ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 273 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (3)
บทที่ 273 การทำลายล้างที่ถูกกำหนดไว้แล้ว (3)
เสาศิลาสำนักมารกำเนิด
ศิษย์สำนักมารกำเนิดหลายกลุ่มตะโกนพลางฝึกกายเนื้อบนลานกว้างรอบเสาศิลา เพื่อฝึกฝนวิชาไร้มูลเหตุในการเตรียมดูดซับปราณมาร
เสาศิลาที่สัญลักษณ์มีสีเลือดกะพริบแสงตั้งตระหง่านอยู่เงียบๆ และไม่ไหวติง เหมือนกับว่าไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเป็นร้อยเป็นพันปี
แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยร้าวมากมายกำลังค่อยๆ แผ่ขยายเหมือนใยแมงมุมในจุดที่มืดมิดไร้แสงอันเป็นส่วนชั้นดินที่อยู่ลึกลงไปของเสาศิลา
รอยร้าวแผ่ไปถึงด้านในห้องศิลาห้องเล็กที่ปิดตายและลึกลับที่อยู่ด้านล่างสุด
หม้อสีดำขนาดใหญ่ใบหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องศิลา ควันดำนับไม่ถ้วนลอยกระจายอยู่รอบๆ ปกคลุมพื้นดินในห้องศิลาเอาไว้แทบทั้งหมด
รอยร้าวขยายจากก้นหม้อใบใหญ่ไปถึงผนังสองฟาก จากนั้นก็ยืดขยายไปจนถึงเสาศิลา ความจริงแล้วปลายเสาศิลาเชื่อมต่อกับห้องศิลา แสงสีแดงจากสัญลักษณ์สีเลือดเชื่อมต่อกับก้นหม้อใบใหญ่มาโดยตลอดเหมือนกับเส้นเลือด
เพียงแต่ในสถานที่ที่คนมองไม่เห็น แสงสีแดงยิ่งมายิ่งจางลง สิ่งที่มาแทนที่คือเมฆสีเทาขมุกขมัวนับไม่ถ้วน
…
เมืองพันนาวา
ด้านในป้อมปราการยักษ์ด้านนอกชานเมือง
ที่นี่เป็นป้อมทหารที่ทัพเทวยุทธ์ของราชสำนักปักหลักอยู่ สำหรับทัพเทวยุทธ์ที่ตั้งทัพอยู่ในเมืองพันนาวา เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเมืองเก้าเมือง ที่นี่เป็นทั้งค่ายที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ และเป็นคุกที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งคุมขังนักโทษที่ก่อคดีในบริเวณนี้
กำแพงสีดำสูงถึงสิบหมี่เป็นรูปทรงกลมล้อมอาณาเขตที่กว้างใหญ่ ไว้ตรงกลาง
ในวงกลมเป็นกระท่อมสีดำอมเทาที่แน่นขนาดหากเป็นระเบียบ นักโทษสวมชุดแบบเดียวกันจำนวนไม่น้อยกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านใน
นักโทษเหล่านี้มีสีหน้าเซื่อมซึมและดวงตาที่แปลกประหลาด กล่าวพึมพำอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ พวกเขาบ้างก็เดินคนเดียว บ้างก็จับกลุ่มกันสามสี่คน ยืนซังกะตายอยู่สักที่หนึ่ง บ้างก็นั่งเหม่อลอยโดยไม่ทำอะไรนอกจากอยู่เฉยๆ ในมุมมุมหนึ่ง
