ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 27 รับสมัคร (1)
ทุกคนช่วยกันหามลู่เซิ่งมาถึงห้อง เชิญหมอเฉพาะทางในคฤหาสน์ลู่มาตรวจ
หลังจากหมอเข้าห้องไป ไม่ทันไรก็ออกมา
“ไร้อุปสรรคใหญ่ เพียงแต่ใช้กำลังเกินตัวไป ผนวกกับท้องส่วนล่างถูกกระแทกอย่างแรง คุณชายใหญ่ร่างกายแข็งแกร่ง ไม่บาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน ไม่นับเป็นอะไร”
ลู่เฉวียนอันค่อยโล่งอก
ลู่เซิ่งคราครั้งนี้ลงมือด้วยตัวเอง มุทะลุไปบ้างจริงๆ
เขาในฐานะคุณชายใหญ่ตระกูลลู่ หากเกิดมีอันเป็นไป ภายหลังควรทำอย่างไร
“เฉวียนอัน นี่เป็นเวลาจนปัญญา”
ลุงใหญ่ถอนใจกล่าว
“เรื่องของทางนี้ข้าวางแผนจะรายงานราชสำนักด้วยตัวเอง ข้ามข้าหลวงไปเลย ซ่งตวนฉือนั่นในฐานะขุนนางผู้ปกครองเมือง ก่อนหน้านี้บอกว่าจะรายงานต่อราชสำนัก แต่ถึงตอนนี้ยัง… ข้าในฐานะรองผู้บัญชาการ ก็ขอร้องให้ผู้บัญชาการ หยางต้วนรุ่ย รายงานหลายครั้ง ล้วนถูกเขาบอกปัด”
“มีลับลบคมในหรือไม่” ลู่เฉวียนอันถามเสียงขรึม
“ไม่แน่ใจ… ยังมีเด็กน้อยชิงชิง คนที่หายตัวไปเหล่านั้นถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าว” ลุงใหญ่ส่ายหน้า
ทั้งสองคนที่อยู่นอกประตู รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทราบว่าจะทำอะไรได้
เรื่องแบบนี้อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขาไปแล้ว
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินเรื่องทำนองนี้มาจากสถานที่อื่น แต่ว่าตอนที่ครอบครัวของตัวเอง ประสบกับเรื่องนี้ ก็ไม่ทราบว่าสมควรทำอย่างไรแล้ว
“มิสู้…” ลู่เฉวียนอันเงียบเสียงลง “พวกเราติดประกาศให้รางวัล รับสมัครคนที่สามารถจัดการเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้”
“ใต้ทองหนัก ต้องมีผู้กล้า อาจจะใช้ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องเหล่านี้ก็วุ่นวายสับสน ปิดเอาไว้ก็ปิดไม่อยู่”
ลุงใหญ่พยักหน้า
ทั้งสองคนปรึกษากันอย่างละเอียด กำหนดแผนการ
สักพักหนึ่งก็มีข้ารับใช้คฤหาสน์ลู่แยกกันนำกระดาษแดงหลายปึก ไปติดบนประตูใหญ่ตระกูลลู่ กับกำแพงสาธารณะใกล้ๆ
กระดาษแดงติดบนที่สถานที่สำคัญซึ่งมีคนชุกชมหลายแห่งอย่างรวดเร็ว
ดึงดูดคนผ่านทางจำนวนไม่น้อยเข้ามาดู
…
หลายวันให้หลัง
ประตูเมือง
คนเดินทางไปมาบนถนนที่รถลาพลุกพล่าน
ขบวนพ่อค้าที่ลากรถขนสินค้าสีเทาขบวนหนึ่งค่อยๆ หยุดลงนอกประตู หัวหน้าขบวนพ่อค้าเริ่มบอกให้ถ่ายสินค้าลง รอคนมาเคลื่อนย้าย
ขบวนพ่อค้านี้แค่ผ่านเมืองเก้าประสาน ถ่ายสินค้าลงเพียงส่วนหนึ่ง
