แต่นิ้วก็หายไปในก้อนหินอย่างแผ่วเบา ของเหลวสีดำสนิทฉุนจมูกหลายสายไหลตามนิ้วของเขาออกมาจากด้านข้าง
ของเหลวสีดำที่หยดออกมากัดกร่อนหินบนพื้นติดต่อกันจนเกิดเสียงฉ่าๆ เหมือนถูกเผา กระทั่งพื้นถูกกัดกร่อนกลายเป็นรูดำที่ลึกไม่เห็นก้นหลายรู เสียงฉ่าๆ จึงค่อยๆ เงียบไป
‘ว่าแล้ว..คุณสมบัติพิษแข็งแกร่งขึ้นมาก’ ลู่เซิ่งค่อนข้างพอใจกับอานุภาพ
‘ต่อจากนี้คือร่างมารสมุทร หัวใจหลักในการฝึกฝนร่างมารร่างนี้คือการกลืนแล้วคาย สามารถดูดซับวัตถุภายนอกหลากหลายชนิด แล้วย่อยสลายดูดซับกลายเป็นพลังทำลายล้างอีกชนิด ก่อนจะคายออกมา วิชาที่มีอานุภาพแข็งแกร่งที่สุดในสำนักมารกำเนิดก็คือวิชาลับร่างมารวิชานี้ แต่ว่าตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่ร่างกายของเรารองรับในระยะเวลาสั้นๆ มีมากเกินไป ถ้าทำต่อไปกลัวว่าจะเกิดปัญหาเพราะปรับตัวไม่ทัน หยุดไว้ก่อนดีกว่า ปราณมารกำเนิดเองก็ต้องใช้เวลาชดเชยเหมือนกัน’
ในร่างมารแปดร่าง ลู่เซิ่งฝึกฝนสำเร็จแล้วสามร่าง ได้แก่ ร่างมารสดับสงัด ร่างมารอัคคีแค้น ร่างมารรกรกร้าง
ถึงแม้ร่างมารจะเน้นในด้านที่แตกต่างกัน ทว่าพวกมันต่างก็เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่การเสริมกายเนื้อเหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้ลู่เซิ่งจึงไม่รู้ว่ากายเนื้อของตัวเองแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้ว
‘วิธีการที่ดีที่สุดคือการไปทดลองที่บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์’
เขาลุกขึ้นแล้วหดขนาดร่าง เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ก่อน จากนั้นก็ออกจากถ้ำโดยมุ่งหน้าไปยังบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ สถานที่เร้นลับในสำนักมารกำเนิด
ครู่ต่อมา เขาก็เข้าไปในถ้ำที่มีบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ผ่านเส้นทางลับอีกทางหนึ่ง
รังสีแสงสีฟ้าที่กระจัดกระจายของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ยังคงขับทั้งถ้ำจนสว่างไสว
ลู่เซิ่งตรงดิ่งไปที่ที่บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ เขาหยุดลงตอนที่อยู่ห่างสองก้าว พร้อมกับมองอากาศโปร่งแสงที่บิดเบี้ยวน้อยๆ ตรงหน้า
‘ครั้งนี้ ลองดูว่าจะทนได้นานขนาดไหน’
ลู่เซิ่งยื่นนิ้วออกมาอีกครั้ง แล้วเข้าสู่สภาพผู้ทำลายล้างที่หยินหยางรวมเป็นหนึ่งในพริบตา นิ้วมือพลันเรียวยาวขึ้น มีเกราะเกล็ดสีดำแผ่นหนาปกคลุม
พรึ่บ!
