ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 269 มหันตภัย (5)
บทที่ 269 มหันตภัย (5)
เมืองกระดิ่งขาว เขตใต้
เมืองกระดิ่งขาวมีเขตใหญ่ทั้งหมดห้าเขต เขตใต้กว้างใหญ่ที่สุด ร้านค้า ถนนขายของกินเล่น ร้านตัดเสื้อ จุดพักม้าล้วนอยู่ที่นี่
ใกล้ๆ เขตใต้คือบ้านเรือนธรรมดาหลายกลุ่ม มีฝูงชนมหาศาลอาศัยอยู่
หลี่ซุ่นซีสวมหมวกฟาง เดินอย่างเชื่องช้าบนถนนในเขตใต้ พลางพิจารณาเมืองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไม่นานมานี้
‘ไม่มีบรรยายกาศตึงเครียดแม้แต่น้อย…จดหมายที่เราฝากไปไม่มีประโยชน์ หรือว่า…’ เขาลอบถอนใจ
“พี่ใหญ่หลี่ พวกเราจะไปทางใต้จริงๆ หรือ” สตรีคนหนึ่งที่ติดตามอยู่ด้านหลังถามเบาๆ เป็นอิ๋นจื่ออสรพิษผนึกน้ำแข็งเมื่อก่อนหน้า
“ไม่มีทางอื่นแล้ว ที่นี่ไม่อาจรักษาความปลอดภัยของพวกเราได้ เกิดว่ามีอันตราย…” หลี่ซุ่นซีส่ายหน้า “ข้าพยายามสุดความสามารถแล้ว ความสำเร็จล้มเหลวต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง”
“ถูกต้อง พวกเขาไม่เชื่อ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้” ซุ่นเมิ่งไอสองคำพร้อมตอบกลับ
พอทั้งสามออกจากสวนปัญญา ก็ตระเตรียมสัมภาระทันที คิดจะจ้างรถม้าออกจากเมืองกระดิ่งขาวไปยังแดนใต้ เพียงแต่รถม้าที่มุ่งหน้าไปแดนใต้เหลือน้อยลงชั่วคราว และยังไม่กลับมา จำเป็นต้องรออีกหลายวัน
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินเล่นด้วยความเบื่อหน่าย พลางพูดคุยถึงสภาพการณ์ตรงหน้าบนถนน
“หนำซ้ำดูท่าทางจะลุกลามแล้ว พวกเราคิดหยุดยั้งก็เปล่าประโยชน์…” หลี่ซุ่นซีกวาดตามองขี้เมาคนหนึ่งบนถนนอย่างไวต่อความรู้สึก
ขี้เมาคนนี้ล้มหงายนอนบนพื้น ทั่วร่างโชยกลิ่นสุราหึ่ง สวมเสื้อผ้าป่านสีเทา ใช้เชือกผ้าสีดำเส้นหนึ่งมัดผมไว้ลวกๆ
แม้จะยังเห็นได้ว่าทรวงอกของเขายังสะท้อนขึ้นลงช้าๆ แต่ความจริงหลี่ซุ่นซีพบกลิ่นอายประหลาดที่เล็กน้อยสุดขีดสายหนึ่งบนร่างของเขา
“มันนี่แหละ” ทันใดนั้นก็มีทหารกลุ่มหนึ่งเร่งรุดมา ส่งคนสองคนไปจับขี้เมานั้น แล้วใช้เชือกป่านมัดไว้อย่างคุ้นเคย
“เอาตัวไป!” ดวงตาของนายกองที่นำกลุ่มฉายความคิดฆ่าฟัน
พวกเขาไม่อนุญาตให้อธิบาย เอาตัวขี้เมาไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านี้ ไกลออกไปก็มีคนคนหนึ่งถูกคนจากกองทัพรักษาเมืองสั่งจับตัวไปเช่นกัน
หลี่ซุ่นซีจิตใจตึงเครียด รู้ว่าตระกูลขุนนางกับสำนักต่างเคลื่อนไหวแล้ว ภัยพิบัติมารต้องเกิดที่นี่แน่ บางทีอาจมีคนในสำนักและตระกูลขุนนางสัมผัสความผิดปกติได้แล้ว