บนตัวนักโทษเหล่านี้ไม่มีโซ่ตรวน ด้านบนคุกมีแค่เครื่องกั้นโปร่งแสงมองไม่เห็นอยู่ชั้นหนึ่ง
หวงฟู่เดินเข้าไปในกำแพงพร้อมเจ้าหน้าที่ขุนนางหลายคน พลางสอดส่ายสายตาไปรอบๆ
“เกิดสถานการณ์แบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว” เขาขมวดคิ้ว
หัวหน้าพัศดีใช้ผ้าเช็ดมือเช็ดเหงื่อไม่หยุด
“ครึ่งเดือน…ครึ่งเดือนกว่าๆ แล้วขอรับ…”
“นักโทษพิเศษทั้งหมดสองร้อยกว่าคนเป็นแบบนี้หมดเลยหรือ”
“ขอรับ…” หัวหน้าพัศดีก้มศีรษะ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“โรคระบาดรุนแรงขนาดนี้ การติดเชื้อรุนแรงขนาดนี้ ผ่านไปตั้งครึ่งเดือนพวกเจ้าค่อยเจอหรือ” หวงฟู่โมโหอยู่บ้าง ต่อให้เบื้องหลังราชสำนักคือตระกูลหวง แต่ว่าเมืองพันนาวากับเมืองกระดิ่งขาวที่อยู่ใกล้ๆ นี้ ก็ยังคงเป็นเรือนสุดประจิมของเขามีวาจาสิทธิ์ส่วนหนึ่ง แต่ปัจจุบันเกิดปัญหาใหญ่ขนาดนี้ หัวหน้าพัศดีค่อยค้นพบและรายงานเบื้องบนหลังจากผ่านไปแล้วครึ่งกว่าเดือน
“เรื่องนี้…ใต้เท้า…ได้โปรดอย่าโมโห ความจริงพวกเราก็มีเหตุผลเหมือนกัน โรคติดเชื้อแบบนี้พบเจอยากยิ่ง ผู้ป่วยเพียงแค่ภายนอกดูไม่สบายเท่านั้น ไม่อาจวินิจฉัยได้ทันทีว่าอีกฝ่ายป่วยหรือไม่…” หัวหน้าพัศดีอธิบายอย่างจนใจ
หวงฟู่ถอนใจ
เขามองออกว่าท่าทางของคนเหล่านี้ เหมือนกับในคดีฆ่าคนต่อเนื่องเมื่อก่อนหน้า คือสองตาไร้ประกาย ไม่มีจุดรวมศูนย์ ดูคล้ายกับคนเป็นอัมพาต ทว่าเคลื่อนไหวได้ตามใจ ถ้าหากเดาไม่ผิด เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าหัวใจของคนพวกนี้จะมีปัญหาเหมือนกับฆาตกรคนนั้น
“คุกทั่วไปที่อื่นเล่า” หวงฟู่ถามอีก
“คุกทั่วไปยังดีอยู่ขอรับ มีแค่ไม่กี่แห่งที่ติดเชื้อ พวกเราแยกตัวทันเวลา” หัวหน้าพัศดีรีบตอบ
หวงฟู่ส่ายหน้าน้อยๆ เวลานี้ไป๋ซิวที่ไปตรวจสอบสถานการณ์ตามลำพังกลับมาแล้ว ปีนกำแพงขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากด้านหลัง แล้วเดินมาหาเขา
หวงฟู่มองเขา กลับเห็นไป๋ซิวส่ายหน้าให้เขาอย่างผิดหวัง
“เหมือนกันไม่มีผิดใช่หรือไม่” เขาถาม
“เหมือนกันไม่มีผิด” ไป๋ซิวถอนใจ
“พวกเจ้าลงไปก่อน ถ้ามีอะไรพวกเราค่อยเรียก” หวงฟู่บอกให้เจ้าหน้าที่ขุนนางรอบตัวถอยออกไป