เปลวไฟสีดำที่ข้นหนืดและส่งเสียงร้องโหยหวนเลือนรางกลุ่มหนึ่ง ลุกไหม้บนนิ้วของเขาอย่างฉับพลัน มันแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ใช่ อัคคีพิษในครั้งนี้เหนียวข้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมีกลิ่นฉุนจมูกกว่าเดิม
ตะไคร่น้ำบนพื้นรอบตัวลู่เซิ่งเริ่มแห้งเหี่ยว แค่สัมผัสกับไอพิษที่อัคคีพิษกลุ่มนี้ปล่อยออกมาก็ทำให้ตะไคร่น้ำกลายพันธุ์ที่รับรังสีอาวุธศักดิ์สิทธิ์มานานทนไม่ไหว
สามารถเห็นได้ถึงอานุภาพอันน่ากลัวของอัคคีพิษในตอนนี้
ซู่
ความเจ็บปวดที่ส่งมาจากการยื่นนิ้วเข้าไปในอากาศที่บิดเบี้ยวครั้งนี้ไม่ได้รุนแรงเหมือนครั้งก่อน
หนึ่งอึดใจ…
สองอึดใจ…
สามอึดใจ…
ไม่รู้เป็นเพราะร่างมารกำเนิดยกระดับกายเนื้ออย่างใหญ่หลวง หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น ครั้งนี้ลู่เซิ่งจึงทนได้เกือบครึ่งชั่วยาม
กระทั่งถึงตอนท้าย เป็นเพราะลมปราณไม่มั่นคง กายเนื้อกับจิตใจจึงไม่ได้หลอมรวมกันจนเกิดช่องโหว่ เลยถูกเผานิ้ว จึงล่าถอยออกมา
ปรากฏการณ์นี้ทำให้ลู่เซิ่งแปลกใจเป็นอย่างมาก
เขายืนอยู่ข้างบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ ใคร่ครวญผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งปรากฏออกมาในการทดลองสองครั้งล่าสุด
‘ก่อนหน้านี้ตอนมีร่างมารสองร่าง ทนได้อย่างมากสุดสองสามอึดใจ ตอนนี้ร่างมารรกร้างไม่ได้ยกระดับกายเนื้อมากอย่างที่จินตนาการไว้ ทำไมครั้งนี้ถึงทนได้นานกว่าเดิมล่ะ’
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดของร่างมารรกร้างกับร่างมารร่างอื่นอยู่ที่พิษ เมื่อฝึกฝนร่างมารร่างนี้สำเร็จ การต้านพิษของร่างกายจะได้รับการยกระดับอย่างมหาศาลในพริบตาเดียว
‘หรือจะเป็นเพราะพิษ พลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์โดยพื้นฐานแล้วมีพิษร้ายเป็นหลักเหรอ หลังจากยกระดับการต้านพิษแล้ว เลยทำให้ทนได้นานขึ้นมาก’ ลู่เซิ่งคาดเดา
เขายกมือขึ้นพิจารณาบางส่วนของนิ้วชี้ที่เพิ่งถูกกัดกร่อน
‘หือ? นี่มัน…?’ อยู่ๆ เขาก็หยีตา คล้ายกับพบอะไรบางอย่าง
เกราะเกล็ดสีดำสนิทที่เดิมทีควรถูกกัดกร่อนจนหายไป ยังคงมีบางส่วนหลงเหลืออยู่เล็กน้อย และเศษที่ติดอยู่นี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส่วนที่สลายไปมีลวดลายสามจุดที่เล็กละเอียดเหมือนเกสรดอกไม้โผล่มา
จุดสามจุดเหมือนกับรูปสามเหลี่ยมรูปหนึ่ง
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ แล้วโคจรปราณขวดสมบัติให้เริ่มฟื้นฟูนิ้ว ก่อนจะมองบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง
‘ในเมื่อทนได้นานขนาดนี้แล้ว อาจจะเข้าใกล้ได้อีกหน่อย…’
ทั่วร่างเขากลายเป็นสภาพผู้ทำลายล้างอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เผาไหม้ปราณเหลว ค่อยๆ เดินเข้าไปในอาณาเขตรังสีอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งก่อนหน้าถูกมองว่าเป็นอาณาเขตมฤตยู
ฉ่า…
เสียงรังสีกัดกร่อนในครั้งนี้ดังกว่าก่อนหน้าไม่รู้เท่าไหร่
ปราณมารกำเนิดอันน่าสะพรึงกลัวหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่อึดใจสั้นๆ ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าปราณมารกำเนิดถูกใช้ไปแล้วหนึ่งในห้าส่วน
เขาอดทน แล้วเดินเข้าใกล้บ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์อีกก้าว
ตูม!