“รีบไปจากที่นี่ให้เร็วเถอะ ถ้าไปช้ากว่านี้พวกเราอาจถูกลูกหลงไปด้วย” หลี่ซุ่นซีกล่าวเบาๆ
คนสองคนด้านหลังก็เคร่งเครียดเช่นกัน ทราบว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นมาร ตระกูลขุนนาง หรือสำนัก สำหรับพวกเขาแล้ว ล้วนเป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ เกิดต้องปะทะกัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะต้องสงผลต่อพวกเขาด้วย
“น่าเสียดายยิ่งที่พวกเจ้าถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ผู้ถือครองหยกลี้ลับ” อยู่ๆ ก็มีหญิงชนบทที่จูงเด็กคนหนึ่งขวางทางไปของทั้งสามไว้
ทั้งสามม่านตาหดตัว ต่างเห็นความผิดปกติของหญิงชาวชนบทตรงหน้า
หญิงชนบทคนนี้มีใบหน้าซีดขาวยิ่ง ไม่มีสีเลือด สองตาไร้จุดรวมศูนย์ คล้ายกับไม่ได้กำลังมองพวกเขาอยู่
ส่วนเด็กที่นางจูงอยู่ ใส่เสื้อผ้ามอซอ กำลังเหลียวซ้ายแลขวาอย่างสนใจ คล้ายกับไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดา
ทว่าอิ๋นจื่อที่เป็นสตรีช่างสังเกตกว่า นางค้นพบอย่างขนลุกว่าในเงาที่ถูกแสงส่องทาบทอกับพื้นของเด็กคนนั้นมีศีรษะคนค่อยๆ งอกบนหลังของเขา
ศีรษะข้างนั้นมีขนาดเท่าแตงโม เหมือนกำลังแสยะยิ้มอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นเงา กลับคล้ายดูออกว่าศีรษะข้างนั้นกำลังมองพวกเขาด้วยรอยยิ้มดุร้าย
“มารเงาสะท้อน…” หลี่ซุ่นซีเห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน สูดลมหายใจเย็นเยียบ “หนี…รีบหนี!”
เขาถอยหลังไปหลายก้าวอย่างเชื่องช้า แล้วหมุนตัวหลบหนี สองคนที่เหลือตามเขาไปติดๆ
หญิงชนบทกับเด็กน้อยไม่มีความคิดจะไล่ตาม เพียงยืนมองพวกเขาสามคนจากไปอย่างเงียบๆ อยู่ที่เดิม
ในเมื่อถูกมารเงาสะท้อนหมายหัวแล้ว สามคนนี้จะหนีรอดได้อย่างไร
…
“มีเบาะแสแล้ว!” ไป๋ซิวถือข้อมูลเอกสารตั้งหนึ่ง เดินเข้ามาในห้องหนังสือ แล้วพูดเบาๆ กับหวงฟู่ทารกโลหิตซึ่งกำลังตรวจสอบเอกสารอยู่
“อ้อ? ว่าอย่างไร ทางข้าได้รับคดียุ่งยากสิบกว่าคดี ความจริงพวกบริวารจัดการไปก่อนแล้วเป็นส่วนใหญ่ นี่ยังเป็นแค่คดีที่ไม่มีวิธีจัดการจริงๆ หลังจากคัดกรองมาหลายระดับแล้ว” หวงฟู่วางเอกสารลงอย่างเหนื่อยล้าพลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“คดีฆาตกรรมต่อเนื่องเมื่อก่อนหน้านี้ กับคดีคนหายที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันมานี้ ล้วนชี้ไปที่สถานที่แห่งหนึ่ง” ไป๋ซิวกล่าวอย่างจริงจัง
“ที่ไหนกัน” พอเห็นสหายสนิทเป็นเช่นนี้ หวงฟู่ก็เอาจริงเอาจังเช่นกัน