พวกเจ้าหน้าที่ขุนนางรีบบอกลา ต่างคนต่างเคร่งเครียดจนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ทั้งๆ ที่อากาศหนาวเย็น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความเครียดในใจขนาดไหน
รอจนพวกเขาผละจากไป หวงฟู่ค่อยถอนใจยาว
“สถานการณ์เลวร้ายมาก ที่นี่บวกกับก่อนหน้านี้ มีคนมากกว่าพันเสียสติ เห็นคนก็จะอาละวาดทันที หนำซ้ำการแพร่เชื้อยังรุนแรงถึงขีดสุด แทบแตะแล้วติดทันที”
ไป๋ซิวพยักหน้า “บริวารของข้าลองตรวจสอบดูแล้ว พวกเขาพบว่าหัวใจของคนที่เสียสติไปแล้วทุกคนจะละลายอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็อยู่ในสภาพไร้หัวใจ หากเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วยังไม่เจอต้นตอ ข้าเตรียมจะเรียกใช้ทัพจตุชีวาแล้ว”
ทัพจตุชีวารักษาความปลอดภัยในอาณาเขตบริเวณนี้ เป็นตัวแทนอำนาจขนาดใหญ่ของสำนัก แบ่งเป็นทัพสี่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก ผู้นำของทุกกองทัพล้วนเป็นเจ้าสำนักรับตำแหน่ง ส่วนรองแม่ทัพบ้างก็เป็นผู้นำ บ้างก็เป็นรองเจ้าสำนัก
และไป๋ซิวก็เป็นรองแม่ทัพของทัพควันเมฆาแห่งวังหมื่นสุข จึงมีสิทธิ์เรียกระดมทัพ
“ไม่ได้ ทัพจตุชีวาจะเรียกใช้ง่ายๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญอย่างตอนนี้…” หวงฟู่ปฏิเสธข้อเสนอของไป๋ซิว “ข้าก่อตั้งกลุ่มตรวจสอบพิเศษขนาดเล็ก สำหรับใช้แกะรอยและตรวจสอบตามหลักฐานขึ้นมาแล้ว รออีกสองสามวันค่อยว่ากัน ถือโอกาสดูเจตนาของผู้ครองเรือนด้วย ตอนนี้งานชุมนุมย่อยกำลังจะมาถึง จะให้เกิดความวุ่นวายไม่ได้เด็ดขาด”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” ไป๋ซิวพยักหน้าขานรับ
“รอดูไปก่อน…รอดู…รอข่าวจากสำนักปีกทะยาน…” หวงฟู่ถอนใจยาว จากนั้นก็หลับตาใคร่ครวญ อยู่ๆ ข่าวลือธรรมดาๆ ที่เคยได้ยินก่อนหน้านี้ก็ปรากฏในใจเขาอย่างอธิบายไม่ได้
‘หรือว่ามารในเรื่องเล่าขาน จะทำให้เกิดทุกอย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่มีประตูเลือดเนื้อ เป็นไปไม่ได้เลยที่มารจะบุกเข้ามาโดยที่ไม่ถูกจับได้ หนำซ้ำทางเผ่ามารก็ถูกปิดล้อมมาโดยตลอด ไม่มีทางหลุดรอดออกมาได้ อย่างนั้น…เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นที่ตราผนึก’
ตราผนึกในอดีตแต่ละตราแวบขึ้นในใจเขา ไม่นานสถานที่ที่มีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเกิดปัญหาก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมอง
ถ้ำหมื่นโพรง!