ขณะที่หัวหน้าสั่ง ในรถม้าคันหนึ่งของขบวน ก็มีคนหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยกระโดดลงมา
ทั้งสองคนสวมเสื้อคลุมนักพรต คนตัวสูงเป็นบุรุษวัยกลางคนหน้าเหลี่ยมสีแดงเรื่อผู้หนึ่ง แบกกระบี่วิเศษบนหลัง สวมรองเท้าผ้าขาวพื้นดำ
อีกคนเป็นสตรี ก็สวมเสื้อคลุมนักพรตเช่นกัน แต่หน้าตาเพริศพริ้ง ถึงจะแฝงความอิดโรยเลือนราง แต่ยังคงเห็นการอบรมสั่งสอนอันดีที่ได้รับมา ในยุคสมัยเช่นนี้ มีแต่มาจากตระกูลใหญ่ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏภาพลักษณ์เช่นนี้
“พี่ใหญ่เหยียน ที่นี่เป็นเมืองเก้าประสานแล้ว”
สตรีเสียงกระจ่างยิ่ง เหมือนกับดรุณีอายุสิบเอ็ดสิบสองที่เริ่มเสียงแตก
“อืม สมควรเป็นเมืองเก้าประสานที่คนผู้นั้นพูดถึง พวกเรารีบมาตลอดทาง หรงหรงเจ้าเองก็ลำบากแล้ว”
นักพรตคนนั้นพยักหน้า มองซ้ายมองขวาดูรอบๆ
อย่างรวดเร็วเขาก็สังเกตเห็นกระดาษประกาศสีแดงใบหนึ่งที่ติดอยู่ตรงประตูเมือง
ประกาศนั้น ดึงดูดคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปมุงดู ถึงขั้นที่ทหารเฝ้าเมืองสองคน ก็ต้องเขยิบเข้าไปพูดคุยกับคนอื่น
บนใบหน้าทุกคนฉายแววประหลาดใจและอิจฉา
“ร่วมทางกับพี่เหยียนไค ไม่รู้สึกลำบากแต่อย่างไร ประกาศทางด้านนั้นเหมือนประกาศให้รางวัล พวกเราไปดูก่อน ไม่แน่ว่าจะมีคนพบเจอความยุ่งยาก ติดประกาศขอความช่วยเหลือแล้ว”
หรงหรงติดตามเหยียนไคขึ้นเหนือลงใต้ มีประสบการณ์ไม่น้อยต่อเรื่องแบบนี้
เรื่องราวมากมายที่พวกเขาพานพบก่อนหน้า ก็เจอบ้านคนที่เกิดเรื่องในทันที ผ่านใบประกาศนี้เช่นกัน
เหยียนไคพยักหน้า
“ไป ไปดูกันเถอะ”
สองคนเดินเข้าประตูเมือง เบียดผู้คนเข้าหาป้ายประกาศอย่างรวดเร็ว
“… เป็นตระกูลลู่… ช่วงนี้ในเมืองไม่สงบจริงๆ แม้แต่ตระกูลลู่ก็เกิดเรื่องแล้ว”
“ตระกูลลู่ก่อนหน้านี้มีคนหนีออกมา ข้าเห็นกับตา ดูเหมือนเคยเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันตระกูลลู่ก่อนหน้านี้ คนในตระกูลหวาดกลัวยิ่ง”
“ไม่เห็นอวี๋เจี่ยออกมาซื้อของหลายวันแล้ว หรือว่าเกิดเรื่องแล้วจริงๆ”
บริเวณรอบๆ ท่านหนึ่งวาจาข้าหนึ่งวจี สนทนากันไม่ขาดตอน
เหยียนไคตั้งใจฟัง ทางหนึ่งเงยหน้ามองประกาศบนป้าย
‘ให้รางวัลห้าร้อยเหรียญทอง ขอความช่วยเหลือจากผู้มีความสามารถพิเศษ
‘ช่วงนี้ในเมืองเกิดเรื่องประหลาด มักมีคนหายตัวไป
‘ก่อนหน้านี้มีคดีตระกูลสวี คดีกระโดดบ่อหมู่บ้านตระกูลหวัง ตอนนี้มีเสียงสตรีร้องไห้กลางดึกของตระกูลลู่