“พรรคจั๊กจั่นในเมืองพันนาวา องค์กรใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ใกล้ๆ นี้” ไป๋ซิวอธิบาย “ก่อนหน้านี้สำนักปีกทะยานเป็นผู้ควบคุมพรรคจักจั่น ความจริงระดับสูงด้านใน เป็นสมาชิกของสำนักพวกเขาแทบทั้งหมด ข้าส่งจดหมายให้สำนักปีทะยานเพื่อถามสถานการณ์แล้ว อีกไม่นานน่าจะมีคำตอบ”
“สำนักปีกทะยาน…” หวงฟู่ขมวดคิ้ว “สำนักปีกทะยานระดับสามขั้นกลางที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สามสิบเอ็ดน่ะหรือ”
“ถูกต้อง” ไป๋ซิวพยักหน้า
“เรื่องประหลาดในช่วงนี้เหมือนชี้ไปที่จุดหนึ่ง ถ้าพวกเขาออกหน้าอธิบายเอง จะมีส่วนช่วยต่อคดีอย่างมหาศาล” หวงฟู่กล่าวเห็นด้วย “จริงสิ เจ้าส่งจดหมายไปเมื่อไหร่”
“เมื่อวานซืน ใช้นางแอ่นวิญญาณพิรุณโลหิตส่งให้ตอนอยู่ด้านนอก ข้ามีศิษย์น้องคนหนึ่งที่รู้จักกับผู้นำของพวกเขา เลยใช้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลเอา” ไป๋ซิวตอบ
“อีกนานเท่าไหร่กว่าจะถึงงานชุมนุมย่อย” หวงฟู่ถามอีก
“อีกสองเดือน” ไป๋ซิวไตร่ตรอง ยังคิดจะพูดบางอย่าง พลันมีเงาคนวูบไหวด้านนอกประตู สตรีวัยเยาว์สวมชุดเข้ารูปสีขาวสองคนเดินเข้ามา
“ศิษย์พี่ไป๋ สถานการณ์ผิดปกติอยู่บ้าง” สตรีหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มคนหนึ่งกล่าวเสียงเครียด
“ศิษย์น้องเฉียวซิ่ว เกิดอะไรขึ้นหรือ” ไป๋ซิวจำอีกฝ่ายได้ เป็นคนที่เขาวานให้ส่งจดหมายแก่ผู้นำสำนักปีกทะยานนั่นเอง
เฉียวซิ่วกล่าวด้วยหน้าสีหน้าจริงจัง “ศิษย์พี่ไป๋ บอกกับท่านตามตรง ความจริงผู้นำสำนักปีกทะยานตามเกี้ยวพาราสีข้ามาโดยตลอด ปกติถ้าข้าส่งจดหมายไป เขาจะตอบจดหมายภายในครึ่งวัน จากที่นี่ถึงสำนักปีกทะยาน หากใช้นางแอ่นวิญญาณพิรุณโลหิตจะใช้เวลาครึ่งวัน พูดอีกอย่างคือพอจดหมายไปถึง เขาก็จะตอบทันที แต่ก่อนหน้านี้ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว…ข้ารู้สึกแปลกๆ จึงให้เพื่อนสนิทของข้าส่งจดหมายให้สหายในสำนักปีกทะยาน และให้อีกฝ่ายตอบกลับทันที แต่ยังคงเหมือนหินจมลงมหาสมุทร”
คำพูดของเฉียวซิ่ว ทำให้ไป๋ซิวและหวงฟู่เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
“หรือว่าสำนักปีกทะยานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใด เป็นไปไม่ได้กระมัง มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์สะกดอยู่ อีกอย่างสำนักมารกำเนิดไม่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไร้ข่าวคราว” หวงฟู่ขมวดคิ้วพูด
“กว่าจะถึงงานชุมนุมย่อยยังมีเวลา พวกเราไปตรวจสอบด้วยกันดีไหม” ไป๋ซิวเสนอ