‘ยังเหลืออีกสิบกว่าวันกว่าจะถึงวันแรกของเดือน ฉวยโอกาสที่งานชุมนุมย่อยยังไม่เริ่มไปตรวจสอบก่อนค่อยว่ากัน’ หวงฟู่ตัดสินใจ
“จริงสิ พี่สะใภ้ใกล้จะคลอดแล้วกระมัง” ไป๋ซิวเปลี่ยนหัวข้อ “ตอนบ่ายข้าไม่มีที่อยู่ ขอไปกินข้าวบ้านเจ้าสักมื้อก็แล้วกัน ไม่ได้กินข้าวฝีมือพี่สะใภ้มานานแล้ว”
“เจ้าเพิ่งกินไปเมื่อวานไม่ใช่หรือ” หวงฟู่กล่าวจนปัญญา
“นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว เมื่อวานคือเมื่อวาน ทำไมเมื่อวานเจ้าไม่กินข้าวของวันนี้ไปด้วยเลยเล่า” ไป๋ซิวทำท่ามีเหตุผลเสียเต็มประดา
“ตามใจๆ! เจ้าเด็กน้อยเอ้ย!” หวงฟู่จนปัญญา พอนึกถึงหรงเอ๋อร์ภรรยาของเขาที่แม้ท้องเจ็ดเดือนแล้ว ก็ยังคงฝืนทำกับข้าวอยู่ที่บ้าน ความกระสับกระส่ายในตอนแรกก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ความอบอุ่นค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
…
ซู่ว…
เปลวไฟสีเขียวมรกตลุกไหม้อยู่กลางฝ่ามือของลู่เซิ่ง
ที่ริมทะเลสาบธารหมอกพิษ เขาถือไฟหยินด้วยมือข้างหนึ่ง เงามารหยินทั้งเก้าที่มีรูปร่างต่างกันอยู่รอบตัวเขา กำลังกลืนกินและดูดซับธารหมอกพิษด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง แล้วเปลี่ยนให้เป็นปราณมารปริมาณมากไหลเข้าสู่ไฟหยิน จากนั้นก็ปล่อยให้ไฟหยินเผาไหม้ไป
‘กลับมาที่นี่แล้วสบายใจกว่าเดิม ไม่มีทางถูกรบกวน’ ลู่เซิ่งปล่อยมารหยินออกมาคุ้มครองตัวเอง
ต่อให้มารหยินเก้าตัวไม่ขยับ สนามพลังด้านลบชนิดต่างๆ ที่ปล่อยออกมาจากร่าง ก็ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าไม่อาจเข้าใกล้ได้เช่นกัน
หลังจากยกระดับวิชาสามหยินไปครั้งหนึ่ง และเปลวไฟแข็งแกร่งมากขึ้น ปราณมารกำเนิดที่ได้จากการเผาปราณมารก็ยิ่งมายิ่งน้อยลง
‘ก่อนหน้านี้การเผาไหม้ปราณมารสิบหน่วยจะได้รับปราณมารกำเนิดหนึ่งหน่วย แต่ตอนนี้ต้องเผาไหม้สิบห้าหน่วยถึงจะได้ปราณมารกำเนิดหนึ่งหน่วย สิ้นเปลืองมากกว่าเดิมอีก’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
‘ไม่สนใจ ยกระดับดูก่อนก็แล้วกัน’ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากายเนื้อของตนเริ่มแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
หลังฝึกจากฝนร่างมารติดต่อกัน ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับก่อนการฝึกฝน การที่สัมผัสกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในระยะใกล้ได้ หมายถึงเขาเข้าสู่ระดับสามขั้นบนสำเร็จแล้ว
เนื่องจากทนรังสีของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ ขอบเขตอสรพิษของระดับสามขั้นบนในเรื่องเล่าขานจึงพอจะมีคุณสมบัติกลายเป็นผู้ถืออาวุธ
และตอนนี้เขาก็สัมผัสเศษอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สมควรเข้าสู่ระดับสามขั้นบนโดยสิ้นเชิงแล้ว ทั้งยังมีคุณสมบัติควบคุมอาวุธศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของเขา ความจริงแล้วถ้านับความเข้ากันได้ทางสายเลือดด้วย เขาก็ได้ก้าวข้ามกายเนื้อระดับสามขั้นบนมานานแล้ว เพียงแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้น
ระดับสามขั้นบนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางหรือสำนัก ล้วนเป็นเพราะมีความเข้ากันได้ระหว่างสายเลือดกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์สูงมาก ดังนั้นการกีดกันจากรังสีที่ได้รับจึงอ่อนแอมาก จึงทำให้ผ่านมาตรฐานได้
พูดอีกอย่างก็คือ การถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ในระดับสามขั้นบนของตระกูลขุนนางและสำนักเป็นสิ่งที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แบ่งรับแบ่งสู้
และลู่เซิ่งก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พอจับได้ก็ขืนใจทันที!