‘เพื่อความปลอดภัยในบ้าน ให้รางวัลพิเศษเป็นทองห้าร้อยตำลึง หรือเป็นเงินห้าพันตำลึง เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ และตามหาผู้หายสาบสูญ’
ประกาศเขียนเรียบง่ายยิ่ง ความหมายกระจ่างแจ้งเช่นกัน
ด้านล่างติดประกาศเพิ่มเติมใบหนึ่ง เป็นรายละเอียดเรื่องที่ตระกูลลู่เจอเสียงร้องไห้กลางดึก
บรรยายคดีคนหายของตระกูลลู่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกถึงตอนนี้ออกมาจนหมดสิ้น
เหยียนไคอ่านอย่างละเอียดเที่ยวหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย
“ที่นี่เอง พวกเราไปตระกูลลู่กัน”
หรงหรงที่อยู่ด้านข้างก็อ่านเนื้อหาประกาศจนจบเช่นกัน
“พวกเราก็ต้องการหาพวกปีศาจนี่พอดี ยังได้เงินค่าเดินทางนิดหน่อยอีกด้วย”
“พวกเราบำเพ็ญเต๋า ไม่ใช่ใช่เพราะเงินทอง” เหยียนไคกล่าวอย่างจริงจัง
“ถูก ถูก ถูก” หรงหรงแลบลิ้น รีบปิดปากตัวเอง นางรู้ว่าพี่เหยียนไคไม่ชอบเรื่องทวงบุญคุณที่สุด
เหยียนไคไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้าไปฉีกประกาศลงมา
ข้ารับใช้ของตระกูลลู่ที่เฝ้าอยู่ด้านข้างตาเป็นประกาย พลันคึกคักขึ้นมา
“ทั้งสองท่าน เชิญทางนี้!”
เหยียนไคพยักหน้า
พาหรงหรงติดตามข้ารับใช้ผู้นี้ไปตระกูลลู่
ก่อนหน้านี้รอบๆ ยังเห็นกลุ่มคนที่คึกครื้น อยู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาขึ้นบางส่วน มีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจำนวนไม่น้อยติดตามไป
อยากดูว่าพวกเขาไปตระกูลลู่จริงๆ หรือไม่
ชายหญิงที่สวมชุดนักพรตสองนี้ ดูเหมือนมีความสามารถ
เหยียนไคไม่สนใจว่าด้านหลังมีคนติดตามมาหรือไม่ ยามเดินสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนคล้ายมองไม่เห็น แสดงออกว่าชินกับการถูกคนมุงดูมานานแล้ว
หรงหรงพูดคุยกับข้ารับใช้ผู้นั้น ถามไถ่สถานการณ์ที่เกี่ยวกับคฤหาสน์ลู่ส่วนหนึ่ง
ครู่หนึ่ง สองคนก็ขึ้นรถม้าคันหนึ่งไป รถม้าพาวกซ้ายเลี้ยวขวา หลังควบขับไปสักพักก็หยุดลง
ทั้งสองคนลงจากรถ มีคนนำทาง เข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่ง ด้านในมีภูเขาจำลอง ธารน้ำ สะพานน้อย สวนดอกไม้ นกร้อง บุปผาหอม การตกแต่งวิจิตรหรูหรางดงาม
เหยียนไคไม่ชำเลืองมอง นำหรงหรงเดินไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็ถึงห้องรับแขกแห่งหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับๆ”
บุรุษวัยกลางคนสีหน้าแฝงความกังวล ใบหน้าซีดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขก
เป็นบุรุษรูปร่างสมบูรณ์ สวมเสื้อคลุมสีขาวดุจดวงจันทร์ปักลายเงินสำริดขอบทอง เคราใต้คางหวีเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้าน
เป็นลู่เฉวียนอันที่เพิ่งมาจากห้องลู่เซิ่ง
“เป็นสองท่านฉีกประกาศที่ประตูเมืองหรือ” ลู่เฉวียนอันพินิจมองสองคนตรงหน้าอย่างละเอียด
ทั้งสองคนล้วนเป็นนักพรต สีหน้าบุรุษแดงเรื่อมีประกาย หน้าผากอวบอิ่ม สายตาจริงจัง เอวตรงหลังยืด ถ้าหากเปลี่ยนไปใส่ชุดนักศึกษา ก็ดูคล้ายบัณฑิต
สตรีมีใบหน้างามพร้อม แฝงความสดใสไร้เดียงสา สายตาปราดเปรียว แอบมองไปรอบๆ เหมือนกับคุณหนูจากบ้านใดแอบปลอมตัวหนีออกมา
“ใช่แล้ว ข้าชื่อเหยียนไค เหยียนที่มาจากสีสัน ไคที่มาจากเริ่มต้น ฉายาเต๋าคือหวนหยางจื่อ”
เหยียนไคแนะนำตัวเอง
“นี่คือต้วนหรงหรงศิษย์น้องของข้า พวกเราสองคนมานี่ก็เพราะเรื่องคนหายบนประกาศของตระกูลลู่”
“ทั้งสองท่านเชิญนั่ง เชิญนั่ง”
ลู่เฉวียนอันผายมือเชื้อเชิญ
พวกเหยียนไคนั่งลง มีหญิงรับใช้เข้ามาบริการน้ำชาและของทานเล่นอย่างรวดเร็ว
“เรื่องราวที่เป็นรูปธรรม ข้าเขียนบนประกาศไว้ละเอียดยิ่งแล้ว หวนหยางจื่อเต้าจ่างถ้าหากคิดจะรับเงินรางวัลนี้ ยังต้องพบลู่เซิ่งบุตรชายของข้าก่อน
รางวัลในครั้งนี้ของตระกูลลู่ข้าให้เขาเป็นผู้ตรวจสอบ” ลู่เฉวียนอันตอบเสียงเบา “แน่นอน ถ้าหากว่าเต้าจ่างมีความสามารถจริงๆ ไม่ว่าตอนนี้สำเร็จหรือไม่ ภายหลังล้วนมีเงินหนึ่งร้อยตำลึงมอบให้”
คำพูดนี้หลังจากกล่าวออกไป เหยียนไคกับหรงหรงต่างก็เห็นด้วย
ลู่เฉวียนอันสอบถามความเป็นมาของพวกเหยียนไคต่ออีกเล็กน้อย อาทิเช่น เป็นคนที่ไหน อายุเท่าไหร่ ถิ่นเซียนอยู่ที่ใด
เหยียนไคตอบข้อซักถามทีละข้อ
หลังจากพักผ่อนสักครู่ ไม่ทันไรในห้องรับแขกก็มีคนฉีกประกาศมาอีกหลายคน
ในกลุ่มคนที่มาทีหลัง มีภิกษุจากวัดบัวแดงสองรูป อีกคนเป็นนักพรตเหมือนเหยียนไค
คนสุดท้ายเป็นจอมยุทธ์คนหนึ่ง เอวแขวนมีดอยู่คู่หนึ่ง ล้วนเป็นมีดสั้น ใบหน้าหล่อเหลา มองดูให้ดีถึงกับเป็นสตรีปลอมเป็นบุรุษ
รออีกสักพัก ลู่เฉวียนอันรอคนมาพอประมาณแล้ว ก็เชิญทุกคนลุกขึ้น เดินไปยังลานที่ลู่เซิ่งอยู่
ตระกูลลู่มีลานเยอะมาก พื้นที่ก็ใหญ่มากด้วย ตัวบ้านส่วนหนึ่งยื่นไปชิดกับกำแพงเมือง ยึดครองพื้นที่ที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองเก้าประสานไปถึงหนึ่งในสามส่วน แสดงให้เห็นถึงความร่ำรวย
ในตระกูลใหญ่ทั้งห้าตระกูลของเมือง ผู้ที่รวยที่สุดก็คือตระกูลลู่
ทุกคนเดินตามลู่เฉวียนอันไปยังลานกระเรียนเหลือง