“ถ้าเกิดปัญหาจริงๆ พวกเราสองคนก็จัดการไม่ได้อยู่ดี รายงานเบื้องบนดีที่สุด” หวงฟู่ส่ายหน้าปฏิเสธ
ถูกต้อง ถ้าหากสำนักระดับสามขั้นกลางที่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์สะกดยังเกิดเรื่อง ต่อให้พวกเขาสองผู้นำมุ่งหน้าไปก็แก้ไขความร้ายแรงของปัญหาไม่ได้
“ข้าจะไปหาผู้ครองเรือน ขอให้เขาส่งจดหมายไปถามสำนักปีกทะยานเพื่อดูว่าเกิดเรื่องจริงๆ หรือไม่” หวงฟู่ลุกขึ้น
“ได้! ข้าจะหาคนส่งข่าวให้ศิษย์ของสำนักปีกทะยานที่อยู่ด้านนอก ดูว่าจะติดต่อผ่านวิธีการของพวกเขาได้หรือไม่” ไป๋ซิวพยักหน้า
…
สำนักมารกำเนิด
ลิ่วซานจื่อนั่งบนที่นั่ง เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างตั้งใจฟังเหอเซียงจื่อสอน
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ทางซ้ายในระดับเดียวกับเขา ตอนนี้กำลังหลับตาทำสมาธิ ไม่สนใจสิ่งภายนอก
กระถางธูปใหญ่ยักษ์และหนักอึ้งส่องแสงสีเหลือง มีควันสีขาวขนาดเท่าตะเกียบลอยขึ้นจากตรงกลาง
โถงศึกษาอยู่ในความสงบ
“เสี่ยวเซิ่ง ใกล้จะถึงงานชุมนุมย่อยที่เรือนสุดประจิมจัดขึ้นแล้ว ข้าก็ได้เทียบเชิญมาแล้ว เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่” ลิ่วซานจื่อมองการสอน พลางถามเสียงแผ่ว
ลู่เซิ่งได้สติ ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่ลอบฝึกฝนวิชาลับในช่วงต้นของร่างมารสมุทรอันเป็นร่างมารร่างที่สี่มาโดยตลอด
“งานชุมนุมย่อยหรือ ข้าอาจไปไม่ได้ ช่วงนี้วิชามีการเลื่อนระดับ อาจจะต้องกักตนพักหนึ่ง”
“กักตนหรือ” ลิ่วซานจื่องุนงง จากนั้นก็ยินดี ปกติแล้วการกักตนมีแต่ตอนติดอุปสรรคจนไม่อาจก้าวหน้าได้ จึงค่อยเลือกวิธีการสุดโต่งโดยตัดขาดทุกการรบกวนจากโลกภายนอก เพื่อทดลองเลื่อนระดับ
หมายความว่าลู่เซิ่งในตอนนี้กำลังจะเลื่อนระดับวิชาหน้ามารแล้วหรือ
เขารู้ว่าลู่เซิ่งเริ่มฝึกฝนวิชาหน้ามารหลังเลื่อนระดับวิชาไร้มูลเหตุมานานแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าลู่เซิ่งจะฝึกฝนวิชาหน้ามารที่มีทั้งสิ้นสี่ระดับจนสำเร็จได้ในระยะเวลาที่สั้นแบบนี้
คนอื่นๆ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายปี แต่เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน…ควรบอกว่าเหมาะสมเป็นอัจฉริยะสะท้านภพได้กระมัง
ลิ่วซานจื่อทั้งแตกตื่นทั้งดีใจ บวกกับลู่เซิ่งมีพละกำลังมากโดยกำเนิดอยู่แล้ว เมื่อเป็นแบบนี้พลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