ทันใดนั้นเปลวไฟสีฟ้าสายหนึ่งก็สาดขึ้นบนตัวเขา เศษอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก้อนใหญ่ในบ่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์เริ่มกะพริบแสงสีฟ้าที่แยงตากว่าเดิม
ตูม!
ในที่สุดลู่เซิ่งก็ทนไม่ไหว ร่างกายถูกแรงอันมหาศาลสายหนึ่งกระแทกใส่อย่างดุดัน จนโซเซถอยออกมาหลายก้าวจากอาณาเขตรังสี
ควันสีขาวลอยขึ้นจากร่างเขา เหมือนกับเพิ่งถูกไฟเผามา
ทว่ากลับมีจุดเล็กๆ สีทองเข้มสามจุด ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนบนเกราะสีดำตรงหน้าอกของเขา จุดทุกจุดมีขนาดแค่เล็บมือ ไม่สะดุดตาเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกรังสีเผาทำลายเกราะเกล็ดส่วนนอกที่ปกคลุมอยู่ไปเป็นจำนวนมาก ลู่เซิ่งก็อาจจะไม่พบจุดสามจุดที่ซ่อนในหน้าอกของตัวเอง
‘นี่หมายถึงร่างมารสามร่างเหรอ’ เขารู้สึกตัว ตอนนี้จุดเล็กๆ สีทองเข้มสามจุดปล่อยแสงอ่อนๆ คล้ายกับบ่งบอกว่าร่างมารสามร่างได้รับความเสียหายไม่น้อย
ลู่เซิ่งโคจรปราณขวดสมบัติ มารหยินเก้าตัวส่งปราณมารกำเนิดมาอย่างไม่ขาดสาย กลายเป็นปราณขวดสมบัติสำหรับใช้รักษา
ไม่นานจุดสีทองเข้มสามจุดตรงหน้าอกเขาก็เริ่มสว่างไสวทีละจุด
‘ว่าแล้ว…นี่เป็นจุดสามจุดที่เป็นตัวแทนของร่างมารสามร่างจริงๆ’
ลู่เซิ่งรู้ว่าวิชาลับร่างมารทั้งหมดของสำนักมารกำเนิด ได้รับการคัดเลือกมาจากเผ่ามารที่แตกแตกต่างกัน เพื่อนำมาเลียนแบบและศึกษา
ปัจจุบันเขาฝึกฝนร่างมารไปสามร่าง เทียบเท่ากับการรวมความแข็งแกร่งของมารแต่ละชนิดเป็นหนึ่งเดียว
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น บูรพาจารย์แห่งสำนักมารกำเนิดไม่รู้ แม้แต่เผ่ามารเองก็ไม่รู้
‘น่าสนใจ…รวมความแข็งแกร่งของมารทุกชนิดเป็นหนึ่งเหรอ’ ลู่เซิ่งกระตือรือร้นขึ้น ‘หนำซ้ำถึงตอนหลังร่างมารเหล่านี้ ก็ไม่ใช่แค่การเลียนแบบอย่างเดียวอีกแล้ว หลังจากผ่านการศึกษาเรียนรู้ของบูรพาจารย์ในแต่ละยุค พวกมันก็กลายเป็นการเลียนแบบที่หลายๆ ส่วนเหนือกว่าต้นฉบับ ทั้งยังขึ้นไปอยู่ในระดับใหม่ ควรจะพูดว่าร่างมารวิชาลับที่เราฝึกมีหลายๆ ส่วนที่มาจากการบัญญัติของบูรพาจารย์ผู้อาวุโสของสำนักมารกำเนิด’
วิชาลับนี้หลุดออกจากมาร ทั้งยังเหมาะกับมนุษย์มากกว่า นอกจากนี้วิชาลับจำนวนมากก็พัฒนาขึ้นอีกขั้น จนใกล้เคียงกับแก่นแท้มากยิ่งกว่าร่างต้นของมารที่เลียนแบบเสียอีก
‘ฝึกวิถีมารด้วยร่างของมนุษย์ น่าสนุก!’ ลู่เซิ่งเกิดความรู้สึกแปลกใหม่และคาดหวังในใจ