การแบ่งรับแบ่งสู้กับการขืนใจแตกต่างกัน…ขนาดไหน แค่คิดก็รู้
ความจริงสิ่งที่ลู่เซิ่งได้จากการรวบรวมร่างมารจนครบ ไม่ใช่พลังในการสัมผัสอาวุธศักดิ์สิทธิ์…แต่เป็นพลังที่ใช้ปราบเศษอาวุธศักดิ์สิทธิ์
ลู่เซิ่งได้สติ เพ่งมองกรอบวิชาสามหยินบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบลูที่อยู่ด้านหน้า
‘ในเมื่อมีผล อย่างนั้นก็ยกระดับดูอีก อยากเห็นเหมือนกันว่า จะใช้พลังอาวรณ์ยกระดับไฟหยินสูงสุดได้ถึงระดับไหน!’
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็พลันนึกถึงวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานของตัวเอง ความจริงแล้ววิชาเก้าพิฆาตแดงฉานสามารถเรียกไฟล่องหนออกมาได้เหมือนกัน นั่นเป็นเปลวไฟพิเศษที่จุดด้วยปราณภายในธาตุหยาง
‘ถ้าหลอมรวมความพิเศษของปราณภายในเข้าไปด้านในได้จะดีที่สุด…’
ขณะที่คิดแบบนี้ เขาก็เพ่งความสนใจไว้บนกรอบของวิชาสามหยิน
[วิชาลับปริศนา: ขั้นที่สี่ ผลพิเศษ: ไฟสามหยิน เสริมความแข็งแกร่งเปลวไฟระดับหนึ่ง]
ความคิดกดลงบนปุ่มกดด้านหลังกรอบอย่างรวดเร็ว
พลังอาวรณ์ไหลออกมาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายไปยี่สิบหน่วย กรอบพร่าเลือนด้วยความเร็วสูง ผ่านไปหลายอึดใจก็แจ่มชัดขึ้นมาใหม่
[วิชาลับปริศนา: ขั้นที่ห้า ผลพิเศษ: ไฟสามหยิน เสริมความแข็งแกร่งเปลวไฟระดับสอง]
เพิ่งจะยกระดับเสร็จ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ในทันทีว่าทั่วร่างร้อนลวกเหมือนอยู่ในเตาอบ ปราณมารจำนวนมากในร่างถูกเผากลายเป็นปราณมารกำเนิดที่แข็งแกร่งซึ่งบริสุทธิ์และดำกว่าเดิม นอกจากนี้ปราณมารที่ดูดซับกลืนกินอย่างต่อเนื่องจากโลกภายนอก ก็เข้าไปเสริมช่องว่างที่ปรากฏขึ้นเพราะการเผาด้วย
ทะเลสาบน้อยในธารหมอกพิษปรากฏวังวนอันเชื่องช้าขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กกลุ่มหนึ่งขึ้นโดยมีลู่เซิ่งเป็นศูนย์กลาง
งูยักษ์หลายตัวว่ายน้ำไปยังรอบนอกด้วยความขลาดกลัว ทั้งส่งเสียงคำรามกระสับกระส่ายตลอดเวลา นับตั้งแต่ลู่เซิ่งฉีกเพื่อนตัวหนึ่งทั้งเป็นในครั้งก่อน พอพวกมันเห็นลู่เซิ่งมา ก็จะหลบไปอยู่ห่างๆ ทุกครั้ง
เดิมทีพวกมันคิดว่าลู่เซิ่งดื่มน้ำสักเล็กน้อยเสร็จแล้วก็จะไป แต่กลับนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะดื่มน้ำจนทะเลสาบเริ่มลดระดับลงเหมือนกับครั้งหนึ่งก่อนหน้า
……………………………………….