“ถูกต้องๆ แค่งานชุมนุมเล็กๆ งานเดียว แม้เรือนสุดประจิมจะเป็นคนจัดก็ตาม แต่ไม่ได้สำคัญนัก เพียงแค่แลกเปลี่ยนข้อมูลและผูกมิตรกันเท่านั้น เจ้าจะไปหรือไม่ไปก็ได้ ถึงอย่างไรพลังฝึกปรือก็สำคัญที่สุด งานชุมย่อยอะไรจะไปเมื่อไหร่ก็ได้” เขาพยักหน้าติดต่อกัน อำพรางความปลาบปลื้มบนใบหน้าไม่มิด
ตอนนี้การสอนด้านล่างจบลงแล้ว เหอเซียงจื่อหันไปมองลิ่วซานจื่อ ถึงเวลาเจ้าสำนักกล่าววาจาสักสองสามประโยคแล้ว นี่เป็นธรรมเนียมหลังจากการสอนทุกครั้ง
ลิ่วซานจื่อไม่ปฏิเสธ รับสิทธิ์ในการพูดมา กระแอมสองสามครั้ง แล้วเริ่มอธิบายจุดสำคัญและจุดยากในการสอนส่วนหนึ่ง
ลู่เซิ่งอยู่ด้านข้าง ผ่านไปสักพักก็ถูกลากไปเล่าประสบการณ์การเลื่อนระดับของตัวเอง
หลังจากการสอนจบลง ทุกคนก็แยกย้ายไป
ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดมีขนาดค่อนข้างใหญ่เนื่องจากลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุหนึ่งร้อยคนแล้ว
สำนักได้บูรณะสถานที่ทำกิจกรรมอย่างโรงอาหาร บ่อเลี้ยงปลา โรงอาบน้ำ และลานต่อสู้ขึ้นมาใหม่ อย่างเช่นโถงศึกษานี้ก็พึ่งสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนกลางคืนของสำนักมารกำเนิดเป็นของภูติผี มีอันตรายรอบด้าน ศิษย์เหล่านั้นยังคิดทำห้องทำกิจกรรมยามดึก หรือการเล่นหมากล้อมเป็นกิจกรรมสันทนาการยามราตรี จะได้ครอบคลุมกว่าเดิม
มีคนค้าขายจำนวนมากจากด้านนอกถ้ำมารกำเนิดมาขุดเจาะถ้ำ แล้วสร้างร้านค้าจำนวนไม่น้อยหลังได้ยินข่าว
อาภรณ์ อาหาร ที่พัก ถนน มีครบครัน
คนค้าขายเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของศิษย์ที่เข้าร่วมสำนักมารกำเนิด คนจำนวนมากทราบเบื้องหลัง ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอะไรมากนัก
หลังสอนจบแล้ว ลู่เซิ่งก็เดินออกจากโถงศึกษา กลับมาเห็นซั่งหยางหลิงฮุ่ยกำลังรอเขาโดยหันหลังพิงกำแพงอยู่ด้านนอกประตู
คนที่อยู่รอบๆ ผละไปกันหมดแล้ว เหลือแค่นางรออยู่ที่นี่คนเดียว
นับตั้งแต่การไปสวนปัญญาเมื่อครั้งก่อน ซั่งหยางหลิงฮุ่ยก็ติดตามกลับมาและเข้าร่วมกับสำนักมารกำเนิด ลู่เซิ่งก็ถือโอกาสให้สตรีกางร่มอิงอิง รวมถึงนิ่งซานและสวีชุยเข้าร่วมสำนักมารกำเนิดด้วยเช่นกัน
แต่ว่าตอนนี้ ทั้งสามคนนี้ฝึกฝนวิชาสามหยินอันเป็นวิชาพื้นฐานได้ช้าจนน่าตกใจ แสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะไม่มีสายเลือดโดยสิ้นเชิง ดังนั้นการฝึกฝนในด้านนี้จึงยากลำบากเป็นพิเศษ
พวกเขามีโอกาสได้รับการฝึกฝนวิชาลับอย่างเป็นทางการอย่างหาได้ยาก ทุกคนแม้แต่หงฟางไป๋ก็ไม่กล้าชะล่าใจ ทุกๆ วันนอกจากกิน ดื่ม นอนหลับ ก็ฝึกฝนอย่างหนัก ไม่มีใครสู้ความขยันในการฝึกฝนของพวกเขาได้
……………………………………….