เขาสงสัยว่า ในตอนที่ตนเอง รวมวิชาลับร่างมารทั้งหมดของสำนักมารกำเนิดเข้าด้วยกัน แล้วฝึกฝนทุกร่างจนสำเร็จ ท้ายที่สุดจะต่อสู้กับพลังระดับปฐมได้หรือไม่
…
ด้านนอกชานเมืองพันนาวา
บนยอดประภาคารที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง เงาคนผอมแห้งสวมเสื้อคลุมสีดำ ร่างถูกเงาดำปกคลุมยืนอยู่ในห้องบนส่วนยอดที่พังทลายจนไม่มีแม้แต่ผนัง
ท้องฟ้าอึมครึม เมฆกระจายหนาแน่น คลื่นทะเลสีเทาซัดรุนแรง พายุพัดกระโชก
คลื่นน้ำหลายชั้นกระแทกใส่ผาหินสีดำด้านล่างประภาคาร จนเกิดละอองน้ำสีขาวกระเซ็นซ่านมากมาย
เงาคนนั่งบนเก้าอี้ไม้สีดำที่เก่าแต่สภาพดีตัวหนึ่ง โดยหันหลังให้แผ่นดิน หันหน้าสู่ทะเล คล้ายกำลังมองบางอย่าง
“นายท่าน ท่านกำลังดูอะไรอยู่” เสียงที่อ่อนโยนดุจสตรีถามเบาๆ
“กำลังมองทะเล” เงาคนผอมแห้งตอบ
“ทะเลหรือ” เสียงนั้นแสดงความสับสน
“ไซ่เคอจะมาแล้ว ทะเลแบบนี้ดูได้อีกไม่นานก็จะหายไป น่าเสียดายจริงๆ…” เงาคนกล่าวเสียงทุ้ม
“ทำไมนายท่านต้องร่วมมือกับไซ่เคอด้วย พวกเราเปิดศึกเอง ได้ประโยชน์มากกว่าไม่ใช่หรือ เผ่ามนุษย์ที่อยู่ที่นี่อ่อนแอขนาดนี้” เสียงที่เหมือนสตรียังคงสงสัย
เงาคนผอมแห้งไม่ตอบ ยังคงมองทะเลเงียบๆ
เสียงที่เหมือนสตรีก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ เพียงอยู่เป็นเพื่อนผู้เป็นนาย
คลื่นทะเลกระทบหน้าผา ท้องฟ้ามืดครึ้มลงเรื่อยๆ ถึงขั้นปรากฏสายฟ้าระหว่างเมฆหนา นกนางนวลส่งเสียงร้องพลางบินฉวัดเฉวียนท่ามกลางพายุ เหมือนกับสีขาวบริสุทธิ์ไม่กี่จุดในม้วนภาพสีเทา
“ไซ่เคอกับอันเจี๋ยถู ต่างเป็นตัวแทนมารหนามและมารไร้หัวใจ ปัจจุบันสองเผ่าพันธุ์นี้เป็นหัวหอกที่ดีที่สุดในการทำลายราชวงศ์ต้าซ่ง” เงาคนผอมแห้งกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้ารอคอยมานาน ไม่อาจไม่จ่ายค่าตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นการเสียสละของฝั่งไหน ก็เป็นฉากแรกในการเตรียมทำลายผนึกของสหายเก่าได้ทั้งนั้น…”
“นายท่าน…” เสียงสตรีนั้นเจ็บปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
“เอาล่ะ กลับไปถอะ” เงาคนถอนใจ พูดอย่างราบเรียบ
“ทราบแล้ว…”
ครืน…
ประภาคารยักษ์ที่สูงหลายสิบหมี่สั่นไหวน้อยๆ มันยื่นแขนหินสี่ข้างออกมาจากสองฟาก แล้วยันพื้นลุกขึ้นยืน
หอคอยมหึมานี้เป็นส่วนศีรษะของสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ใหญ่ราวกับวานรยักษ์
ความจริงท่อนล่างของวานรยักษ์ ก็คือหน้าผาสีดำที่ถูกคลื่นทะเลซัดใส่ไม่หยุด มันส่งเสียงคำรามพลางหมุนตัวพาเงาดำผอมแห้งผละไปยังที่ไกล
……………………………………….