ระหว่างทาง ทุกคนต่างเห็นว่าระหว่างลาน ทุกที่เฝ้าด้วยผู้คุ้มกันที่มีดาบกระบี่อยู่ในมือ
ผู้คุ้มกันเหล่านี้แต่ละคนเอวหนาบ่ากลม ร่างแกร่งแรงเยอะ ยืนตัวตรง เพียงมองก็ทราบว่าเป็นคนที่เคยรับการฝึกจากกองทัพ
เหยียนไคมองดูระหว่างทาง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ตระกูลลู่นี้ร้ายกาจอยู่บ้าง…”
ต้วนหรงหรงไม่เข้าใจ
“มีเงินมีอำนาจแล้วอย่างไรเล่า ใกล้เคียงกับตระกูลหลายตระกูลที่พวกเราได้เจอก่อนหน้า มีอันใดร้ายกาจกัน”
เหยียนไคส่ายหน้า
“ไม่ใช่แค่สิ่งเหล่านี้ ตระกูลลู่สมควรมีกองทัพอยู่เบื้องหลังง ไม่อย่างนั้นคนคุ้มกันของที่นี่ไม่มีท่วงท่าสภาวะเช่นนี้ กฎของกองทัพเข้มงวด มีแค่คนที่ได้รับการฝึกจากกองทัพบ่อยๆ เท่านั้น จึงจะรักษาสภาพอย่างนี้ได้ตลอด
“นี่ไม่ใช่ลักษณะที่ทหารเก่าปลดเกษียณไปแล้วเหล่านั้นจะมีได้”
“มีกองทัพอยู่เบื้องหลัง! ตระกูลแบบนี้ถึงกับต้องติดประกาศขอความช่วยเหลือ ดูเหมือนเรื่องที่เจอไม่เล็กเลย”
ต้วนหรงหรงฟังจบก็ตกตะลึง
ทุกคนเดินมากว่าร้อยก้าว เข้าไปในลานกระเรียนเหลืองอย่างรวดเร็ว
ลานกระเรียนเหลืองอยู่ติดกับลานฝึก ยังได้ยินเสียงสัญญาณบนลานฝึกที่มีคนคุ้มกันฝึกฝนอยู่
คุณชายใหญ่ลู่เซิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนตัวหนึ่ง ร่างกายกึ่งเอนกึ่งนอน ใบหน้าซีดขาว ร่างห่อผ้าห่มหนา ในอากาศได้กลิ่นยาที่เข้มข้น มองไปสีหน้าไม่สู้ดีนัก
เหยียนไคพิจารณลู่เซิ่งผู้นี้อย่างละเอียด มองแวบเดียว ก็เห็นพลังกาย ปราณ และจิตในดวงตาของอีกฝ่ายอ่อนแอ เหมือนเป็นคนป่วยที่ได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี
“คำนับผู้กล้าทุกท่าน”
ลู่เซิ่งกระแอมสองครั้ง คำนับทุกคน
“เหมือนอย่างที่ทุกท่านเห็น ข้าน้อยร่างกายไม่ดี อาการบาดเจ็บยังไม่หาย มิอาจลุกขึ้นต้อนรับทุกคนแล้ว”
“คุณชายลู่เกรงใจแล้ว”
ภิกษุวัดบัวแดง ฉายาพระอาจารย์เจินถาน (สระสัจจะ) ออกหน้าเอ่ยคำ
“ตระกูลลู่ที่แล้วมาเป็นหนึ่งในผู้ศรัทธา เคร่งศาสนาของวัดบัวแดงเรา ครั้งนี้เกิดเรื่อง เจ้าอาวาสกำชับพวกเราให้เดินทางมาโดยเฉพาะ ดูว่ามีส่วนไหนลงมือช่วยเหลือได้หรือไม่”
“ขอบพระคุณพระอาจารย์ ฝากขอบคุณเจ้าอาวาสวัดบัวแดงแทนข้าด้วย”
ลู่เซิ่งตอบด้วยรอยยิ้ม
นักพรตอีกคนเริ่มถามไถ่รูปคดี
ลู่เซิ่งตอบทีละข้อ
พวกเหยียนไคตั้งใจฟังอยู่ด้านข้าง ทางหนึ่งพิจารณาดูลู่เซิ่งผู้นี้
‘ถูกปราณหยินคุกคาม มิหนำซ้ำเป็นการบาดเจ็บที่ได้รับมาไม่นาน’
หลังเหยียนไคสำรวจอย่างละเอียด ก็มองสภาพผิดปกติบนร่างคุณชายใหญ่ลู่ผู้นี้ออก
………………………………………….